คลังเรื่องเด่น
-
เล่าเรื่องเมืองโลกทิพย์
คนเราเกิดมาอาจจะแตกต่างกัน บางคนสัมผัสอะไรไม่ได้เลย แต่บางคนอาจจะสัมผัสได้ รับรู้ได้ การรับรู้เรื่องราวที่สัมผัสได้นั้น คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเล่าให้คนอื่นๆได้ฟัง ได้รับรู้
ด้วยเหตุผลนานานับประการ เรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับสถานที่สำคัญในพุทธศาสนา ก็เป็นสิ่งที่ผู้เล่าอยากสื่อให้กับบุคคลทั่วไป ที่สัมผัสไม่ได้ อาจจะประโยชน์
เพราะการรู้บ้าง ย่อมดีกว่าไม่รู้อะไรเลย -
ทำไมต้องสวดมนต์ ? สวดแล้วได้อะไร ?
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมเราต้องสวดมนต์ใช่ไหม...วันนี้ มีคำตอบ...
สิ่งที่ได้แน่ๆจากการสวดมนต์ คือ บุญ เป็นบุญที่เราทำได้ง่ายๆทุกวัน ไม่ต้องเสียเงินมากมายเพื่อที่จะได้บุญมา เพียงแค่ท่านแบ่งเวลาในแต่ละวัน เช่น ก่อนนอน เพียง5-10นาที ท่านก็จะได้บุญเเละได้รับสิ่งดีๆจากการสวดมนต์มากมายเเล้ว
หลายคนอ้างว่าไม่มีเวลาสวดบ้างละ ไม่จำเป็นบ้างละ หรือแม้แต่เสียเวลาบ้างละ
แต่! ทำไมท่านไม่ลองคิดบ้างละว่า คนเราเกิดมาเพื่อสร้างบุญ แล้วการงานที่ทำในแต่ละวัน ที่ท่านใช้ชิวิตอยู่นั้น ท่านได้สร้างบุญบ้างหรือยัง? ในแต่ละวันท่านมีเวลาทำสิ่งต่างๆมากมาย ที่มีประโยชน์บ้าง ไร้สาระบ้าง ท่านมีเวลาทำสิ่งเหล่านี้ แล้วทำไมท่านจะสละเวลาเพียงน้อยนิดเพื่อมาสร้างสิ่งดีๆ สิ่งที่คนเราเกิดมาเพื่อมาสร้างบุญ แค่การสวดมนต์ไม่ได้ล่ะ เราไม่รู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร แล้ววันนี้ท่านมีบุญสะสมไว้มากพอหรือยัง ถ้าหากท่านรอจะทำบุญเมื่อตอนที่ท่านรวย แล้วเมื่อไหร่ท่านจะได้ทำ ทำไมท่านไม่หมั่นสร้างบุญสะสมบุญด้วยการสวดมนต์ ทุกวันๆ ทั้งๆที่ การสวดมนต์นั้นจะทำให้ท่านได้รับสิ่งดีๆเหล่านี้.....
1.... -
สองอย่างที่ควรรีบทำในโลก
สองอย่างที่ควรรีบทำในโลก
๑.ความกตัญญู ควรรีบทำต่อพ่อแม่ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
๒.ความดี ควรรีบทำวันนี้ เพราะวันพรุ่งนี้ เราอาจไม่มีโอกาสได้ทำ
***************************
ธรรมะจากภาพจีน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=30384&sid=e0aaba368c59fcdba7d5cb52edbb5e80 -
วรธรรมคติ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
ความคิดเอาเอง กับ ความเห็นจริงเพราะมีสติพิจารณาด้วยปัญญา ไม่เหมือนกัน
ความคิดเอาเองแม้บางทีอาจจะถูกต้องได้ แต่เป็นการบังเอิญ
แต่ความเห็นจริงเพราะมีสติพิจารณาด้วยปัญญาจะถูกต้องเสมอ ไม่เป็นการบังเอิญ
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้ใช้สติ ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นความจริงทุกอย่าง ไม่ได้สอนให้คิดเอาเอง
พุทธศาสนิกผู้เครพในพระพุทธองค์ จึงควรต้องเคารพปฏิบัติตามที่ทรงสอนนี้ด้วย
สิ่งที่มีค่ากว่าเงินทอง พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวรฯ
ขอบคุณบทความจาก แสงธรรมส่องใจ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=35413 -
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๕ เดือนมกราคม ๒๕๖๐
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๕
เดือนมกราคม ๒๕๖๐
โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
เล่มอื่น ๆ ตามไปอ่านได้ที่ http://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=60 -
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๔ เดือนธันวาคม ๒๕๕๙
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๔
เดือนธันวาคม ๒๕๕๙
โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
เล่มอื่น ๆ ตามไปอ่านได้ที่ http://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=60 -
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๓ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๓
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙
โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
เล่มอื่น ๆ ตามไปอ่านได้ที่ http://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=60 -
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำบอกไว้...สวดมนต์ในใจกับออกเสียง...แบบไหนได้อานิสงส์มากกว่า?
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำบอกไว้...สวดมนต์ในใจกับออกเสียง...แบบไหนได้อานิสงส์มากกว่า?
มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งได้ถามหลวงพ่อฤๅษีลิงดำว่า “หลวงพ่อคะสวดมนต์แบบในใจกับแบบออกเสียง...อานิสงส์เท่ากันไหมคะ?”
