คลังเรื่องเด่น
-
ยามขัดข้อง พระโพธิสัตว์ท่านนึกถึงอะไร ( เทศนาโดยหลวงปู่เหรียญ วัดอรัญบรรพต )
"ยามขัดข้องพระโพธิสัตว์ท่านนึกถึงบุญบารมี"
พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตามตำราท่านแสดงไว้เวลาท่านไปเกิดอุปสรรคความขัดข้องขึ้นในชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้งใดครั้งหนึ่งอย่างนี้ ท่านจะอธิษฐานใจถึงบุญญาบารมีที่ท่านได้สร้างสมอบรมมาเลย ท่านไม่ได้อธิษฐานนึกถึงพระอินทร์ พระพรหม พระยมบาล อะไรต่ออะไรให้มาช่วยเหลือตนน่ะท่านไม่ได้นึกหรอก ท่านนึกถึง “บุญบารมี” นู่น
แล้วบุญบารมีนั้นหากไปเตือนใจพระอินทร์พระพรหมให้มองด้วยทิพยเนตรลงมาเห็นพระองค์ท่านกำลังได้ประสบอุปสรรคความขัดข้องอย่างนั้นๆ นั่นแหละพญาอินทร์ถึงจะลงมาช่วย ให้เข้าใจอย่างนั้น
คนส่วนมากมันไม่เข้าใจอย่างว่านี่นะ พอตนได้ประสบความอุปสรรคขัดข้องภัยพิบัติอะไรมาแล้วไปนึกถึงอินทร์ถึงพรหมนู่นทันทีเลย นึกถึงเทวดา อินทร์ พรหมนู่น นั่นแหละแทนที่จะมานึกถึงบุญกุศลความดีที่ตนได้กระทำมา หรือว่านึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ที่ตนได้นับถือเลื่อมใสเคารพกราบไหว้บูชาอยู่เรื่อยมาอย่างนี้....ไม่ ไม่นึกแล้ว
อันนี้ให้พึงพากันรู้ไว้ นึกอย่างนั้นไม่ถูกทางหรอก พญาอินทร์ก็ไม่รู้นะ พญาอินทร์ไม่รู้หรอกนึกเพียงแค่นั้นน่ะ... -
ทำไมพญานาคจึงปรากฏมากกว่าพญาครุฑ ?
ถาม : ทำไมพญานาคจึงปรากฏมากกว่าพญาครุฑครับ ?
ตอบ : เวลาครุฑมาเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ พญานาคมายังมีรอยให้เห็น มีคนบอกว่าเดี๋ยวตรงโน้นก็มีรอยพญานาค ตรงนี้ก็มีรอยพญานาค ไม่มีคนบอกว่ามีรอยพญาครุฑสักที ครุฑก็คือนกใหญ่ ที่มีขนาดใหญ่มาก ตามตำราเขาบอกว่าขยับปีกทีหนึ่งบินไปได้ ๑ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร)
คนจีนก็มี นกเผิง นกเผิงนี่เขาบอกว่ากางปีกโบยบินที่หนึ่งสามารถไปได้รอบโลก ก็แสดงว่าการรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ คนสมัยก่อนเขารู้เห็นคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่าเรียกไม่ค่อยจะตรงกันเท่านั้น เรียกกันไปคนละอย่างสองอย่าง แต่ว่าลักษณะที่อธิบายก็คือแบบเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าสรุปไว้ค่อนข้างจะปลอดภัยหน่อยก็คือเชื่อว่ามี แต่ถ้าให้เชื่อเต็มที่ก็คือขอเห็นด้วยตัวเองสักที
ถาม : ยูเอฟโอนี่ใช่ครุฑไหมครับ ?
ตอบ : คนละเรื่องเดียวกัน ยูเอฟโอเป็นของมนุษย์ต่างดาว เอาเป็นอันว่าที่เขาถ่ายมายังไม่มีหน้าตาเป็นพญาครุฑก็แล้วกัน พญาครุฑเขตประจำของท่านอยู่รอยต่อระหว่างชั้นจาตุมหาราชกับเขาพระสุเมรุ คราวนี้ในเมื่อที่ประจำของเขาอยู่ตรงนั้น การเข้าออกก็อยู่บริเวณนั้นประจำ ส่วนพญานาคนั้นทางเข้าออกมีอยู่ทั่วโลก... -
พิจารณาขันธ์ห้าละสักกายทิฏฐิ :หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
พิจารณาขันธ์ห้าละสักกายทิฏฐิ
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
สักกายทิฎฐิ
เห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา
ท่านละความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์บุคคล เราเขาเสียได้
โดยเห็นว่า..
ร่างกาย
นี้เป็นเพียงแต่ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ประชุมกันชั่วคราว เป็นที่อาศัยของนามธรรม คือ
เวทนา
ความรู้สึก สุข ทุกข์ และไม่สุข ไม่ทุกข์
คืออารมณ์วางเฉยจากอารมณ์สุขทุกข์
สัญญา
มีความจดจำเรื่องราวที่ล่วงมาแล้ว
สังขาร
อารมณ์ชั่วร้ายและอารมณ์เมตตาปรานีสดชื่น
อันเกิดต่ออารมณ์ที่เป็นกุศลคือ ความดี
และอารมณ์ที่เป็นอกุศล คือความชั่ว
ที่เรียกกันว่า อารมณ์เป็นบุญและอารมณ์เป็นบาปที่คอยเข้าควบคุมใจ
วิญญาณ
คือ ความรู้ หนาว ร้อน หิวกระหาย เผ็ดเปรี้ยว
หวานมันเค็ม และการสัมผัสถูกต้องเป็นต้น
*** วิญญาณนี้ ไม่ใช่ตัวนึกคิด ตัวนึกคิดนั้นคือจิต
วิญญาณกับจิตนี้คนละอัน
แต่นักแต่งหนังสือมักจะเอาไปเขียนเป็นอันเดียวกัน
ทำให้เข้าใจไขว้เขว ควรจะแยกกันเสีย เพื่อความเข้าใจง่าย ***
อีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาอาศัยกาย และไม่ตายร่วมกับร่างกาย
สิ่งนั้นก็คือ จิต
ส่วน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ... -
หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สนทนาธรรม ตอน คนฉลาดเท่านั้นหรือที่บรรลุธรรมได้
หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สนทนาธรรม ตอน คนฉลาดเท่านั้นหรือที่บรรลุธรรมได้
