คลังเรื่องเด่น
-
คีอานูรีฟส์!!! ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการสนใจธรรมะและศาสนาพุทธเพราะสามารถพบความสุขที่ยั่งยืน
คีอานูรีฟส์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสารเกี่ยวกับการสนใจธรรมะว่า"หลักธรรมอย่างแรกที่รู้คือ ความจริงสี่ประการ (อริยสัจ 4) เกี่ยวกับ ทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ หนทางดับทุกข์ และวิธีพ้นไปจากทุกข์ จนพบความสุขศาสนาพุทธ เชื่อในการปล่อยวางตัวของเรา ซึ่งก็คือ อีโก ในความเชื่อทางตะวันตกพุทธจะสอนว่า สิ่งที่เรานึกว่ามันเป็น "ตัวเรา" นั้น ที่แท้มันไม่มีอยู่จริง และในขณะที่ผมไปเนปาลเพื่อลองชุดที่ต้องใช้ในการถ่ายทำ ผมก็ได้พบท่านอาจารย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสนาพุทธ ตำแหน่งท่านคือ ริมโพช ซึ่งทำงานกับ เบอร์นาร์โด ผมได้คุยกับท่านอยู่หลายครั้ง ท่านสอนผมให้ฝึกร่างกาย เพื่อให้เข้าถึงสมาธิ และท่านสอนผมว่าทำอย่างไรจึงจะละวางตัวตนได้หมดไป แล้วไปถึงนัยยะอื่นๆ แง่มุมอื่นๆ เพื่อให้เข้าถึงความเมตตา ความหยั่งรู้ และความสุขในที่สุด
ตอนที่ผมต้องเรียนสิ่งเหล่านี้กับท่านริมโพช มันยากมาก มันเจ็บด้วยนะ นั่งขัดสมาธินานๆ น่ะ และมันยังทำใจลำบากจริงๆ ที่จะละวางสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา ท่านจึงบอกผมว่า จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ท่านพูด ท่านให้ผมคิดทุกอย่างที่ได้ฟังมา ทดสอบกับสิ่งที่ผมเคยรู้ และขบคิดอย่างจริงจัง... -
เพียง"ศีล5" ก็พาขึ้นสวรรค์ได้! หลวงปู่คำคะนิง ได้รับคำยืนยันจาก พระยายม !
เพียง"ศีล5" ก็พาขึ้นสวรรค์ได้! หลวงปู่คำคะนิง ได้รับคำยืนยันจาก พระยายม !
เราอาจเคยได้ยินมาว่า จะต้องบำเพ็ญทานบารมีเป็นหนักหนา เราจึงจะได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ได้ แต่แท้จริงแล้ว เพียงปฏิบัติตนในศีล 5 อันได้แก่
ศีลข้อที 1 ปาณาติปาตาเวรมณี หมายถึง การละเว้นจากการฆ่าชีวิตสัตว์ทุกชนิด
ศีลข้อที่ 2 อทินนาทานาเวรมณี หมายถึง การเว้นจากการลักทรัพย์ หรือทรัพย์ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้
ศีลข้อที่ 3 กาเมสุมิสฉาจาราเวรมณี หมายถึง การละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม การประพฤติผิดลูกผิดเมียคนอื่น (มีกิ๊ก มีชู้ก็ไม่ควร ยกเว้นแต่ จะมีการแต่งงาน และหรือมีการรับรู้รับเห็นด้วยจากผู้ปกครองของทั้งสองฝ่าย)
ศีลข้อที่ 4 มุสาวาทาเวรมณี หมายถึง การละเว้นจากการพูดปดงดเท็จ พูดจาโกหก พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย
ศีลข้อที่ 5 สุราเมรยมัฌชปะมาทัตถานาเวรมณี หมายถึง การละเว้นจากการดื่มสุราเมรัยและเครื่องดองของมืนเมาทุกชนิด
เรื่องนี้ หลวงปู่คำคะนึง ได้เล่าไว้ในขณะที่หลวงปู่ได้ท่องเมืองนรก ท่านเห็นและได้สอบถามจากพระยายมโดย ตรง โดยมีเนื้อความดังต่อไปนี้
ความชั่วร้ายทั้งหลาย จ่ายมบาลอธิบายให้หลวงปู่คำคะนิงฟัง
ศีลห้าสู่สวรรค์... -
รู้หรือไม่?? 10 วิธีกรวดน้ำแบบได้บุญกุศล-เกิดผลสูงสุด เจ้ากรรมนายเวรได้รับทำอย่างไร??