หลวงพ่อท่านเมตตาบอกไว้ว่า
“ไม่เท่าหรอกเพราะมันเหนื่อยไม่เท่ากัน ... อานิสงส์ถ้าแปลตามความหมายแปลว่าผลที่จะพึงได้รับลีลาการสวดมนต์ในใจก็ไม่แน่สุดแท้แต่คนบางคนนึกในใจจิตเขาฟุ้งซ่านใช่ไหมบางคนออกเสียงเหนื่อยเกินไปในใจดีกว่าก็รวมความว่าสุดแล้วแต่ทำอย่างไหนจิตจะมีสมาธิดีกว่ากันบางคนนึกในใจไม่ได้หรอกจิตฟุ้งซ่านต้องว่าออกเสียงดังๆถ้าอย่างหลวงพ่อออกเสียงดังไม่ดีนึกในใจดีกว่าก็สุดแล้วแต่คนนี่ผลก็ต้องอยู่ที่ว่าคนใดจิตมีสมาธิดีกว่าและสวดมนต์ได้ดีกว่ากันต้องถือตามนั้นนะ”
“การสวดมนต์มีอานิสงส์ใหญ่สวดน้อยก็มีอานิสงส์ใหญ่อานิสงส์ใหญ่จริงๆอยู่ที่เจตนาจิตมีความเคารพในพระพุทธเจ้าพระธรรมและพระอริยสงฆ์จริงและเวลาสวดสวดด้วยความเคารพจริงถึงสวดน้อยก็มีอานิสงส์ใหญ่ถ้าสวดว่าเรื่อยเปื่อยไปไม่ได้ตั้งใจว่าส่งเดชอย่างนี้ว่ามากก็มีอานิสงส์น้อย”
จากหนังสือ “หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม” ฉบับพิเศษเล่ม๔หน้า๕๘-๖๑โดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง... -
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำถวายคำแนะนำเรื่องศีลแก่ในหลวงรัชกาลที่ ๙!! "ในบรรดาศีล ๕ มีเพียง ๒ ข้อเท่านั้น...ที่หลวงพ่อปานต้องการจากทุกคน"
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำถวายคำแนะนำเรื่องศีลแก่ในหลวงรัชกาลที่ ๙!! "ในบรรดาศีล ๕ มีเพียง ๒ ข้อเท่านั้น...ที่หลวงพ่อปานต้องการจากทุกคน"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว :
บรรดาประชาชนทั้งหลายทุกคน ถ้าต่างคนต่างรักษาศีล ๕ ครบถ้วน บ้านเมืองจะมีความสุข เรื่องศีล ๕ นี่เป็นของยาก คนเขาไม่ค่อยจะเห็นคุณเห็นโทษ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...พระ พระนี่เมื่อมีความผิดแล้วก็มีอาบัติเป็นเครื่องปรับ แต่คนเขาขาดศีล ๕ ไม่มีอาบัติเป็นเครื่องปรับ เป็นของยากที่จะให้คนเห็นโทษเห็นคุณในการรักษาศีล ๕
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ :
หลวงพ่อปานท่านไม่ต้องการให้คนละศีล ๕ หลวงพ่อปานต้องการอย่างเดียวคือ ให้คนละศีล ๒
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว :
(ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสถาม) ศีล ๒ มีอะไรบ้างขอรับ ?
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ :
ศีล ๒ ที่หลวงพ่อปานต้องการ นั่นก็คือ
๑. อทินนาทาน ต้องการให้คนไม่ลัก ไม่ขโมย ไม่คดโกงซึ่งกันและกัน ยอมรับนับถือในสิทธิสมบัติซึ่งกันและกัน
๒. หลวงพ่อปานต้องการให้คนละการดื่มสุราและเมรัย
ศีล ๒ ของหลวงพ่อปานนี้ มีความสำคัญมาก เพราะในอันดับแรก ถ้าทุกคนไม่คดโกงซึ่งกันและกันแล้ว สุขมันก็จะมีมากขึ้นมามาก... -
คุณกำลังดึงดูดอะไรเข้ามาในชีวิต?
The Law of Attraction “กฎของการดึงดูด” มีอยู่ว่า “สิ่งที่เหมือนกัน ดึงดูด สิ่งที่เหมือนกัน” คลื่นพลังงานอะไรก็แล้วแต่ที่ใกล้เคียงกันจะดึงดูดกัน
ทุกอย่างในจักรวาลนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคลื่นพลังงานทั้งสิ้น เราคงไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เรามองไม่เห็น เช่น เรามองไม่เห็นกระแสไฟฟ้าด้วยตาเปล่า แต่เมื่อเรากดสวิชไฟ ความสว่างก็จะปรากฏขึ้นมาให้เราเห็น เรามองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินคลื่นเสียง แต่เมื่อเราเปิดวิทยุ ก็จะมีเสียงโผล่ออกมา เรามองไม่เห็นคลื่นพลังงานอีกหลายๆ อย่าง แต่มันก็มีอยู่จริง เช่น คลื่นของโทรศัพท์มือถือ คลื่นของอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ดังนั้นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันไม่มีอยู่จริงใช่หรือไม่
มีศาสตร์อีกหลายแขนงที่บอกว่า “ความคิดของคนเรา เป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่ง” ทุกครั้งที่เราคิด มันก็จะส่งคลื่นพลังงานออกไป เคยมีไหมที่เราคิดถึงใครบางคน ต่อมาไม่นานนัก เขาก็จะโทรมาหาหรือมีโอกาสได้เจอกัน เจอเรื่องแบบนี้บ่อยมากๆ
เวลาที่เราคิด เราได้ปล่อยคลื่นพลังงานออกไปในจักรวาลแล้ว ไม่ว่าเราคิดอะไร เราก็จะได้สิ่งนั้น โลกภายนอกจะปรากฏกับเราเป็นอย่างไร... -
ปิดรับบริจาค ขอเชิญร่วมถวายมหาสังวาลจักรพรรดิ์ พระประธานวัด หลวงปู่ปาน หลวงพ่อจง หลวงพ่ออินแปลง วันมาฆบูชา 2560
ปิดรับบริจากแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ
เนี่องในวันมาฆบูชาที่จะมาถึงนี้ โตและคณะได้ขออนุญาตพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่วัดบางนมโค(วัดหลวงปู่ปาน) วัดหน้าต่างนอก(หลวงพ่อจง) วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร (หลวงพ่ออินแปลง) เพื่อถวายมหาสังฆฏิแก้ว(สไบทิพย์)พร้อมมหาสังวาลจักรพรรดิ์แก้ว ถวายพระประธานในพระอุโบสถ และจะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาสวดชยันโตให้พรและเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศล เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และบูชาคุณความดีบูรพจารย์ที่เคารพ มี(องค์หลวงปู่ปาน) (องค์หลวงปู่จง)เป็นต้น จึงขอเรียนเชิญญาติธรรมทั้งหลายที่อยากจะร่วมบำเพ็ญกุศลในครั้งนี้ ในวันมาฆบูชา โดยเริ่มจาก
1.วัดบางนมโค
2.วัดหน้าต่างนอก
3.วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร
ขอกราบโมทนากับทุกๆท่านเป้นอย่างยิ่ง สาธุ สาธุ สาธุ
ปิดรับบริจากแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ -
ปิดรับบริจาค ขอเรียนเชิญสร้างห้องน้ำบน "หลุบเหลา" ถ้ำเมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
**ขอปิดกระทู้รับบุญห้องน้ำ **
ขอเชิญร่วมสร้างห้องสุขาจำนวน 3 ห้อง (สุขาส่วนนี้ของพระและเณร)
และเพิ่มส่วนของโยม ในอีกด้านหนึ่งจำนวน 4 ห้อง รวมเป้นทั้งหมด 7 ห้อง
บริเวณหลุบเหลา ใกล้ศาลาภัตตกิจ
ณ วัดพุทธพรหมปัญโญ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
•วัตถุประสงค์ในการสรัาง•...