บันทึกการสนทนาธรรม
ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม) กับ
ศาสตราจารย์ ดร.เจมส์ สจ๊วตท์ ผู้เชี่ยวชาญวิชาจิตวิทยา
เป็นครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๑
หลวงพ่อได้เมตตาให้ ศาสตราจารย์ ดร.เจมส์ สจ๊วตท์
เข้าพบเป็นครั้งที่สอง ในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๑
เพื่อถามปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับคำสอนของพุทธศาสนา
(ตามเอกสารที่ได้ส่งให้หลวงพ่อ)
และหลวงพ่อได้เมตตาตอบแต่ละข้อดังนี้ :
ถาม : เป็นความจริงหรือไม่ว่าคนฉลาดเท่านั้น
สามารถบรรลุมรรคผลนิพานได้
ส่วนคนมีสติปัญญาต่ำจะไม่สามารถบรรลุนิพพานได้เลย
ตอบ : คนทุกคนไม่ว่าจะมีสติปัญญาสูงหรือไม่
ต่างก็มีศักยภาพที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ทั้งนั้น
แต่ส่วนจะบรรลุสิ่งนี้ได้เร็วหรือช้านั้นเป็นเรื่องของปัจจัยต่างๆ
หลายประการและบุญบารมีของแต่ละคนที่สร้างไว้
หลวงพ่อให้สังเกตว่า คำว่า "สติปัญญา" นี้
มีความหมายแตกต่างกันในทางโลกและทางธรรม
และวิธีการวัด "สติปัญญา" ก็แตกต่างกันด้วย
คนที่มีสติปัญญา ในทางโลกไม่จำเป็นต้องมีสติปัญญาในทางธรรม
ถาม : การที่ศาสนาพุทธมีคำสอนต่างๆ... -
จิตที่บริสุทธิ์แล้วสูญไหม :หลวงตาพระมหาบัว ตอบปัญหาธรรม
"..จิตไม่ได้ตาย ถึงจะไปตกนรกหมกไหม้ จิตก็ไม่เคยตาย
ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์แสนสาหัสกี่กัปกี่กัลป์
ในนรกหลุมนั้น ๆ จิตก็ไม่เคยฉิบหาย
เสวยทุกข์อยู่ตลอดจนกระทั่งสิ้นกรรมนั้นแล้วถึงจะพ้น
ขึ้นมา ก็เป็นจิตดวงนั้น ไปสวรรค์ พรหมโลก ก็จิตดวงนั้น
ทีนี้ผลสุดท้ายพ้นจากทุกข์นี้แล้วไปนิพพาน ก็คือจิตดวงนี้
แต่จิตดวงนี้เป็นจิตที่บริสุทธิ์แล้ว ไม่ตายอีกเหมือนกัน
จึงขอเทียบข้อนี้ให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า
จิตที่บริสุทธิ์แล้วสูญไหม
จุดแห่งความสูญสิ้นของจิตนี้อยู่ที่ตรงไหน
เราจะแยกให้ฟังตั้งแต่ภพชาติของสัตว์ที่เกิดตาย ๆ นี้ไม่มีสูญ
เกิดตายเรื่อยมาอย่างนี้ นี้เป็นวัฏวน
เป็นเครื่องดำเนินของกิเลสพาสัตวโลกให้เกิดตาย ๆ
ไม่ได้เคยพาสัตวโลกให้ไปสูญ
ทีนี้พอพ้นจากนี้แล้วถึงวิมุตติพระนิพพาน
ด้วยการชำระสะสางเชื้อที่พาให้เกิดให้ตายนี้ ออกจากจิตใจ
ไม่มีอะไรเหลือแล้ว จิตนี้หลุดพ้นออกไปก็ถึงพระนิพพาน
ท่านเรียกว่าแดนพระนิพพาน แดนพระนิพพาน
แดนสมมุตินี้คือน้ำมหาสมุทรทะเลหลวง..."
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ตอบปัญหาธรรมรายการ Twilight Show ทางทีวีสีช่อง ๓
เมื่อวันที่ ๑๑... -
..อภิญญา-หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง (ใช้พลังจิตลากรถไฟ)..
อภิญญา-หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
หลวง พ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้ายค่าย จ.ระยอง เกิดที่กรุงเทพมหานคร เดิมชื่อประจงวาส ต่อมาเปลี่ยนเป็นประยุทธิ วรวุธิ นามสกุลอาภรณ์สิริ บิดาท่านคือพระพาหิรรัชฏพิบูลย์(ประวัติ อาภรณ์สิริ) นามมารดาคือนางพาหิรรัชฏพิบูลย์ สมัยเป็นฆราวาส ท่านได้สมรสกับนางประชุมศรี อาภรณ์สิริ มีบุตรชาย2 คน บุตรหญิง 2 คน
หลวงพ่อกัสสปมุนีเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ต่อมาจึงได้ย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญ โดยเลือกภาษาอังกฤษเป็นวิชาเลือก จนจบชั้นม.6
เพราะเหตุที่ภาษาอังกฤษของหลวงพ่อกัสสปมุนีอยู่ในขั้นดีมาก เมื่อเรียนจบ ท่านจึงเข้าทำงานที่บริษัทวินเซอร์ของอังกฤษ แต่บิดาท่านให้ย้ายออกมาทำที่กรมสรรพากร ซึ่งท่านก็อนุโลมตามใจบิดาท่านด้วยแรงกตัญญู ซึ่งท่านก็ได้เจริญในหน้าที่การงานและทางโลกด้วยดียิ่งตลอดมา จนกระทั่งได้รับการโอนย้ายไปอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบอันมีเกียรติยิ่ง แต่ท่านขอไม่รับ เพราะเริ่มมีดวงตาเห็นธรรมและเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย ท้ายสุด ท่านก็ได้ขอลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุถึง 3 ปี... -
คุณธรรมของพระอรหันต์ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
ในอธิกรณสมถะ ๗ *นั่นน่ะ เพิ่นจึงว่า สงฆ์นั้นน่ะสวดประกาศให้สมมติ
แก่พระอรหันต์ว่าเป็น “ผู้มีสติเต็มที่”เพื่อไม่ให้ใครโจทก์ท่านด้วยอาบัติ
พระอรหันต์นั้นท่านมีสติเต็มที่เลย มีสติอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่หลง
ท่านมีความไม่หลงเป็นธรรมดา นี่จึงว่า “สติ” นี้มันสำคัญขนาดไหน