รู้หรือไม่?? 10 วิธีกรวดน้ำแบบได้บุญกุศล-เกิดผลสูงสุด เจ้ากรรมนายเวรได้รับทำอย่างไร??
การกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลนั้น เป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้แก่ญาติสายโลหิตและมิตรสหายที่ล่วงลับไปเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต การกรวดน้ำ นิยมทำกันอย่างนี้ คือ เตรียมน้ำสะอาดใส่ภาชนะ จะเป็นคณฑี แก้วน้ำ ขวดน้ำ หรือขัน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ และหาภาชนะสำหรับรองน้ำกรวดไว้ให้พร้อม พอพระเริ่มอนุโมทนาขึ้นบทว่า “ยถา วาริวหา……….”
ก็เริ่มกรวดน้ำ (รินน้ำ) ลงในภาชนะรอง โดยตั้งใจนึกอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลตามแบบกรวดน้ำทั่วไป เมื่อพระว่าจบและขึ้นบทว่า สัพพีติโย….พร้อมกัน ผู้กรวดน้ำพึงหยุดกรวดน้ำแล้วประนมมือรับพร เสร็จแล้วจึงนำน้ำที่กรวดนั้นไปเทลงบนดินที่สะอาด หรือที่โคนต้นไม้ก็ได้
1. การกรวดน้ำมี 2 วิธี คือ
-กรวดน้ำเปียก คือ ใช้น้ำเป็นสื่อ รินน้ำลงไปพร้อมกับอุทิศผลบุญกุศลไปด้วย
-กรวดน้ำแห้ง คือ ไม่ใช้น้ำ ใช้แต่สิบนิ้วพนมอธิษฐาน แล้วอุทิศผลบุญกุศลไปให้
2. การอุทิศผลบุญมี 2 วิธี คือ
อุทิศเจาะจง ได้แก่ การออกชื่อผู้ที่เราจะให้ท่านรับ เช่น ชื่อพ่อ แม่ ลูก หรือใครก็ได้
อุทิศไม่เจาะจง ได้แก่ การกล่าวรวมๆกันไป เช่น... -
อย่าพยายามทึกทักเอาเองว่า พระอรหันต์คือพระแบบใด? หลวงปู่ดูลย์ ได้แก้สงสัยอธิบายไว้
อย่าพยายามทึกทักเอาเองว่า พระอรหันต์คือพระแบบใด?
หลวงปู่ดูลย์ ได้แก้สงสัยอธิบายไว้
ครั้งหนึ่ง สามเณรสองรูปหลังเสร็จจากการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้วก็มานั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้หน้ากุฏิ และถกเถียงกันถึงคุณลักษณะแห่ง "พระอรหันต์" ที่ศึกษามาจากห้องเรียน
สามเณรใหญ่ชี้แจงว่า
"พระอรหันต์นั้นละกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น หมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิง!"
สามเณรน้อยเถียงทันที
"พระอรหันต์ของหลวงพี่ช่างน่าเวทนายิ่งนัก เหมือนเสาต้นหนึ่ง ก้อนหินก้อนหนึ่ง จะเกิดน้ำท่วมไฟไหม้ก็ไม่รู้อะไรเลย คงจะต้องตายเสียเปล่า และยังเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์สิ้นเชิง!"