เนื่องจากปัจจุบัน "บริเวณหลุบเหลา" ตรงศาลาภัตตกิจ
ยังไม่มีห้องสุขา
เมื่อมีผู้เดินทางมาถึงบริเวณตรงนี้ มีความต้องการถามถึงห้องสุขาบ่อยครั้ง
ด้วยบริเวณหลุบเหลาเป็นเขตปฏิบัติเพื่อภาวนาแบบวิเวก
จึงทำให้ห่างไกลจากห้องสุขาพอสมควร
ดังนั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องสร้างไว้รองรับ
สำหรับญาติโยม 4 ห้องและสำหรับพระภิกษุสามเณร 3 ห้อง
เพื่อให้การปฏิบัติภาวนาไม่ติดขัดและอำนวยความสะดวกให้กับฆราวาสญาติโยมทุกท่าน
ที่มีความเพียรเดินขึ้นมาภาวนาหาที่วิเวก
หากการสร้างห้องสุขาครั้งนี้สำเร็จ จักเป็นประโยชน์
ต่อทุกท่านที่มาร่วมประพฤติปฏิบัติธรรม
ณ บริเวณหลุบเหลา
ขอให้ทุกท่านที่ได้ร่วมสมทบทุนในการสร้างห้องสุขา
โปรดได้รับผลบุญในครั้งนี้
ขออาราธนาบารมีรวมพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ พระมหาจักรพรรดิทุกพระองค์... -
ประวัติพระครูปลัดเมตตา
กว่าที่จะได้ประวัติท่านพ่อมาบันทึกและเรียบเรียงไม่ใช่เรื่องงาย ด้วยเพราะท่านพ่อไม่ค่อยเล่าเรื่องราวต่างๆให้ใครต่อใครฟังมากนัก ต้องอาศัยความพยายามในการจดบันทึก ในแต่ละตอนแล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ หากเกิดความกังขาหรือสงสัยในตอนใดก็จะหาโอกาส ถามความชัดเจนจากท่านพ่อเอง ก่อนอื่นต้องขอบอกกับผู้อ่านทุกท่านว่าเป็นบทความที่ผู้เขียน บันทึกและเรียบเรียงขึ้นเอง ในบางตอนอาจไม่ชัดเจน ด้วยท่านพ่อได้บอกว่า บางอย่างพ่อไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก ด้วยเหตุผลต้นกรรม หรือวิบากกรรม กรรมลิขิตไว้ พ่อเป็นพระบ้านนอกไม่ได้เรียนหนังสือ ถ้าลูกๆได้รู้ ได้เห็นเหมือนที่พ่อได้รู้ ได้เห็น ก็จะเข้าใจพ่อมากขึ้น แต่ผู้เขียนพอที่จะจับต้นชนปลายในประวัติของท่านพ่อได้ดังนี้ ท่านพ่อเล่าว่า.
โยมมารดาเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะตั้งครรภ์นั้นท่านได้ฝันว่า หลวงพ่อถวิน สุวรรณโชติ พระเกจิคณาจารย์สายกรรมฐานแห่งวัดศรีแก้วได้นำเอาแหวนมาให้แก่ท่าน ท่านจึงรับเอาด้วยความตื้นตันใจ พอตื่นขึ้นท่านได้นึกถึงนิมิตนี้ว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วมีความรู้สึกว่าตนเองได้ตั้งครรภ์ เป็นแน่แท้ หลังจากนั้นเป็นระยะเวลา ๑๐ เดือนเต็ม... -
“รอดตายเพราะสวดมนต์” เรื่องเล่า อานิสงส์ของการสวดมนต์ที่เกิดขึ้นจริง
คุณเชื่อเรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ไหม
เรื่องราว อานิสงส์ของการสวดมนต์ ต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับ คุณวิชาญ ฤทธิรงค์ อดีตประธานชมรมพุทธศาสตร์ ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ด้วยกิจกรรมของชมรม ที่มีการนิมนต์พระสงฆ์มาเทศนา และสอนวิธีการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน สัปดาห์ละ1 – 2 ครั้ง หลังเลิกงาน คุณวิชาญจึงไม่ลืมที่จะนำแนวทางแห่งพุทธศาสนา มาปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน นั่นก็คือ การสวดมนต์
คุณวิชาญเริ่มฝึกการสวดมนต์ภาวนา ด้วยการสวดบทพาหุงและบทอิติปิโส ในจำนวนครั้งเท่ากับอายุตัวเองบวกหนึ่งจนจบ จากนั้นต่อด้วยบทแผ่เมตตา ให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้ที่เคยโกรธเกลียดกันมาก่อน ยิ่งไม่ชอบหน้ากันมากเท่าไร คุณวิชาญก็ยิ่งสวดมนต์แผ่เมตตาให้เขามากขึ้นเท่านั้น
ผลของการสวดมนต์ ไม่เพียงทำให้คุณวิชาญได้รับความเมตตาจากคนที่เขาเคยโกรธ เคยไม่ชอบหน้าเท่านั้น ทว่าอานิสงส์ของการสวดมนต์ ยังส่งผลไปถึงลูกสาวของคุณวิชาญที่อยู่ไกลถึงรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเริ่มขึ้นจากวันหนึ่งลูกสาวคุณวิชาญโทรศัพท์มาจากอเมริกา เพื่อขอให้ผู้เป็นพ่อซื้อรถยนต์ให้ใช้ขณะอยู่ที่นั่น... -
กราบสาธุ!! "หลวงปู่หนูอินทร์" เกจิดังอีสาน อวยพรปีใหม่2560 ทุกประโยคนับเป็นมงคลชีวิต!!