ให้พากันฟังแล้วพิจารณาดู
แสดงว่า ท่านผู้ละอาสวะกิเลสขาดจากสันดานแล้วนั้น
ท่านมีจิตแน่วแน่อยู่ตลอดไป เมื่อมีจิตแน่วแน่อยู่อย่างนั้น
ก็มีสติประจำตัวอยู่ตลอดไป เพราะมันไม่มีกิเลสมารบกวนที่จะให้จิตนี้
ระลึกไปในเรื่องที่ไม่เป็นสาระประโยชน์อะไรต่ออะไรหมู่นั้น มันไม่มี
กิเลสเหล่านั้นท่านละหมดแล้ว เหตุนั้นจิตของท่านจึงเป็นปกติรู้ ปกติเห็น
ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างไป เห็นก็สักแต่ว่าเห็น
ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยินไปเท่านั้นเอง ภายในจิตใจนั้นไม่ได้วิตกวิจารณ์
ไม่ได้หวั่นไหวไปด้วยความยินดียินร้ายอะไรเลย
นี้เป็น “คุณธรรมของพระอรหันต์ทั้งหลาย”
เรียกว่า ท่านมี "ฉฬงฺคุเปกขา” เป็นเครื่องอยู่เพิ่นว่า
เรียกว่า... -
เพื่อการกุศล ก้อนผงสัมฤทธิ์...เพื่อค่าโฮสพลังจิตทั้งหมดเหลือ 5 ก้อน....เชิญบูชาเพื่อช่วยเวป ดูที่หน้าสุดท้ายครับ
ก่อนอื่นต้องขออนุญาตทางเวปมาสเตอร์ครับ ผมมีปัจจัยไม่เยอะจึงขอนำก้อนผงสัมฤทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ ออกมาให้ท่านผู้ศรัทธา ได้บูชาโดยรายได้ทั้งหมดผมขอมอบให้ทางเวปเพื่อเป้นคาโฮสของเวปพลังจิตอันทรงคุณค่าของพวกเรา ขอทางเวปมาสเตอร์ไได้โปรดอนุญาตด้วยนะครับ ค่าจัดส่งของทั้งหมดผมขอเป็นผู้รับผิดชอบเองครับ
......จึงขอเรียนเชิญทุกท่านได้ร่วมบุชาก้อนผงสัมฤทธิ์อันหาได้ยากยิ่งนี้กันครับ......
โดยท่านสามารถโอนเข้าบัญชีของทางเวปแล้วแจ้งที่อยู่จัดส่งได้เลยครับ ดังนี้ครับ
ธนาคารกรุงเทพ 088-0-61051-4
ธนาคารกรุงไทย 493-0-35939-2
ธนาคารไทยพาณิชย์ 365-242228-2
ชื่อบัญชี
วีระชัย แก่นภักดี (Veerachai Kanphugdee)
....ขออนุโมทนากับทุกท่านที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เวปของอันทรงคุณค่าของชาวไทยได้ใช้กันอย่างสะดวกสบายครับ......
มีให้ร่วมบุชาจำนวน 30 ก้อน ให้บูชาก้อนละ 1800 บาท
....รับรองได้ว่าหาที่ไหนอีกไม่ได้แล้วครับเพราะผมบดผงไปหมดแล้ว.....
[/URL][/IMG]
1.odudomsuk*****โอนแล้ว****
2.พีรยุทธ0929425536*****โอนแล้ว****
3.พีรยุทธ0929425536*****โอนแล้ว****
4.Powernext*****โอนแล้ว****
5.
6.
7.พัส1616*****โอนแล้ว****... -
@.. บุพการีกับการสร้างบารมี ฯลฯ..@
ถ้าบุพการีของท่าน
เป็นมิจฉาทิฐิ มากน้อย ต่างกัน เพียงใด
เมื่อประสพกับอารมณ์อันไม่คาดคิด ไม่พึงปรารถนา
จากการกระทำทางกาย วาจา ใจ ของท่านเหล่านั้น
.........ในชีวิตจริงของท่านผู้ปรารถนาฯ มีอุบายและความเพียร
ในการรักษาอารมณ์ใจของท่านอย่างไร...
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
ความหมายของมิจฉาทิฐิ
มิจฉาทิฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ เรียกโดยย่อว่า "ทิฐิ"[1] หมายถึง ความเห็นผิด การเห็นกงจักรเป็นดอกบัว พระพุทธองค์ตรัส[2]ไว้ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางพวกมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
การบูชาไม่มีผล
การบวงสรวงไม่มีผล
ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
โลกนี้ไม่มี
โลกอื่นไม่มี
มารดาไม่มีบุญคุณ
บิดาไม่มีบุญคุณ
สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี
สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทราบถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง และสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย ไม่มี"
ซึ่งจากการประพฤติผิดมิชอบนี้เอง จะส่งผลให้บุคคลนั้น ๆ ต้องไปเกิดยังนรกอเวจีเพื่อใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้หลายร้อยชาติ
อ้างอิง
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต).... -
ทำเหมือนพระพุทธรูป : หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
...
มีเหตุอย่างไรไม่ทราบ
วันหนึ่ง "หลวงปู่สิม" ท่านเทศน์เสียงเข้มข้นว่า
"หลวงปู่น่ะเลียนแบบพระพุทธรูปและหลวงปู่ทำได้จริง
พระพุทธรูปน่ะ..ใครจะติจะฉิน ท่านก็นิ่งได้
หลวงปู่น่ะเลียนแบบพระพุทธรูปและหลวงปู่ทำได้จริง"
อีกโอกาสหนึ่งเมื่อมีพระอาคันตุกะ
ขึ้นไปกราบนมัสการองค์หลวงปู่ที่ถ้ำผาปล่อง
แม้เป็นพระนวกะก็กล้าหาญชาญชัย
ถึงกับพูดจาในทำนองติเตียนหลวงปู่ด้วยเรื่องต่างๆ
โดยไม่กลัวบาปกรรมเลย
หลวงปู่นั่งฟังด้วยอาการสงบ "วางเฉยเหมือนแผ่นดิน"
อย่างที่ท่านสอนลูกศิษย์จนติดหู
จนกระทั่งได้โอกาสท่านจึงย้อนถามด้วยเสียงเรียบๆว่า
"อย่างหลวงปู่นี่..ต้องให้ท่านสอนด้วยรึ"
...
วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งเป็นวันครบรอบ
วันมรณภาพของ "หลวงปู่บุดดา ถาวโร"
หลวงปู่หลวง กตปุญฺโญ พระเถระซึ่งเป็นญาติ
และคุ้นเคยกับหลวงปู่สิมเป็นอย่างดี
ได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรม ท่านได้พูดถึงหลวงปู่สิมไว้ว่า
หลวงปู่บุดดาก็เคารพหลวงปู่สิมเหมือนกัน
ว่าหลวงปู่สิมนั้นเป็น 'พระเจ้าทอง' ว่าอย่างนี้
คำว่า... -
การพิจารณากาย..หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
..การที่ใช้การค้นคว้า เรียกว่า “ปัญญา”
การนึกคิดปรุงแต่งของร่างกายของเรา
นึกคิดถึงอันใดก็แล้วแต่ สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบใจ
ก็เอามาพิจารณา เป็นแก้วแหวนเงินทองข้าวของที่รัก
ที่ชอบใจอันใดอันหนึ่งก็เอามาพิจารณา
ว่าอันนั้นเมื่อเราตายแล้วเป็นของเราหรือเปล่า
แล้วสิ่งนั้นเขาว่าเป็นของของเราหรือ
หรือเราไปยึดเขา ก็ดูหัวใจเรา
ที่เอื้อมไปพิจารณาอย่างนั้นด้วย อันนั้นเขาว่าอะไร
ใจเรานี้ต่างหากเป็นคนไปว่า เป็นของของเรา
ของสวยของงามใครมาลักมาเอาไปไม่ได้
นี่...มันก็ต้องดูตัวนี้อีกทีหนึ่ง
มองดูหัวใจที่มันคิดไปอย่างนั้น นี่...ต้องพิจารณาอย่างนี้
พิจารณาลงไปอย่างนั้นแล้ว เมื่อพิจารณาแล้ว
เราก็มาหยุดใจ ให้เป็นปกติ ไอ้ใจที่เป็นปกตินี้
มันไม่มีว่าอะไรนี่ มันมีแต่หน้าที่แต่ “รู้” อยู่อย่างเดียวเท่านั้น
อยู่กับความปกติของใจ
นี่...เพราะฉะนั้นจึงต้องค้นคิด พิจารณา
การพิจารณาเป็นบาทสำคัญ แต่ว่า การพิจารณาอย่างนี้
คนไม่ค่อยชอบ เพราะมันต้องคิด ต้องนึก ต้องปรุง
ยิ่งปรุงในร่างกายเท่าไร พิจารณาร่างกายเท่าไร
ใจนั้นยิ่งสงบ เยือกเย็นลงเป็นลำดับ
เมื่อใจได้พิจารณาถึงกาย พิจารณาตั้งแต่หัว
มีตา มีหู มีจมูก มีปาก... -
อานิสงส์สร้างเจดีย์บรรจุกระดูกพ่อแม่ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
อานิสงส์สร้างเจดีย์บรรจุกระดูกพ่อแม่
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม :- “สร้างเจดีย์ไว้ในพระพุทธศาสนา
แล้วเอากระดูกพ่อกระดูกแม่บรรจุไว้ ถามว่า
พ่อแม่จะมีอานิสงส์หรือไม่ และผู้สร้าง
จะมีอานิสงส์อย่างไรครับ…?”
หลวงพ่อ :- “พ่อแม่มีอานิสงส์หรือไม่…
ผู้สร้างมีอานิสงส์หรือไม่ …ยังไม่ตอบ
แต่ขอตอบว่าพระมีอานิสงส์”
ผู้ถาม :- “พระได้ยังไงครับ…?”
หลวงพ่อ :- “บังสกุลทุกปี อนิจจา วะตะ สังขารา…”
ผู้ถาม :- “อ๋อ…” (หัวเราะ)
หลวงพ่อ :- “ทำไมล่ะ พ่อแม่จะมีอานิสงส์หรือไม่…
อยู่ที่ลูกว่าอุทิศส่วนกุศลให้หรือเปล่า…แล้วก็
ท่านมีโอกาสโมทนาหรือเปล่า…เราก็ทราบอยู่แล้ว
ถ้าให้แล้วไม่มีโอกาสโมทนา ก็ไม่ได้ ลูกได้แน่
ได้ ๒ ชั้น สร้างเจดีย์ไว้ในเขตวัด ก็เป็นพุทธบูชา
ธรรมบูชา สังฆบูชา เอากระดูกพ่อแม่ไปตั้งในนั้น
เป็นกตัญญูกตเวที
พระพุทธเจ้าว่ายังไง “นิมิตตัง สาธุรูปานัง
กตัญญูกตเวทิตา” ผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณ
แก่ท่านผู้มีอุปการะแล้ว และตอบสนองคุณท่าน
เรากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี
นี่ว่าภาษาไทยนะ เขามีอานิสงส์ ๒-๓ ชั้น พอถึงปี
ถึงเวลาสงกรานต์ เขานิมนต์พระมาบังสกุล... -
คู่บารมีพุทธภูมิ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม)
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม :- “ลูกทำบุญทุกอย่างที่วัดท่าซุง โดยลูกกระทำคนละครึ่งกับผู้ปรารถนาพุทธภูมิ…”
หลวงพ่อ :- “เอาละ…หัวมงกุฎท้ายมังกรละทีนี้!”
ผู้ถาม :- “ขอต่อนะครับ โดยอธิษฐานให้ลูกเป็นคู่บารมีของเขาตลอดไปจนกว่าจะสำเร็จพระโพธิญาณ ลูกอธิษฐานว่า ถ้าไปนิพพานชาตินี้ไม่ได้ ก็จะขอเป็นคู่ส่งเสริมการสร้างบารมีให้เขาได้สำเร็จ ลูกถามว่า ข้อ ๑ ลูกจะไปนิพพานชาตินี้ได้ไหม โดยที่ฝ่ายชายไม่ยอมลาจากพุทธภูมิ?”
หลวงพ่อ :- “ก็อีท่านั้นมันไปแล้ว เราต้องตัดสินใจให้แน่นอนว่า เราไม่ต้องการปราถนาร่วมกับพุทธภูมิ เราจะไปนิพพานตรง ไอ้ไปแบ่งครึ่งแบบนั้นไปแน่ เพราะกำลังพุทธภูมิเขาแรง”
ผู้ถาม :- “ถ้าอย่างนั้นถ้าไปต้องตัด…”
หลวงพ่อ :- “ต้องตัดเลย บอกฉันไม่ต้องการติดตามใครทั้งนั้น ฉันจะไปนิพพานชาตินี้ ต้องตัดแบบนั้นนะ”
ผู้ถาม :- “ข้อ ๒ ถ้าไปไม่ได้ ลูกจะต้องทำอย่างไร จึงจะช่วยเขาสร้างบารมีให้สำเร็จพระโพธิญาณเจ้าคะ?”
หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นไร เป็นเมียเขาเรื่อยไป หมดเรื่องหมดราว…(หัวเราะ) ปัดโธ๋เอ๋ย…ไปถามงั้นได้ ก็ช่วยไม่ใช่เหรอ…ไม่น่าจะถาม ก็สุดแล้วแต่วาระแต่ละชาติจะต้องทำอะไร... -
คนที่กำลังใจต่างกันสามารถคบหาสนิทสนมกันได้ไหม !?