ขณะที่วิวาทะกำลังดำเนินไปอย่างผิดเป้าหมายก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นจากในกุฏิของหลวงปู่ดูลย์ สามเณรทั้งสองจึงสามัคคีกันหลบหนีไป
ครั้นข้อถกเถียงนี้ล่วงรู้ถึง "หลวงปู่ดูลย์ อตุโล" ท่านก็กล่าวว่า
"แม้จะเป็นการถกเถียงเอาชนะกัน แต่ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตที่น่าพินิจพิจารณา"
แล้วหลวงปู่ก็อธิบายว่า
"จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ ตราบใดที่มีจิต การรับรู้อารมณ์ก็ย่อมมีเป็นธรรมดาโดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้น... -
ยอดอานุภาพไม่มีประมาณของ..."พระคาถาเงินล้าน"
"..พระคาถาเงินล้าน..เรียกว่าเป็นสุดยอดพระคาถา มีหลักฐานที่มาของคาถายอดพุทธคุณไม่เคยมีปรากฎมาก่อน
นับตั้งแต่ คาถาประทานโดย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๒ พระองค์คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และ พระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ในภัทรกัปนี้)
✪ คาถาบทนี้มีคนใช้ได้ผลมาเยอะแล้ว คนที่ใช้ได้ผลคนแรกสุดคือ นายห้างขายยาตราใบโพธิ์ ที่ว่าเป็นคนแรกเพราะอะไร เพราะตอนนั้น หลวงพ่อปาน ท่านไปเรียนมาจาก " ครูผึ้ง ซึ่งอยู่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้มาจากพระธุดงค์องค์หนึ่ง และพระธุดงค์องค์นี้ท่านก็บอกมาว่าเป็น คาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้า "
..✪.ตามปกติครูผึ้งท่านรักษาศีลอยู่แล้ว ก่อนที่พระธุดงค์จะไป ท่านได้ให้คาถาบทนี้และบอกว่า "ตอนเช้าทุกวันควรใส่บาตร ก่อนจะใส่บาตรก็ให้ว่าคาถาบทนี้หนึ่งจบ แล้ววิธีใส่บาตรมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าไม่มีพระจะมา ให้ใช้ข้าวสารตักแทนก็ได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราใช้สตางค์ใส่บาตรแทนก็ได้ เงินนั้นให้ใช้เป็นค่าอาหาร มากน้อยตามกำลัง ไม่จำเป็นต้องไปรอพระมา ถ้าเห็นว่ามันมากพอสมควร ก็เอาไปถวายพระ บอกท่านว่าเป็นค่าอาหาร แล้วท่านจะนำไปใช้ค่าอาหาร... -
อัศจรรย์ !!! "ทิพยอำนาจ" แห่งพระอริยเถระ (หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)
เรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บันทึกโดยหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นเรื่องหนึ่งที่กล่าวขวัญกันมากในบรรดาศิษย์ของท่าน เรื่องมีอยู่ว่า...
ในระหว่างที่หลวงปู่ฝั้น อาจาโร พำนักอยู่ในถ้ำพระบนภูวัว ครั้งนั้น ท่านได้ประสบอุบัติเหตุที่นับว่าร้ายแรงที่สุดในชีวิตของท่าน กล่าวคือ วันหนึ่ง ได้มีญาติโยมบ้านดอนเสียดและบ้านโสกก่ามพากันขึ้นไปนมัสการ หลวงปู่จึงได้ขอให้ญาติโยมพาชมภูมิประเทศบนภูวัวและเพื่อจะแสวงหาสมุนไพรบางชนิดด้วย
เมื่อฉันจังหันเสร็จก็ออกเดินทาง มีโยมสองคนเดินนำหน้า หลวงปู่ฝั้นและพระภิกษุเดินตามหลัง ส่วนสามเณรนั้นท่านให้เฝ้าอยู่ที่พัก
ทั้งหมดเดินขึ้นไปตามลำห้วยบางบาด พอถึงลานหินที่ลาดชันขึ้นไปข้างบน ระยะทางยาวประมาณสิบกว่าวา บนลานมีน้ำไหลรินและมีตะไคร่หินขึ้นอยู่ตามทางชันนั้นโดยตลอด โยมสองคนเดินนำหน้าไปก่อน หลวงปู่ท่านเดินตามขึ้นไปและตามด้วยพระภิกษุเดินรั้งท้าย โยมทั้งสองไต่ผ่านลานหินอันชันลื่นขึ้นไปได้แล้ว ส่วนหลวงปู่ก็ไต่จวนจะถึงข้างบนอยู่แล้ว กะว่าเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะพ้นไปได้
พอท่านก้าวข้ามร่องน้ำ พลัน ท่านก็ลื่นล้มทั้งยืน... -
10 อาการทางจิต สุดพิศวง!!