กราบสาธุ!! "หลวงปู่หนูอินทร์" เกจิดังอีสาน อวยพรปีใหม่2560 ทุกประโยคนับเป็นมงคลชีวิต!!
วันที่ 30 ธันวาคม 2559 พระราชศีลโสภิต (หลวงปู่หนูอินทร์ กิตฺติสาโร) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ขออำนวยอวยพรให้พุทธศาสนิกชน ศิษยานุศิษย์ ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ ได้ใช้หลักธรรมะของพระพุทธเจ้า คือศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักในการดำเนินชีวิต เพราะเมื่อทุกคนยึดถือปฏิบัติ โดยมีศีล สมาธิ ปัญญา แล้ว ก็จะมีสติ รอบรู้ ใคร่ครวญ ทำให้ไม่ประมาท โดยเฉพาะไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต คือไม่ประมาทในวัย ทั้งปฐมวัย มัชฌิมวัย และปัจฉิมวัย
ปฐมวัยคือวัยเด็ก เป็นวัยที่ต้องศึกษาหาความรู้ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน มัชฌิมวัยคือวัยกลางคน ซึ่งเป็นวัยทำงาน ประกอบสัมมาชีพโดยสุจริต เพื่อสร้างหลักฐานให้ครอบครัวมีความมั่นคง และปัจฉิมวัย คือวัยสูงอายุให้รู้จักเข้าวัด หมั่นทำบุญ ให้ทาน ดังนั้นในโอกาสต้อนรับปีใหม่ จึงขออำนวยอวยพรให้พุทธศาสนิกชน ญาติโยม ศิษยานุศิษย์ ประชาชนชาวไทย ปราศจากสิ่งไม่ดี ละเว้นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ที่จะเป็นแนวทางสร้างความสุข... -
เมื่อพระพุทธเจ้าสอนเด็ก
เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี โกศลรัฐ เช้าวันหนึ่งเสด็จออกบิณฑบาตทอดพระเนตรเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังตีงูด้วยท่อนไม้ ตรัสถามว่า “ทำอะไรกัน” “งูพระเจ้าข้า กำลังตีด้วยท่อนไม้” “เพราะเหตุอะไร” “เพราะกลัวจะกัดพระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนแปลความว่า “ผู้ที่แสวงหาสุขเพื่อตน เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายที่รักสุขด้วยท่อนไม้ ต่อไปย่อมไม่ได้สุข ส่วนผู้ที่แสวงหาสุขเพื่อตน ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายที่รักสุขด้วยท่อนไม้ ต่อไปย่อมได้สุข” เด็กกลุ่มนั้นฟังเข้าใจซาบซึ้ง เลิกเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายโดยเด็ดขาดตั้งแต่นั้นมา
- เด็กวัด 26 พุทธศตวรรษ - -
วิธีทำบุญให้เป็นฌานแบบง่ายๆก่อนหลับและหลังจากตื่นนอนใหม่ๆ
ก่อนจะหลับทำบุญเสียหน่อย ตั้งใจเอาเงินใส่ในภาชนะนั้นเก็บไว้ คิดว่าเราจะถวายพระเป็นค่าภัตตาหารก็ได้ เป็นวิหารทานก็ได้ เป็นธรรมทานก็ได้ หรือสร้างพระพุทธรูปก็ได้ตามใจชอบ แต่ก่อนที่จะใส่ถ้าว่าคาถาวิระทะโยเป็นก็ว่าไป ถ้าไม่ว่าก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หรือพระปัจจเจกพุทธเจ้า ถือว่าเวลานั้นจิตของท่านเป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอนุสสติใหญ่ การคิดว่าจะเอาสตางค์ใส่ในบาตรหรือใส่ในกระป๋อง คิดว่าจะใส่ อันนี้เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน เป็นทาน การใส่อย่างนั้นเป็น ทานบารมี
บรรดาท่านพุทธบริษัท การทำเพียงแค่นี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำทุกวันอย่างนี้ อาตมาขอยืนยันว่าทุกคนนี่ลงนรกไม่ได้ ถ้าเรามีการเริ่มต้นอย่างนี้ หากว่าญาติโยมจะถามว่าทุกคนต้องการไปนิพพาน ทำจิตถ้าเป็นฌานอย่างนี้พื้นฐานใหญ่ ถ้าหากว่านอนหลับตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ ถ้าเราหวังนิพพาน สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิ อย่าลืมพุ่งใจตรงไปนิพพานทันที แล้วก็ตั้งใจว่าถ้าตายเมื่อไรขอมาที่นี่จุดเดียว อย่างนี้ไปนิพพานแน่
ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติแบบ สุกขวิปัสสโก เมื่อหลับตื่นขึ้นมาหายเหนื่อยแล้ว ก็รวบรวมกำลังใจจะนอนอยู่แบบนั้นก็ได้... -
ธรรมทานนี้เลิศกว่าทานทั้งหลาย
การแสดงธรรมบ่อย ๆ แก่บุคคลผู้เงี่ยหูลงรับฟัง
นี้เลิศกว่าพูดถ้อยคำอันเป็นที่รัก
การชักชวนผู้ไม่มีศรัทธาให้ตั้งมั่นทรงไว้
ได้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
ชักชวนผู้ละเมิดศีลให้ตั้งมั่นทรงไว้
ได้ถึงพร้อมด้วยศีล
ชักชวนผู้ไม่อยากให้ให้ตั้งมั่นทรงไว้
ได้ถึงพร้อมด้วยการให้ปัน
ชักชวนผู้มีปัญญาทรามให้ตั้งมั่นทรงไว้
ได้ถึงพร้อมด้วยปัญญา
นี้เลิศกว่าการประพฤติประโยชน์ทั้งหลาย
(เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก ภาษาไทยฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ “พลสูตร” ข้อที่ ๒๐๗)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=36372 -
ท่านผู้ไกลกิเลส มีความสุขจริงหนอ
ท่านผู้ไกลกิเลส มีความสุขจริงหนอ
คนมีห่วงกังวล ย่อมวุ่นวายอยู่
ตราบใด ยังมีชิ้นเนื้อคาบไว้นิดหน่อย ตราบนั้น ก็ยังถูกกลุ้มรุมยื้อแย่ง
พวกมนุษย์ผู้อ่อนปัญญาไม่เห็นอริยธรรม สนทนาถกเถียงกันทั้งวันทั้งคืน แต่ในเรื่องที่ว่า เงินของเรา ทองของเรา
ผู้ถึงธรรมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส
มัวเศร้าโศกอยู่ก็ซูบผอมลง อาหารก็ไม่อยากรับประทาน ศัตรูก็พลอยดีใจในเมื่อเขาถูกลูกศรแห่งความโศกเสียบแทงย่ำแย่อยู่
ชนทั้งหลายผู้ยังอ่อนปัญญาเฝ้าแต่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง และ หวนละห้อยถึงความหลังอันล่วงไปแล้ว จึงซูบซีดหม่นหมอง เสมือนต้นอ้อสดที่เขาถอนขึ้นทิ้งไว้ในกลางแดด
ผู้ใดพอใครถามถึงทุกข์ของตน ก็บอกเขาเรื่อยไปทั้งที่มิใช่กาลอันควร ผู้นั้นจะมีแต่มิตรชนิดเจ้าสำราญ ส่วนผู้หวังดีต่อเขาก็มีแต่ทุกข์
ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข และ ทุกข์ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาในหมู่มนุษย์ ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน อย่าเศร้าโศกเลย ท่านจะโศกเศร้าไปทำไม... -
เหตุที่บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว เมื่อฟังธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
เรื่อง "เหตุที่บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว เมื่อฟังธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า"
(โอวาทธรรม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
ท่านผู้อ่านทั้งหลายคงเคยได้ทราบเรื่องของพระสาวกบางรูปมาแล้วว่า ท่านได้บรรลุพระอรหัตตผลในขณะที่ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์นั่นเอง แล้วท่านเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมท่านจึงสำเร็จง่ายดายนัก ท่านไม่ได้เจริญ ฌาน-สมาธิ-วิปัสสนา และมรรค ๘ บ้างหรือ
หากท่านตั้งใจคิดและพิจารณาด้วยใจอันเป็นธรรมแล้ว คงจะเห็นชัดด้วยใจของตนเองว่า ท่านเหล่านั้นในขณะนั้นท่านไม่ได้เจริญฌาน หรือหากบางท่านจะเคยได้เจริญฌานมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ในขณะที่ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาอยู่นั้น ท่านไม่ได้เจริญฌาน ท่านเจริญสัมมาทิฏฐิ อันมีสัมมาสมาธิเป็นรากฐาน คือดำเนินตามองค์มรรค ๘ ทีเดียว มีวิปัสสนาคือ พระไตรลักษณญาณเป็นผู้อุดหนุน
หากจะมีความสงสัยว่าสมาธิในขณะนั้นจะมีได้อย่างไร ขอเฉลยไว้ ณ โอกาสนี้เลยว่า สมาธิ ไม่ต้องดับรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส เหมือนฌาน แต่สมาธิจะยึดเอาอารมณ์ทั้ง ๖ นั่นแหละมาเป็นเครื่องพิจารณาจนเห็นอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นชัดตามเป็นจริงว่า อายตนะ ๖ มีตาเป็นต้น... -
เหลือเชื่อ! เจ้าชายน้อยภูฏานวัย 3 ขวบ ระลึกชาติ 824 ปี เป็นอาจารย์ที่นาลันทา!!
เหลือเชื่อ! เจ้าชายน้อยภูฏานวัย 3 ขวบ ระลึกชาติ 824 ปี เป็นอาจารย์ที่นาลันทา!!
เป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ของภูฏานและอินเดีย เมื่อมีรายงานข่าวหลายแห่งระบุว่า เจ้าชายราชวงศ์ภูฏานพระองค์หนึ่ง ชันษา 3 ปี สามารถระลึกชาติได้ว่า ชาติก่อนทรงเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก เมื่อ 824 ปี ก่อน
รายงานระบุว่า เจ้าชายน้อยพระองค์นี้ เป็นโอรสของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งแห่งภูฏาน ทรงบอกว่า เมื่อ 824 ปีก่อน ทรงเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ในประเทศอินเดีย และหากว่าได้เสด็จเยือนที่มหาวิทยาลัยนาลันทาอีกครั้ง จะทรงจำทุกอย่างได้ เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา พระอัยยิกา(ยาย) ของเจ้าชายจึงพาเจ้าชายไปที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ที่ประเทศอินเดีย ปรากฏว่าเจ้าชายสามารถจำสถานที่ต่างๆได้แม่นยำ แม้แต่ห้องเรียนของพระองค์เอง
เรื่องนี้สร้างความฮือฮาแก่สื่อมวลชนและชาวโซเชียลในประเทศอินเดียและภูฏานอย่างยิ่ง และกำลังอยู่ในความสนใจของประชาชนทั้งสองประเทศ
ที่มา : ข่าวสด
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_177373 -
"พระศรีอาริย์โปรดสัตว์ 3 กาล"
"พระศรีอาริย์โปรดสัตว์ 3 กาล"
นับตั้งแต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าปรินิพพานให้หลัง ไปแล้ว 5,670,000,000 ปี ( ห้าพันหกร้อยเจ็ดสิบล้านปี ) จะถึงกาลที่พระศรีอาริย์จะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แสดงธรรมโปรดสัตว์ 3 กาล คือ
1. ปฐมกาล โปรดเวไนย์ ผู้ถือศีล 5 ที่ตกค้างจากองค์
พุทธที่ 4 จำนวน 9,600,000,000
( เก้าพันหกร้อยล้านคน )
2. มัธยมกาล โปรดผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จำนวน
9,400,000,000 ( เก้าพันสี่ร้อยล้านคน )
3. ปัจฉิมกาล โปรดผู้ที่ภาวนาพระนามพระพุทธเจ้า
ด้วยเอกจิต จำนวน 9,200,000,000
( เก้าพันสองร้อยล้านคน )
พระศรีอาริย์ยุคก่อนกึ่งพุทธกาล
เอกัง สะมะยัง.......สมัยหนึ่งที่สมเด็จพระชินศรี สัมพุทโธเจ้าเสด็จประทับเมืองกุสินารายณ์ ทรงสำราญพระอริยาบถในสวนพระราชอุทยานแห่งพระเจ้าสามลราช กับเหล่าพระภิกษุสงฆ์ ครานั้นสมเด็จพระพิชิตมารทรงพระประชวรอยู่แล้ว ( ใกล้เข้าสู่พระปรินิพพาน ) ได้ตรัสแก่พระอานนท์และพระภิกษุสงฆ์สองหมื่นรูปว่า.......