ถาม : คนที่กำลังใจต่างกันสามารถคบหาสนิทสนมกันได้ไหมครับ หรือว่าไปไม่รอด ?
ตอบ : ไปกันไม่ได้หรอก
ถาม : คือต้องเปลี่ยนคนคบใหม่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ถึงเวลาก็เป็นไปเองแหละ ถึงเวลาไปกันไม่ได้ก็ต้องต่างคนต่างไป อย่างสมัยนี้เห็นแต่งงานกันเยอะแยะ แล้วท้ายสุดก็บอกว่าไปกันไม่ได้ โดยเฉพาะพวกดารา แล้วทำไมถึงไม่ดูให้ดีตั้งแต่แรก
ถาม : เกี่ยวกับเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา จาคะด้วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้คำว่า "กำลังใจต่างกัน" ก็จบเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปดูว่าต่างกันเพราะอะไร จะใช้คำว่าระดับความดีต่างกันก็แรงเกินไป
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗
โดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สฺธมฺมปญฺโญ),ดร.. -
ปรารถนาจะไปพระนิพพานชาตินี้ แต่ยังจีบสาวอยู่จะได้ไปพระนิพพานไหม ?
ถาม : ผมปรารถนาไปพระนิพพานในชาตินี้ แต่ผมก็ยังไปจีบผู้หญิงอยู่ โดยเลือกผู้หญิงที่เข้าวัดเหมือนผม เราจะได้ปฏิบัติธรรมด้วยกันอยากทราบว่า ถ้าผมยังคิดแบบนี้อยู่
โอกาสที่จะได้ไปพระนิพพานในชาตินี้จะริบหรี่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ริบหรี่หรอก เกือบจะเป็นศูนย์..! เห็นทำอย่างนี้มาเจ๊งมาหลายคู่แล้ว เอกายโน อะยัง ภิกขเว ทางนี้เป็นหนทางของบุคคลเดียว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา
เป็นทางที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ได้ โสกะปริเทวานัง สะมะติกกะมายะ สามารถก้าวล่วงซึ่งความทุกข์โศกร่ำไรได้ ทุกขะโทมมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ
สามารถทำให้ความทุกข์และโทมนัสตกล่วงไปได้ ท่านไม่ได้บอกให้ไปสองคน
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗
โดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สฺธมฺมปญฺโญ),ดร.
. -
อานิสงส์ การทำบุญโดยเสด็จพระราชกุศล
บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
19 มีนาคม ·
อานิสงส์ของการทำบุญโดยเสด็จพระราชกุศล
โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ท่าน สาธุชนพุธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นศิษย์หรือไม่ใช่ลูกศิษย์ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ป่วยมาก มีอาการเพลียเป็นพิเศษ นั่งที่ไหนก็อยากจะหลับ พอดีเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำเดือน ๘ จะลงศาลาก็คงไม่ไหว เทศน์ก็เทศน์ไม่ไหว จะเดินก็เดินไม่ไหว ความตายมันคลานเข้ามาเต็มที ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับเปสการีท่องไว้ทุกวัน จำไว้ทุกวัน มีความรู้สึกกว่า ไม่ช้าชีวิตนี้มันก็ต้องตายถ้าความตายมันเข้ามาถึง บรรดาท่านทั้งหลาย สิ่งที่ต้องการนั้นคือพระนิพพาน ใครเข้าหาว่า บ้าๆ บวมๆ ก็ตามใจ บางท่านบอกว่า พระนิพพานสูญ ตามตำราต่างๆ ก็บอกว่ามีสภาพสูญ แต่ทว่าเมื่อปี ๒๕๐๐ ปีนั้นป่วยมาก ต้องเข้าโรงพยาบาลวันแรก มีการอืดเสียดหนัก ตอนหัวค่ำ วันที่สอง ก็มีอาการอืดเสียดหนักตอนหัวค่ำ พอวันที่สาม จึงสั่งจ่าพยาบาล ให้ไขเตียงให้นั่งได้ เตรียมตัวว่าวันนี้ ถ้าจะขอตาย ก็ตายด้วยสมาธิ และวิปัสสนาญาณเวลา๑ทุ่ม
ก็เริ่ม ทำสมาธิ คิดว่าประมาณ ๒ ทุ่ม ทุกวัน ๒วันมาแล้ว แต่ว่าวัน นี้แปลก... -
เจริญพรหมวิหาร4 ควบคุมอำนาจกสิณ
เรื่องอดีตชาติของหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ผู้ชำนาญกสิณไฟ จนหลวงปู่ชอบ ฐานสโม สอนให้เจริญเมตตา จึงก่อเกิดความร่มเย็นเผื่อแผ่มาถึงศิษยานุศิษย์จนถึงปัจจุบันนี้ ขอขอบพระคุณเรื่องราวดีดีจากพ่อแม่ครูจารย์อย่างนี้ โพสต์โดย พี่กล้วย วีระศักดิ์ โพธิสัตย์ สาธุครับผม
วันนี้เป็นวันครบรอบอายุ ๘๐ ปี ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก บ.ปง ต.อินทขีล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ หรือที่ลูกศิษย์ขององค์ท่านในปัจจุบันจะเรียกท่านว่าหลวงปู่เปลี่ยน โดยส่วนตัวผู้เขียนมีความคุ้นเคยกันกับท่านอาจารย์เปลี่ยนมาก่อนตั้งแต่สมัยอยู่ปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ จึงนิยมติดปากเรียกท่านว่าพระอาจารย์เปลี่ยน ในการเขียนจึงขอเอ่ยนามขององค์ท่านว่าพระอาจารย์เปลี่ยน เพราะคำนี้เป็นคำที่สนิทใจตนเองมาตั้งแต่แรกที่รู้จักกันกับท่าน..
เรื่อง อดีตชาติของท่านพระอาจารย์เปลี่ยนที่เขาวังเพชรบุรี
ปี ๒๕๔๖ ผู้เขียนเข้ามาพักที่วัดป่าเชิงเลนหลังมูลนิธิหลวงปู่มั่น ได้พบกับท่านพระอาจารย์เปลี่ยนอีกครั้งที่นี่ ท่านอาจารย์พัลลภเจ้าอาวาสวัดป่าเชิงเลนศิษย์ผู้พี่ชวนไปสรงน้ำท่านพระอาจารย์เปลี่ยนด้วยกัน... -
หลวงพ่ออุตตมะ กล่าวเรื่องกสิณ
***หลวงพ่ออุตตมะกล่าวถึงเรื่องกสิณ***
..