ความแปลกประหลาดพิสดารในโลกนี้ยังมีอีกมากที่เราอาจไม่เคยรับรู้มาก่อน แม้แต่เรื่องของ “จิต” ของมนุษย์เราก็ยังมีความซับซ้อนและในบางคนก็มีความ “พิเศษ” ที่ต่างไปจากคนอื่น ทว่า…ความพิเศษของคนบางคนนั้นก็อาจแปลเป็นความผิดปกติหรือเป็น “อาการทางจิต” ได้…..เราจะพาไปรู้จักอาการทางจิตที่มาจากความผิดปกติต่างๆ จนเป็นเหตุให้เกิดอาการแปลกๆ ทั้ง 10 อาการเหล่านี้…….
Synaesthesia หรือ ซินเนสทีเซีย คืออาการที่ประสาทสัมผัสตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไปเกิดการรับรู้พร้อมกันนั่นเอง บุคคลที่มีอาการแบบนี้จะมีอาการแตกต่างจากคนทั่วไปคือ เช่น บางคนมองตัวเลข (หรือตัวหนังสือ) เห็นเป็นสีต่างๆ เช่น เห็นตัวเลข 1 เป็นสีชมพู และจะเห็นแบบนี้ไปตลอดชั่วชีวิต (โดยสีของตัวเลขขึ้นอยู่กับคนแต่ละคน บางคนอาจเห็นเลข 1 เป็นสีอื่นก็ได้) ขณะที่บางคนฟังเสียงดนตรีจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสผิวหนัง ส่วนอีกคนลิ้นชิมรสชาติอาหาร กลับเห็นรูปร่างตามมาด้วย หรืออีกคนสัมผัสรสชาติต่างๆ เช่น เปรี้ยว เค็ม หวาน ได้จากตัวอักษรหรือตัวหนังสือ สาเหตุของอาการดังกล่าวนี้คาดว่าเกิดจากพันธุกรรม... -
กติกาของการไปนิพพาน
กติกาของการไปนิพพาน
ถาม : อย่างมีเทคนิคหรือว่าเคล็ดลับจริง ๆ นี่ระหว่างทาน ศีล กับภาวนา ตัวไหนคะที่เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ?
ตอบ : ๓ อย่างต้องรวมกัน ถ้าหากว่าจะนับจริง ๆ ก็คือตัวภาวนา ๆ จะทำให้เข้านิพพานได้ แต่ว่ามันจะต้องมีกำลังของทานกับศีลมาหนุนเสริมอยู่ เขาเปรียบอานิสงส์เอาไว้ว่า ทานนั้นเกิดมาจะรวย ศีลนั้นเกิดมาจะรูปสวย มีจิตใจดีงาม ภาวนาเกิดมาจะมีปัญญาฉลาด คนฉลาดแต่จนมันก็แย่ใช่มั้ย ? ส่วนคนรวยไม่มีปัญญา รักษาทรัพย์ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นมันต้องทำเหมือน ๆ กันทำในลักษณะที่ว่าทำให้มันเสมอ ๆ กัน ในเมื่อทำสม่ำเสมอกันต่อไปอานิสงส์ที่มันควรได้มันก็ได้ด้วยกันทั้งหมด ประเภทที่ว่ากันเอาไว้ก่อนเผื่อต้องเกิดใหม่ก็คือเกิดให้มันสมบูรณ์ไป ถ้ามันไม่ต้องเกิดใหม่อาศัยกำลังตัวนี้ส่งเราเข้านิพพาน
ถาม : ถ้ายังไม่สามารถฝึกปฏิบัติให้เห็นพระนิพพานได้แต่ตั้งใจไว้สามารถ....?
ตอบ : สามารถไปนิพพานได้เหมือนกัน กติกาของการไปนิพพานก็คือ
๑. เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นจริงจังไม่ปรามาสทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๒. รักษาศีลอย่างน้อย ๕ ข้อให้บริสุทธิ์
๓. ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน... -
สวดมนต์ให้ได้ทิพจักขุญาณ สวดมนต์ให้ถึงนิพพาน
สวดมนต์ให้ได้ทิพจักขุญาณ สวดมนต์ให้ถึงนิพพาน
ถาม : อานิสงส์การสวดมนต์ได้มากไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าทำเป็นก็ถึงพระนิพพาน สำคัญว่าทำเป็นไหม ?