ตถาคตใกล้เข้าสู่พระปรินิพพานอยู่แล้ว ตถาคตจะบัญญัติไว้แก่พระศาสนาห้าพัน สัตว์ทั้งปวงจะบังเกิดมาในอนาคตกาลภายภาคหน้า
-... -
หลวงพ่อพระราชพรหมยานเล่าให้ฟัง เรื่อง แดนพระนิพพาน
.. " วันหนึ่ง *สมเด็จ* ท่านพามาที่วิมาน นิพพานนี่มันกว้างลิ่ว และ *บ้าน* นี่นะนาน ๆ จะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า
.. ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะ *พุทธานุสสติกรรมฐาน* เป็นอารมณ์ตลอดเวลา
.. ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า วันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม
.. ท่านคงไม่ยอมให้ลง ..
.. แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า : " คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขย กับ แสนกัป และ เป็นฝ่าย *วิริยาธิกะ* "
.. เป็นอันว่าคณะของเรา ที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้ว นับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม
.. วันนี้มีเวลาลองสอบดูนิดหนึ่ง ถามว่า : " คณะของข้าพระพุทธเจ้ามีกี่สาย จากหลังบ้านไปนี่ "
.. ท่านบอกว่า : " มี ๓๗ สาย "
.. ถามว่า : " สายหนึ่งมีระยะยาวเท่าไร.? "
.. ท่านบอกว่า : "... -
วิธีพ้นภัยได้ด้วยศีลธรรม ความดี" จากคำบอกของปู่อินทร์ตาทิพย์ ผู้ได้บารมีจากท้าวสักกะเทวราชอายุ 115 ปี
วิธีพ้นภัยได้ด้วยศีลธรรม ความดี" จากคำบอกของปู่อินทร์ตาทิพย์ ผู้ได้บารมีจากท้าวสักกะเทวราชอายุ 115 ปี
ปู่อินทร์ตาทิพย์เขาตำแย คือท่านผู้เฒ่าที่อายุมากกว่า 115 ปี แล้วมีการกล่าวไว้ว่า ท่านเป็นมนุษย์ผู้ที่ได้รับญาณบารมีของท่านท้าวสักกะเทวราช และยังดำรงร่างกายเดินเหินใช้ชีวิตได้ตามปกติ เมื่อได้สนทนากับท่าน ก็จะรู้ว่าท่านมีสติสมบูรณ์มิได้หลง หรือเลอะเลือนเช่นคนชราทั่วๆ ไป ท่านบอกว่าท่านยังตายไม่ได้ เพราะบ้านเมืองมีปัญหา และยังต้องอยู่รอให้ถึงปี 2562 ก่อน และเมื่อเหตุการณ์ภัยพิบัติจบลงในปี 2562 ท่านจะให้พระยาธรรมมิกราชมาปรากฏ ในปี 2563 เราก็จะได้พบกับสามร่มโพธิ์ศรี จากนั้นท่านจะพิจารณาอีกทีว่าจะอยู่ต่อหรือจะละร่างนี้
ท่านปู่อินทร์ตาทิพย์ เขาตำแย ท่านได้บอกเตือนเกี่ยวกับการเกิดภัยต่างๆในปี ๒๕๖๐ ไว้ เพราะเกิดจาก ปัจจุบันนี้ผู้คนไม่มีศีลธรรม ไม่ละอายแก่บาป เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กรรมของใครๆ แต่นี่คือ วัฎจักรของโลก บ้านเมืองเจริญขึ้น แต่จิตใจมนุษย์เจริญลง ยิ่งการสมสู่มนุษย์ต่อกันเดียวนี้ไม่มีเลือกผัวเลือกเมียหรือลูกหลาน นี่แหละกลียุคตามคำทำนายขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธโคดม... -
ทุกข์เพราะคิดผิด --ที่สุดแห่งสมาธิ-- โดย หลวงปู่ชา
เมื่อตอบปัญหา คนดีอยู่ไหนแก่ตนเองแล้ว หลวงพ่อเกิดความปลื้มปิติเยือกเย็นใจมาก และได้ถือเอาความรู้นั้นเป็นคติสอนใจตลอดมา
หลวงพ่อได้ออกจาริกต่อตามวิถีทางของพระกรรมฐาน ผู้ไม่ยึดติดและไม่ยอมให้สิ่งใดผูกมัดตน แม้จะต้องผ่านพบกับสิ่งต่างๆ ทั้งดีและเลว ทั้งสุขและทุกข์ ก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยการเห็นโทษ และมีปัญญาในการสลัดออก
วันหนึ่งหลวงพ่อเดินผ่านดงใหญ่ถึงวัดร้าง ใกล้หมู่บ้านโคกยาว จังหวัดนครพนม พบว่าสถานที่วิเวกดี จึงหยุดพักอยู่ที่นั่น ได้รับความสงบระงับดีมาก ท่านเล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการภาวนาที่วัดร้างนั้นให้ฟังว่า...