เราต้องเพ่งกสินจนกว่ากสิณจะปรากฏขึ้นมา
แล้วเราก็รวมกสิณจับจิตทั้งหมดให้มาอยู่ในดวงกสิณ
เราไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะจิตเราอยู่ในดวงกสิณ เป็นสมาธิเป็นกุศลจิตอย่างเดียว ด้วยอานุภาพของกสิณ
..
กสิณเราก็จะแข็งขึ้นๆ เราก็พยายามไปทุกวันทุกเวลาให้กสิณเราแข็งขึ้น ไม่ให้แตกออกไป เราจับไว้ด้วยสมาธิ
แล้วเราก็รวมอารมณ์ทั้งหลาย
จิตทั้งหลายทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา)
และอนิฏฐารมณ์ (อารมณ์อันไม่น่าปรารถนา) ให้มาอยู่ในกสิณ
เราก็จะแยกจิตเหล่านี้ที่ไม่ดีต่างๆ
เราจะดับจิตที่ไม่ดีต่างๆ ลงไป ด้วยอานุภาพของกสิณ
..
กสิณนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือเป็นฤาษีเขาก็ปฏิบัติกัน
กสิณนี้เป็นสมถะ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดเราต้องจับกสิน ๑๐ ประการให้ได้
เมื่อกสินปรากฏแล้ว เราก็ดึงกรรมฐานอย่างอื่นเข้ามา เช่น
กายคตาสติ , อานาปานสติ เราก็รวมให้มาอยู่ในกสิณ
...
แต่กสิณนี้ทำได้ยากเหลือเกินที่จะทำให้ดวงกสิณปรากฏขึ้นมาเป็นดวงแก้วขึ้นมาให้อยู่ในตัวเรา
เราต้องอุตสาหะพยายามกันมากเหลือเกิน
ต้องทำกันเป็นปีๆ ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน
จากหนังสือ ๘๔ปี... -
...ข้อคิดจากหลวงพ่อจรัญ (สิงห์บุรี).....
...มีโอกาสได้แวะเข้าไปวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี (ความจริงผมแวะเข้าไปบ่อยนับครั้งไม่ถ้วนเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีใครรู้จักผมเท่านั้นเอง)...จึงถือโอกาส ถ่ายภาพสุภาษิต ข้อคิดต่าง ๆ ที่ติดอยู่ตามต้นไม้ภายในวัดเกือบทุกต้นที่เห็น มาลง Internet ให้ได้อ่านกันสำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสได้แวะไป (เอามาลงให้ดูบางส่วนเท่านั้นนะครับ)... -
หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน บทที่ ๑๖ คาถามหาเสน่ห์
หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน บทที่ ๑๖ คาถามหาเสน่ห์
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๖
สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๖ สำหรับตอนที่ ๑๖ นี้
ก่อนจะพูดเรื่องอื่นก็ขอเตือนกันไว้ก่อน
ว่ารายการนี้เป็นรายการ "หนีนรก" ตอนที่ ๑๕ หนีสิมพลีนรก
แต่ตอนที่ ๑๖ นี้ หนีทุกขุม ทั้งนี้เพราะอะไร?
เพราะว่าเป็นเรื่องของวาจาที่ต้องพูด
แต่ก่อนจะพูดถึงวาจาก็บอกลีลาการหนีนรกกันก่อน
การหนีนรกขอถือตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระชินวร
คือ พระพุทธเจ้า ที่ตรัสว่า
"ถ้าบุคคลใดละสังโยชน์ ๓ ประการได้
หรือว่าตัดสังโยชน์ ๓ ประการได้
ท่านผู้นั้นบาปเก่าทั้งหมดตามไม่ทัน ไม่สามารถลงโทษได้
แล้วก็ท่านผู้นั้นจะไม่มีการตกนรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย
เป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อไปอีกทุกชาติที่เกิด
จะเกิดเมื่อไร จะตายเมื่อไรก็ตาม จะวนเวียนแต่เฉพาะเป็นมนุษย์
เทวดากับพรหม และต่อไปถ้ามีกำลังเต็มก็ไปนิพพาน"
การตัดสังโยชน์ ๓ ประการ ก็ขอบอกกันแบบง่ายๆ ย่อๆ
พูดมากก็ฟังยาก วิธีตัดง่ายๆ ก็คือ
๑. ให้มีความรู้สึกเสมอว่าชีวิตนี้มันต้องตาย
เราไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ... -
หลวงพ่อวัดปากน้ำ กับ อภิญญาชนในคราบขอทาน
“หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ โปรดขอทานชรา”
*********************************************
ในสมัยที่ หลวงพ่อสด จนทฺสโร หรือ พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีชื่อเสียงและกิตติคุณไพศาลยิ่ง ด้วยเป็นผู้ค้นพบวิชาพระธรรมกาย และได้เผยแผ่วิชานี้
จนมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา พากันมาขอเรียนวิชาธรรมกายนี้ จนแน่นขนัดบริเวณวัดทุกเมื่อเชื่อวัน
อีกทั้งมีศิษย์ที่เป็นโยมอุปฐากวัด ทั้งที่เป็นข้าราชการระดับสูง ทั้งขุนทหาร ตำรวจ และข้าราชการศาลยุติธรรม เจ้าสัว มหาเศรษฐี ตลอดจนผู้มีหน้า มีตาในวงสังคมชั้นสูงอีกจำนวนมาก มากราบฝากตัวเป็นศิษย์
วัดปากน้ำ ณ เวลานั้น จึงคราคร่ำ แน่นเนืองไปด้วยผู้คน ราวกับวัดมีงานรื่นเริงอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฉันเพลเสร็จ และบอกกรรมฐานให้กับผู้ต้องการขึ้นวิชาธรรมกายปราบมาร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็ถึงเวลาที่ท่านรับแขก คือสงเคราะห์ญาติโยม เมื่อหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นย่อมเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งที่เป็นโยมวัด โยมอุปฐาก แขกผู้มาเยือน ตลอดจนชาวบ้าน พากันเบียดเสียดเพื่อรอชมบารมีท่านไม่ห่างตา
ที่เชิงบันไดขึ้นศาลาใหญ่... -
เพ่งพินิจ "..ความตาย.."(มรณานุสสติ)
วันหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า
-พระพุทธเจ้า...อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง
-พระอานนท์กราบทูลตอบว่า....ระลึกถึงความตายวันละ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า
-พระพุทธเจ้าตรัสว่า....ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก
--------------------------------------------------------------------------------------------