การสวดมนต์ อันดับแรกได้สมาธิ ถ้าหากว่าเราสมาธิไม่ดีจะสวดผิด
อันดับสองได้ทิพจักขุญาณ ถ้าหากสวดไปนึกถึงตัวหนังสือไป เห็นตัวหนังสือชัดเท่าไร เราก็เห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น
อันดับสามถ้าเราแปลในสิ่งที่สวดได้ ตั้งใจตัด ตั้งใจละตามไป โอกาสเข้าถึงธรรมก็มีสูง
อันดับสุดท้ายถ้ายกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ให้ไปสวดถวายพระข้างบนเลย ตายตอนนั้นก็ไปพระนิพพานตอนนั้น
เพราะฉะนั้น..ก็อยู่ที่เราว่าจะเอาระดับไหน ?
------------------------------
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
เครดิต -
"ภาวนา คือวิธีอ่านตัวเอง" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"ภาวนา คือวิธีอ่านตัวเอง"
" .. "การภาวนา คือวิธีการอ่านตัวเรา ให้รู้ความผิด ถูก ชั่ว ดี" ได้อย่างถูกต้องยิ่งกว่าผู้อื่นจะมาคอยชี้แจ้งความบกพร่องของเรา ให้เราทราบเสียอีก ในขณะเดียวกัน "ก็เป็นวิธีกำจัดหรือลดละความผิดของตัวที่เคยมีมาและปิดกั้นสิ่งไม่ดีทั้งหลายมิให้เกิดขึ้นอีกต่อไปด้วย"
การไม่หัดอ่านตัวเองทำให้เกิดเรื่องยุ่งบ่อย ๆ "การภาวนานี้แล เป็นวิธีการของผู้แสวงหาความสุขโดยถูกต้องอย่างแท้จริง" และเป็นวิธีที่ไม่หลอกลวงให้เกิดความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปในทางที่ผิด .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน -
5 อนาคตภัยของพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงเตือนเอาไว้ – บทความดีๆ จากท่าน ว.
5 อนาคตภัยของพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงเตือนเอาไว้ – บทความดีๆ จากท่าน ว.
พระพุทธองค์ทรงเตือนเอาไว้ว่า ในอนาคตศาสนาพุทธจะมี อนาคตภัย 5 ประการ
ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 22 พระพุทธเจ้าตรัสถึง “ อนาคตภัย ” ซึ่งจะทำให้พระธรรมวินัย (พุทธศาสนาเป็นชื่อใหม่ เกิดหลังพุทธกาลหลายร้อยปี แต่เดิมพุทธศาสนามีชื่อว่า “ธรรมวินัย” บ้าง “พรหมจรรย์” บ้าง) เสื่อมสูญ อันตรธานไป อนาคตภัยนั้นมีอะไรบ้าง ขอสรุปมาให้พิจารณาดังนี้
ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจักไม่ได้อบรมกาย ศีล จิต และปัญญา ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา แต่ก็จะทำหน้าที่บวชให้แก่คนทั่วไปที่มาขอบวช เมื่อตนเอง“ไม่รู้ธรรม แต่สอนธรรม” ผลก็คือธรรมะที่สอนก็ผิดพลาด คลาดเคลื่อน วินัยที่สอนก็ผิดเพี้ยน นอกรีตนอกรอย
ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจักไม่ได้อบรมกายศีล จิต และปัญญา แต่ภิกษุเหล่านั้นก็จะตั้งตนเป็นอาจารย์ดูแล สั่งสอน ฝึกอบรมศิษยานุศิษย์แบบผิดๆ เพี้ยนๆ ซึ่งด้วยวิธีการเช่นนี้ก็จะทำให้พระธรรมวินัยวิปริตผิดเพี้ยน
ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจักไม่ได้อบรมกายศีล จิต และปัญญา เธอเหล่านั้นแสดงธรรมที่ลึกซึ้ง ครั้นสอนผิดจากที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ผิดจากความเป็นจริง... -
คีอานู รีฟส์ กับบทเรียนจากความจริงอันเจ็บปวด
คีอานู รีฟส์ กับบทเรียนจากความจริงอันเจ็บปวด
เบื้องหลังชีวิตอันสวยหรูของ คีอานู รีฟส์ อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด
หลายคนรู้จัก คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) ในฐานะนักแสดงรุ่นใหญ่ในฮอลลีวู้ด ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการแสดง ภาพยนตร์หลายเรื่องที่เขาแสดงเป็นภาพยนตร์ทำเงิน เช่น สปีด (Speed), เดอะเมทริกซ์ (The Matrix) แต่น้อยคนจะรู้ว่า เบื้องหลังชีวิตอันสวยหรู มีเรื่องราวที่น่าเจ็บปวดซ่อนอยู่ไม่น้อย
คีอานูเกิดในปี 1964 ที่กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน แม่เป็นชาวอังกฤษ ส่วนพ่อเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายฮาวาย จีน โปรตุเกส และอังกฤษ
ชีวิตวัยเด็กของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พ่อเคยถูกจับข้อหาค้ายาเสพติด เมื่อเขาอายุได้เพียงสามขวบ พ่อก็โบกมือลาครอบครัว ทิ้งให้เขาอยู่กับแม่และน้องสาว ตอนแรกพ่อยังติดต่อกลับมาบ้าง แต่ก็ทำอย่างนั้นจนเขาอายุเพียงหกขวบเท่านั้น... -
"กรรมซับซ้อนก็จริง พระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมีเทศนาธรรมให้ฟังก็ช่วยพ้นทุกข์ได้" เมื่อหลวงปู่ตื้อแนะหลวงปู่แหวนช่วยอสุรกายให้พ้นทุกข์
"กรรมซับซ้อนก็จริง พระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมีเทศนาธรรมให้ฟังก็ช่วยพ้นทุกข์ได้" เมื่อหลวงปู่ตื้อแนะหลวงปู่แหวนช่วยอสุรกายให้พ้นทุกข์
ในเช้าวันหนึ่ง หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ ได้อาศัยบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวป่า ชาวบ้านพากันมาใส่บาตรด้วยความดีใจ เพราะนาน ๆ จึงจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักทีแล้วถามว่า “พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน” หลวงปู่บอกว่าจะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น แล้วจะลงไปทางสุวรรณเขต (อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร) ชาวบ้านตกใจ พร้อมทัดทานว่าอย่าไปทางโน้นเลย เพราะมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่ คอยทำร้ายคนและสัตว์ที่ผ่านไปทางนั้น หลวงปู่ทั้งสอง กล่าวขอบใจในความหวังดี และบอกว่าท่านทั้งสองได้มอบกายถวายชีวิตให้พระศาสนาแล้ว ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย แล้วท่านก็ออกเดินทางไปในทิศทางดังกล่าว
หลวงปู่ออกเดินทางพอใกล้ค่ำหลวงปู่ทั้งสอง ก็มาถึงยอดเขาสูงที่มีลักษณะประหลาดมาก หลวงปู่ทั้งสอง เลือกปักกลดค้างคืนข้างลำธารที่มีน้ำใสไหลผ่านอยู่ที่เชิงเขาลูกนั้น ปักกลดห่างกันประมาณ 10 เมตร เมื่อสรงน้ำพอสดชื่นแล้วต่างองค์ก็นั่งสงบภายในกลดของตน ประมาณ 5 ทุ่ม หลวงปู่แหวน ก็ออกจากกลดเตรียมจะเดินจงกรม หลวงปู่ตื้อ... -
ย้อนคำทำนายจากหนังสือหนังสือฤๅษีทัศนาจรของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ถึง"เหตุการณ์ในอนาคตของ รัชกาลที่๑๐"
ย้อนคำทำนายจากหนังสือหนังสือฤๅษีทัศนาจรของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ถึง"เหตุการณ์ในอนาคตของ รัชกาลที่๑๐"
ในสมัยที่ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า หลวงพ่อ ฤๅษีลิงดำ ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีการรวบรวมคำเทศนาของหลวงพ่อไว้เป็นหนังสือชื่อ “ฤๅษีทัศนาจร”ซึ่งได้จัดพิมพ์ออกมาหลายเล่มหลายตอน โดยในเล่มที่๑ตอน”เทวดาชวนขุดทอง” ได้มีการคำทำนายสอดแทรกไว้ และมีการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดในรัชกาลที่๑๐ ว่าจะมีผู้ใดมาขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่๑๐ และจะมีเหตุการณ์ใดที่บ้างดังเนื้อหามีข้อความได้บันทึกไว้ดังนี้...