"คืนนั้นประมาณห้าทุ่มกว่าๆ ขณะเดินจงกรมอยู่ รู้สึกแปลกๆ มันแปลกมาตั้งแต่กลางวันแล้ว รู้สึกว่าไม่คิดอะไรมาก มีอาการสบายๆ เมื่อเดินจงกรมเมื่อยแล้ว จึงขึ้นไปนั่งกระท่อมเล็กๆ ขณะจะนั่งคู้ขาเข้าแทบไม่ทัน จิตมันอยากสงบ มันเป็นของมันเอง... พอนั่งลงแล้วจิตมันก็สงบจริงๆ รู้สึกตัวหนักแน่น...
คืนนั้นในหมู่บ้านมีงาน เขาร้องรำทำเพลงกัน ได้ยินอยู่แต่จะทำให้ไม่ได้ยินก็ได้ เมื่อไม่เอาใจใส่ก็เงียบไม่ได้ยิน จะให้ได้ยินก็ได้ยิน ไม่รู้สึกรำคาญ...
ดูจิตกับอารมณ์ก็เห็นตั้งอยู่คนละส่วน... -
นึกถึงพุทโธไว้ก่อนจะตายประมาณ๓วันจะมีรถทิพย์มารับ
"ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน ทุกวันถ้ามีความจำเป็นต้องทำบาป อย่างพวกปลูกผักปลูกหญ้านี่ เวลาที่ทำแล้วกลับมาบูชาพระลืมบาป ทิ้งบาปเสีย ตั้งใจภาวนา พุทโธ บ้าง สัมมาอรหัง บ้าง อะไรก็ได้ตามชอบใจ พอถึง เวลาบูชาพระ ก็ นึกถึงเฉพาะพระ เวลาเราจะหลับนึกถึงเฉพาะพระนิพพาน เป็นอารมณ์ ตั้งใจไว้เลยว่าเราจะไปนิพพาน ถ้าชาตินี้ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานเมื่อนั้น แล้วภาวนาว่า พุทโธ จับลมหายใจเข้าให้หลับไป พอตื่นขึ้นมาใหม่ก็ตั้งใจเฉพาะภาวนาว่าพุทโธ เราจะไปนิพพาน
เอาแค่นี้บรรดาพุทธบริษัท ขอยืนยันว่า ถ้าทุกคนทำได้จริง คำว่าทำได้จริงก็หมายความว่า เวลาเข้าบ้านปั๊บ ถึงเวลาบูชาพระ จิตต้องไม่นึกถึงบาปแล้วก็ภาวนาว่า พุทโธ ตั้งใจไปนิพพาน พอตื่นขึ้นมาปั๊บจิตก็นึกถึงพระนิพพานขึ้นมาทันที ภาวนาว่า พุทโธ อย่างนี้จิตเป็น ฌาน ถ้าจิตเป็นฌานอย่างนี้ทุกคนสังเกตเวลาตาย กำลังบารมียิ่งมีความสำคัญ ถ้าบารมีของเรายังอ่อน ถ้าเวลาตายเห็นกองไฟ มีความสุข เพราะอะไรรู้ไหม ปลาจะสุกได้เพราะไฟใช่ไหม นั่นลงนรกแน่นอน ถ้าเห็นป่าจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เห็นก้อนเนื้อไปเกิดเป็นมนุษย์ ภาพเกิดก่อนจะตายนะ
ทีนี้ถ้าเราเป็นคนมีบุญ เมื่อมันจะตายจริง... -
หลวงพ่อจรัญแนะนำวิธีลดกรรม ด้วยวิธีใส่บาตรให้ถูกวิธี พร้อมอธิษฐานตามนี้ให้ถูกหลัก
• ก่อนใส่บาตร… ให้จุดธูป 3 ดอกกลางแจ้ง ขอขมากรรม โดย ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอขมากรรม ต่อเจ้ากรรมนายเวร ศัตรู หมู่มาร หมู่พาล ทุกภพทุกชาติ ขอให้อโหสิกรรม ให้ขาดจากกัน
• หลังใส่บาตรเสร็จ… ทุกครั้ง ให้ ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่า กุศลที่ลูกได้ทำแล้ว ขอถวายแด่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ขอให้ทุกพระองค์ นำส่งบุญให้ข้าพเจ้า มีเดช ปัญญา โภคะ ขอให้สมหวัง สมปรารถนาทุกเรื่อง ขอให้มีบุญบารมีเต็มขั้น เกิดสภาวะธรรม ตามบุญวาสนาที่ได้ทำมา จากทุกภพทุกชาติโดยเร็วเทอญ และ ขออุทิศให้ เจ้ากรรมนายเวร ทุกภพทุกชาติ (วิญญาณ) ศัตรูหมู่มารหมู่พาล (เช่น มนุษย์,หุ้นส่วน,เพื่อน,ในครอบครัว) ทุกภพทุกชาติ (เอ่ยชื่อได้ยิ่งดี) ขอให้อโหสิกรรม ขอให้ขาดจากกัน ณ.เดี๋ยวนี้ เทอญ ขอให้อุปถัมภ์ค้ำจุนข้าพเจ้า
• ถ้าทำบุญด้วยข้าวสารเป็นกระสอบ หรือ ถมทราย ดิน ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า … ผลบุญนี้ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวย เหมือนเมล็ดข้าวสาร เม็ดทราย ดิน เจ้ากรรมนายเวร ตามเมล็ดข้าวสาร ตามเม็ดทรายดิน ขอให้ได้รับ และขอให้อโหสิกรรม หลุดขาดจากกัน ณ บัดนี้เดี๋ยวนี้เทอญ ขอให้ข้าพเจ้า มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง พบแต่... -
นางลาช เทวธิดาข้าวตอก ผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางลาชธิดา ตรัสพระธรรมบทว่า
มีหญิงชาวนาเข็ญใจผู้หนึ่ง ถวายข้าวตอกแก่พระมหากัสสปะที่เพิ่งออกจากฌานสมาบัติ หลังถวายข้าวตอกแล้วได้ทำความปรารถนาว่า "ท่านเจ้าข้า ขอดิฉันพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว" พระเถระได้กล่าวอนุโมทนาว่า " ความปรารถนาอย่างนั้น จงสำเร็จ"นางไหว้พระเถระแล้วนึกถึงทานที่ตนถวายหันหลังเดินกลับมา