การนึกถึงดังกล่าวเป็นการทำสมถะสมาธิอย่างหนึ่ง
... ในทางปฏิบัติคือการเห็นธาตุขันธ์หรือสภาวะธรรมมันทำงาน เกิด-ดับ (ไตรลักษณ์)ทุกขณะจิตในปัจจุบันขณะ ไม่ใช่แค่นึกถึงร่างกายหรือคิดถึงความตาย แต่เป็นการเห็นด้วยปัญญาต่อหน้าต่อตาในขณะนั้นๆ
ถ้าเจริญสติปัญญาจนเกิดปัญญาแท้ จะเห็นธาตุขันธ์หรือสภาวะธรรมมันเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไปตลอดสาย ทางปริยัติเรียกว่า อุทยัพพยญาณ เป็นญาณที่ ๔ ของปัญญา ๑๖ ขั้น (โสฬสญาณ)
และเมื่อเจริญสติปัญาจนพัฒนาขึ้นแล้วจะเห็นแต่การดับ(ตาย)ฝ่ายเดียว
จิตที่มีปัญญาจะเห็นสภาวะธรรมเป็นปัจจุบัน
ปัญญาว่องไวจนสัญญายังไม่ทันแปลหรือตีค่า ว่าสิ่งสิ่งนั้นคืออะไร
ปัญญาระลึกรู้โดยอัตโนมัติ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าพระอานนท์ ระลึกได้น้อยมาก... -
เรียงลำดับจิตตภาวนา ...หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"..อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาอยู่ที่จิตไม่อยู่ที่อื่น อย่างหลวงปู่มั่นท่านแสดง เรากราบราบทันทีเลย ไม่มีใครพูด ในตำราท่านก็ไม่บอก ท่านบอกไว้แต่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ไปเท่านั้น แต่ท่านอาจารย์มั่นท่านมาพูดว่า ฐีติภูตํ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเกิดขึ้นจาก ฐีติภูตํ คือจิตแท้ เกิดจากนี้ แต่ท่านเอานี้ออกไป เมื่อเปิดอันนี้แล้ว ฐีติภูตํ ก็จะบริสุทธิ์เอง ท่านว่างั้น เพราะอันนี้เป็นเครื่องปกปิดต่างหาก ท่านจึงพูดตั้งแต่อันนี้เป็นอวิชชาไปเลย ท่านว่างั้น เวลาพิจารณาก็เป็นอย่างนั้น
พิจารณาเข้าไปถึงนั้นแล้วหมุนเข้าไปหาจิต หมุนเข้าไปหาจิตแล้วมันก็พิจารณาทางจิตอีก สติปัญญานี้มีหลายขั้นนะ คำว่าสติปัญญาการพิจารณา ขั้นล้มลุกคลุกคลาน คือการภาวนาล้มลุกคลุกคลานดังที่เราฝึกเบื้องต้นใช้คำบริกรรม นี้เป็นอันหนึ่ง จากนั้นก็พิจารณาถึงสมาธิ ออกจากสมาธิแล้วเข้าเป็นปัญญา พิจารณาร่างกายนี้ก็เป็นปัญญาขั้นหนึ่ง พอพิจารณาร่างกายคล่องแคล่วว่องไวเข้าไป จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาเราก็เรียนในปริยัติตั้งแต่ก่อน งงเป็นไก่ตาแตกไม่รู้ แต่ก็ไม่ถือเป็นอารมณ์อะไรมากนัก
สุตมยปัญญา... -
ฝึกตัดร่างกายไว้ ตายเมื่อไรไปพระนิพพาน โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ฝึกตัดร่างกายไว้ตายเมื่อไรไปพระนิพพาน
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ในเมื่อนึกถึงความตายได้ นึกถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ได้ ทรงศิลได้ ก็ตั้งอารมณ์
ไว้โดยเฉพาะพระนิพพาน ให้มีความเข้าใจตาม
ความเป็นจริงว่าร่างกายของเรามีสภาพไม่เที่ยง
มันเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สลายตัวไปในที่สุด
ให้ถือว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกาย
เป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ไม่ช้ามันก็ตาย
ถ้ามันตายเมื่อไร ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆ อย่างนี้
เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการนิพพานจุดเดียว
ถ้าคิดอย่างนี้ทุกวันนะ เวลาที่ป่วยหนักใกล้จะตาย
อารมณ์ทั้งหมดที่คิดวันละเล็กวันละน้อย มันจะ
รวมตัวเพื่อนิพพานโดยตรง จะวางเฉยทั้งหมด
การที่จะไปนิพพานได้จริงๆ อารมณ์จิตมันจะ
วางเฉยในทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมด ขณะที่เราป่วย
ไร่นาสาโทบ้านช่องทรัพย์สินต่างๆ มันก็เฉยเมย
ก็ไม่สนใจ จิตมันเฉยมีอารมณ์ทรงเกาะเฉพาะ
พระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ หรือพระธรรม พระสงฆ์
ด้วยก็ได้ตามใจชอบ แต่มันจะไม่สนใจใน
ทรัพย์สิน ไม่สนใจกับร่างกาย ถือว่าร่างกายมัน
จะตายก็เชิญตาย เราจะไปนิพพาน... -
"หลวงปู่ศรี มหาวีโร โปรดผีเปรต"
...สมัยหนึ่ง หลวงปู่ศรีท่านมาพักบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ถ้ำพระ ในเขตบริเวณวัดถ้ำกวาง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็ดีใจและวิงวอนท่านว่า... "ท่านอาจารย์ โปรดช่วยเมตตาหน่อย
โปรดกรุณาปราบเปรตตัวดุร้าย ที่มักไปหลอกหลอน และก่อกวนชาวบ้านอยู่เสมอ ห้อยโหนบนต้นไม้ให้ชาวบ้านเห็นบ้าง เดินลากเท้าไปตามถนนบ้าง ทำให้ชาวบ้านกลัวกันจนขี้หดตดหาย"
ในตอนเย็นวันนั้นเอง หลวงปู่ศรี ท่านนั่งสมาธิพิจารณาธรรมบริเวณลานหินลาดใต้ต้นจำปา ไม่ห่างจากถ้ำพระมากนัก พิจารณาดูผีเปรตตัวนั้น ว่าพอจะแผ่เมตตาโปรดได้บ้างไหม อีกไม่นานก็มีเสียงค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ๆ กลายเป็นสายลมพัดวูบ ๆผ่าน ต้นไม้แถบนั้นเสียงดังครืน ๆ ครืน ๆ ในที่สุดเปรตนั้นก็แสดงตนปรากฏในสมาธิธรรมของท่านอย่างประจักษ์ ประหนึ่งว่า "นั่งสนทนากันอย่างคนเราธรรมดา"
หลวงปู่ศรี ท่านได้ถามว่า "เจ้าชื่อว่าอะไร? ที่ต้องมาเกิดเป็นเปรต เสวยทุกขเวทนาอันร้ายกาจเห็นปานนี้ เพราะกรรมใด"
เปรตนั้นตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าชื่อว่า "บัก(นาย)พรหม" เป็นนามตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุที่เท้าข้างหนึ่งของข้าพเจ้าถูกไม้ทับจึงเป (แบน) คนทั้งหลาย... -
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์
ถาม: ......................................