…เมื่อแผ่นดินสะเทือน แผ่นดินสั่นเกิดขึ้น ดร.ปริญญา ก็บอกว่าเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติบ้าง แต่ทว่าเจ้าลิงนี่สิ ฤาษีลิงดำหัวหน้าทัศนาจรมันไม่ว่าอย่างนั้น พอแผ่นดินสะเทือน ก็กำหนดจิตคิดว่านี่มันเรื่องอะไร พอมีความดำริเท่านั้น ก็ปรากฎว่า บรรดาปิยสหาย คราวนี้ไม่ใช่หมาแล้ว กลายเป็นผี มีศักดิ์ศรีใหญ่ แต่งตัวสีแดงพรืดไปหมด ประมาณ ๗๐ - ๘๐ คน แล้วก็ประมาณสีเขียวสีดำอีกหลายร้อยคน เห็นบริเวณนั้นเกลื่อนกล่นไปหมด จึงถามว่า
“นี่…พ่อเทวดา แกมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ และทำไมแผ่นดินมันถึงสะเทือน”... -
ตอนนั่งสมาธิจิตอยู่ที่ไหน : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม:- “ผมอยากจะถามหลวงพ่อหน่อยครับ คือตอนที่นั่งสมาธินี่นะครับ จิตมันอยู่ที่ไหนครับ…?”
หลวงพ่อ:- “เวลานั่งสมาธินี่ จิตมันอยู่ที่ใจโยมใช่ไหม..?”
ผู้ถาม:- “แต่กระผมได้ยินเขาบอกว่า อยู่ที่ระหว่างคิ้วบ้าง อยู่ที่ปลายจมูกบ้าง ผมก็ยังสงสัยอยู่ครับ”
หลวงพ่อ:- “นั่นเขาเอาอารมณ์เข้าไปจับ คือว่าอารมณ์เข้าไปจับมันที่ไหนก็ได้นะ แต่ว่าตามปกติแล้วพระพุทธเจ้าตรัส ท่านให้จับอยู่ตรงลมหายใจเข้าออก นี่เป็นพุทธพจน์นะ เป็นของพระพุทธเจ้าจริง ๆ เวลาทำสมาธิถ้าทิ้งลมหายใจเข้าออก สมาธิกองอื่น ๆ จะเกิดไม่ได้เลย นี่เราเรียกว่า อานาปานุสสติกรรมฐาน ถ้าทิ้งกรรมฐานกองนี้แล้ว กองอื่น ๆ ทำไม่ได้เลย”
ผู้ถาม:- “ระหว่างที่นั่งลงไปแล้ว ไอ้จิตมันก็คอยคิดแต่เรื่องงานเรื่องการ อันนี้จะทำยังไงครับ…?”