ในระหว่างที่นางเดินมาบนคันนาเพื่อกลับมาที่กระท่อมนั้น นางถูกงูพิษกัดตาย ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่ในวิมานทอง ประมาณ ๓๐ โยชน์ มีร่างกายประมาณ ๓ คาวุต เพราะอานิสงส์ถวายข้าวตอกเป็นทานด้วยศรัทธา นางจึงได้ชื่อว่าลาชเทวธิดา(เทวธิดาข้าวตอก) นางต้องการจะเพิ่มพูนบุญกุศลให้แก่ตน ได้ลงจากสวรรค์มาเก็บกวาดบริเวณที่พักของพระมหากัสสปเถระในตอนเช้าๆ ถูกพระเถระห้ามปรามไม่ให้ทำ เพราะเกรงว่าคนจะนำไปติเตียนได้ นางเทวธิดาเสียใจร้องไห้ที่ถูกขัดขวางมิให้ทำความดี พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นด้วยพระเนตรทิพย์ ได้เนรมิตพระวรกายไปปรากฏประหนึ่งว่าอยู่เบื้องหน้าของนาง แล้วรับสั่งกับนางว่า ความสำรวมระวังเป็นหน้าที่ของกัสสปะ... -
ในเรื่องของกาม
ในเรื่องของกาม
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น
รูปอะไรก็ไม่จับใจเท่ารูปผู้หญิง ผู้หญิงรูปร่างบาดตา
ก็ชวนมองอยู่แล้ว ยิ่งเดินซอกแซกๆ ก็ยิ่งมองเพลิน
เสียงอะไรจะมาจับใจเท่าเสียงผู้หญิง เป็นไม่มี
มันบาดถึงหัวใจ กลิ่นก็เหมือนกัน กลิ่นอะไรก็ไม่เหมือน
กลิ่นผู้หญิงติดกลิ่นอื่นก็ไม่เท่าติดกลิ่นผู้หญิง
มันเป็นอย่างนั้น รสอะไรก็ไม่เหมือน รสข้าว รสแกง
รสสารพัดก็ไม่เทียบเท่ารสผู้หญิง หลงติดเข้าไปแล้ว
ถอนได้ยากเพราะมันเป็นกาม โผฏฐัพพะก็เช่นกัน
จับต้องอะไรก็ไม่ทำให้มึนเมาปั่นป่วน
จนหัวชนกันเหมือนกับจับต้องผู้หญิง
ฉะนั้น เมื่อลูกท้าวพญาที่ไปเรียนวิชากับอาจารย์ตักศิลา
จนจบแล้ว จะลาอาจารย์กลับบ้าน อาจารย์จึงสอนว่า
เวทย์มนต์กลมายาอะไรๆ ก็สอนให้บอกให้จนหมดแล้ว
เมื่อกลับไปครองบ้านครองเมืองแล้ว
มีอะไรมาก็ไม่ต้องกลัว จะสู้ได้หมดทั้งนั้น
จะมีสัตว์ประเภทใดมาก็ไม่ต้องกลัว
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์มีฟันอยู่ในปากหรือมีเขาอยู่บนหัว
มีงวง มีงา ก็คุ้มกันได้ทั้งสิ้น
แต่ไม่รับรองอยู่เฉพาะสัตว์จำพวกหนึ่ง
ที่เขาไม่ได้อยู่บนหัว แต่หากไปอยู่ที่หน้าอก
สัตว์ชนิดนี้ไม่มีมนต์ชนิดใดจะคุ้มกันได้... -
กิเลส 16 ชนิดที่แฝงมากับการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค....
กิเลส 16 ชนิดที่แฝงมากับการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค....
1. อภิชฌาวิสมโลภะ
เห็นใครโพสภาพบ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูๆ อาหารดีๆ ภาพการพักผ่อนในโรงแรมสวยๆ ภาพชีวิตหรูหรา ก็เกิดความรู้สึกอยากได้เหมือนอย่างเขา เกิดความไม่พอใจชีวิตของตนเอง เกิดความโลภ เกิดความทุกข์ หดหูใจว่าทำไมหนอ ชีวิตคนอื่นจึงดีกว่าชีวิตของตนเอง นานวันเข้าก็พัฒนาไปสู่ความโลภ อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัว รู้สึกอยากจะโพส อยากจะอวดเหมือนอย่างเขาบ้าง
2. พยาบาท
เปิดเฟสส่องดู เห็นคนที่ตนเกลียดมีความสุข ก็คิดหมั่นไส้อยู่ในที แต่เมื่อเปิดดูแล้ว เห็นคนที่ตนเกลียดมีความทุกข์ หรือมีปัญหาก็รู้สึกยินดีพอใจ
3. โกธะ
ใครโพสสิ่งใดไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความคิดของตัว ก็นึกโกรธ จับโยงความคิดผู้อื่นมาปะทะกับความคิดของตนเอง จนกลายเป็นความทุกข์ใจ
4. อุปนาหะ
เมื่อโกรธ เพราะคิดเห็นต่างกัน ก็ผูกใจเกลียดคนๆ นั้น โดยไร้เหตุผล
5. มักขะ
เห็นใครทำความดีก็นึกหมั่นไส้เขา เห็นคำสอนปราชญ์ คำสอนพระ คำสอนศาสดา คำสอนผู้รู้ใดๆ ที่ไม่เข้ากับความคิดของตน ก็นึกดูแคลน พยามใช้ความคิดของตนหักล้าง ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เขานำเสนอนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
6. ปลาสะ...
หน้า 401 ของ 415