ตอบ: เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เราสัมผัสได้เองอยู่แล้ว เพราะความรู้สึกของเรามี แต่ว่าให้รับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปยินดียินร้ายด้วย
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสรุปสั้น ๆ ว่า "อย่าติดในสุขและอย่ากังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ให้ได้ ถ้าวางเฉยในร่างกายนี้ยังไม่ได้ ก็ให้เบื่อร่างกายนี้ให้ได้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม" เรื่องอะไรที่จะขวนขวายแบกเพิ่มไม่ต้องไปหาแล้ว ทำเฉพาะหน้าให้ดีที่สุด แล้วก็ยอมรับกฎของกรรม
ท่านบอกว่าเป็นพระอรหันต์เขาเป็นกันแค่นี้ ไม่เอาเยอะหรอก การยอมรับกฎของกรรมทำยากที่สุด ถ้าคนปัญญาไม่ถึงก็จะยอมรับแบบโง่ ๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อชา ซึ่งเป็นพระด้วย พายุฝนตีหลังคากุฏิเปิงไป ท่านก็ปล่อยให้ฝนรั่ว ให้แดดเผาอยู่อย่างนั้น จนหลวงพ่อชาทนไม่ได้
เมื่อท่านไปถึงบอกว่า "คุณ..ซ่อมหลังคาเสียหน่อยสิ"
พระท่านบอกว่า "ผมปล่อยวางแล้วครับหลวงพ่อ"
หลวงพ่อชาท่านบอกว่า "ปล่อยวางแบบควายนะสิ ควายมันทนแดดทนฝนได้มากกว่าคุณอีก"
อะไรก็ตามถ้ายังสามารถแก้ไขด้วยกำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์... -
พระคาถาล้างกรรม หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
พระคาถาล้างกรรม หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
พระคาถานี้คุณยายฟื้น ข้างวัดบางนมโคท่านมักมาขึ้นพระกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน เป็นประจำ วันหนึ่งมีชายสองคนมาคุมร่างแกไปถึงสำนักพระยายมราชเมื่อตรวจดูก็รู้ว่าเอามาผิดคน ท่านพระยายมราช จึงให้เอาไปส่งก่อนกลับท่านได้ฝากสองคาถานี้ให้นำมาถวายหลวงปุ่ปาน วัดบางนมโค คือ๑.คาถาล้างกรรม เพื่อที่ลูกหลานคนใดได้สวดบรรพบุรุษจะบรรเทากรรมหนักลง และ๒.บทกรวดน้ำ ที่สามารถกรวดให้แก่วิญญาณสัมภเวสีให้พ้นทุกข์ เมื่อคืนมายังเมืองมนุษย์คุณยายฟื้น ได้นำมาถวายหลวงปู่ปาน ซึ่งคาถานี้อยู่ในหนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค ต่อมาคาถานี้ได้หายไปในการพิมพ์หนังสือใหม่ ผมมีต้นฉบับของเก่าเลยถ่ายมาลงเป็นวิทยาทานครับ
คาถาล้างกรรม
(ให้ตั้งนะโม 3 จบ)
*พุทโธ อะระหัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวัณโณ พุทโธ อะระหัง กัมมะโตเมตัง กัมมะภันทะนัง ชีวิตตังให้ไปจุติ ให้ทุกชีวิตทุกวิญาณจงไปผุดไปเกิด (3 จบ)
บทกรวดน้ำ
*อิมินา ปุญญกัมเมนะ ขอเดชเดชะกุศลผลบุญ ที่ข้าพเจ้าอุทิศไปให้คุณบิดามารดา ญาติกาทั้งหลาย สมณชีพราหมณ์ อีกทั้งเรือด ริ้น ลา พระอินทร์เจ้าฟ้า พระโคดม พระพรหมมีฤทธิ์ พระอาทิตย์ พระจันทร์... -
เสียงธรรม ตำนานวันสงกรานต์ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
13 เมษายน 2558 วันปีใหม่ของไทย -
ติดวัตถุมงคลยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล
พระอาจารย์ กล่าวว่า "มีคนจำนวนหนึ่งไม่มากนัก แต่มักจะเป็นนักวิชาการมีชื่อเสียง เขาจะเน้นเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า บุคคลมี ๔ ประเภท มีอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ และปทปรมะ ถ้าไปเอาประเภทธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวเนยยะก็ตาย ศาสนาก็ไปไม่ได้
อย่างศาสนาของเรา นักวิชาการสร้างแผนภาพเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด ฐานล่างสุดมีขนาดใหญ่ ก็คือพวกที่ยังติดพิธีกรรม ในช่วงกลางก็เป็นพวกที่เริ่มเข้าหาศีล สมาธิ ในช่วงปลายเป็นพวกที่ปฏิบัติครบในไตรสิกขา ก็คือมีปัญญาร่วมด้วย ก็แปลว่าขึ้นไปก็เหลือนิดเดียว คราวนี้ในส่วนที่ว่ามา เคยบอกไว้หลายครั้งแล้วว่า ต่อให้คนพูดเอง เอาธรรมะบริสุทธิ์ไปให้ล้วนๆ ก็ไม่ทำหรอก แต่มักจะแสดงความเห็นให้ดูเก๋ เท่ ฉลาด
ถ้าเราไปดูบาหลีซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ของอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรอิสลามมากที่สุดในโลกถึง ๒๕๐ กว่าล้านคน บาหลีเป็นเกาะเล็กๆ นิดเดียว แต่เป็นฮินดู และความเป็นฮินดูเหนียวแน่นชนิดอิสลามแทรกไม่เข้า วันหนึ่งๆ มีการบวงสรวงบูชาพระเจ้า ๔ - ๕ รอบ เช้ายันค่ำ ต้องมานั่งเตรียมเครื่องบูชาไปถวายที่เทวาลัย...
หน้า 406 ของ 414