หลวงพ่อ:- “อันนี้เป็นธรรมดาโยม เขาเรียกว่า อุทธัจจะกุกกุจจะ มันเป็นธรรมดาของจิต จิตมันมีสภาพดิ้นรน คิดอยู่เสมอ และเวลาที่เราทำสมาธิก็ต้องเผลอบ้างเป็นธรรมดา ถ้าจะไม่มีการเผลอเลย มีการทรงตัวจริง ๆ เวลานั้นจิตต้องอยู่ในช่วงของฌาน ๔ อันนี้เป็นเรื่องจริง ๆ นะ”
ผู้ถาม:- “วิธีจะดับ... -
พระอาจารย์วัน อุตตโม : พระอริยเจ้าผู้สามารถเดินฝ่าดงกระสุนปืนได้
เมื่อวันที่15 พฤษภาคม พ.ศ.2513 เวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ ขณะที่ท่านอาจารย์วัน อุตตโม และคณะศิษย์ประกอบด้วยพระ-เณร กับญาติโยมบางส่วนกำลังเดินเท้ากลับจากงานสวดมนต์เย็นที่บ้านส่องดาว พอออกจากหมู่บ้านเข้าป่าได้ราว 200 เมตร ก็มีเสียงตะโกนออกมาจากแนวป่าว่า
“หยุด”
ท่านอาจารย์วันที่ถือตะเกียงนำหน้าอยู่ก็หาหยุดไม่ คงนำหมู่คณะเดินต่อไปอย่างสงบ เสียงตะโกนซ้ำเข้ามาอีกว่า
“หยุด”
ท่านยังคงเดินเหมือนไม่ได้ยิน และแล้วเสียงต่อมาก็คือ ปืนเอ็ม 16 รัวดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งป่า ผสมผเสกับเสียงปืนอาการ์จนแทบแยกไม่ออก
พระและชาวบ้านถลาทรุดตัวลงหมอบ ใจคิดแต่ว่าตายเสียแล้ววันนี้ เณรองค์หนึ่งถึงกับวิ่งไปกอดขาท่านอาจารย์วันแน่น
ผู้อยู่ในเหตุการณ์ท่านหนึ่งเล่าว่า ทหารรัวปืนใส่กลุ่มท่านอาจารย์วันเป็นแนวครึ่งวงกลม น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลูกปืนที่วิ่งแดงเป็นเส้นพุ่งตรงออกจากปากกระบอกแล้วก็พลันหยุดกึก ห่างจากองค์ท่านอาจารย์วันราว 5 เมตร เหมือนลูกกระสุนกระทบกับบางสิ่งที่มองไม่เห็น ก่อนที่จะตกลงมาแดงยังกับถ่านไฟอยู่บนดินรอบๆท่าน กว่าเสียงปืนจะสงบก็เล่นเอาหูอื้อเลยทีเดียว... -
ทำทานอย่างไรให้เกิดผลแห่งทานสูงสุด
ทำทานอย่างไรให้เกิดผลแห่งทานสูงสุด
"ทานที่เปี่ยมด้วยองค์แห่งทานครบ" จึงเป็นทานที่มีอานิสงส์สูง
ความอยากร่ำรวย สบายกายสบายใจนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ เพราะเป็นความต้องการพื้นฐาน หากกายสบายแล้ว ไม่ทุกข์ร้อน ไม่อดอยากก็เป็นบาทฐานให้ละในกิเลสกองอื่นๆ ได้ง่ายกว่า คนที่ยังต้องทนทุกข์ทางกาย ต้องอดอยากขัดสน เพราะเขาเหล่านั้นต้องพยายามดิ้นรนให้ชีวิตรอด แม้บางทีต้องยอมทำสิ่งไม่ดีเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นความยากจน จนกลายเป็นการสั่งสมความโลภ ความชั่วร้ายในจิต ทำให้ตกลงไปในกองทุกข์อีก
พระสีวลีมหาเถระเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำมหาทาน จนทำให้ท่านกลายเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็น พระเถระที่มีลาภสักการะมาก
ชาติที่ท่านได้พบกับพระพุทธเจ้าครั้งแรกคือ ในสมัยพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ท่านเกิดเป็นพระราชาในนครชื่อหงสาวดี ท่านได้ไปฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า ทรงเห็นพระพุทธเจ้าปทุมุตตระประกาศยกย่องให้พระสุทัสสนะ พระเถระในยุคนั้นให้เป็นพระเอตทัคคะผุ้มีลาภมาก ท่านจึงเกิดความเลื่อมใส ปรารถนาจะมีตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าปทุมุตตระไปฉันภัตตาหารและถวายมหาทานถึง 7 วัน... -
สมเด็จพระพุทธกัสสป -หลวงพ่อฤาษีเตือน..การปฏิบัติแบบง่ายๆ เพียงวันละ ๑๐ นาที..."
..สมเด็จพระพุทธกัสสป ทรงทรงมีรับสั่งให้หลวงพ่อฤาษีเตือนลูกหลานเรื่องการปฏิบัติแบบง่ายๆ เพียงวันละ ๑๐ นาที..."
''...ฉันคิดว่า(หลวงพ่อ)...
" สมมุติว่าบริษัทของฉัน ลูกหลานของฉันยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ถ้าหากว่าเขามีวิมานแล้ว ในอันดับกามาวจรสวรรค์ก็ดี อันดับพรหมโลกก็ดี เลยไปก็ดี ที่เลยไปน่ะเมืองมหาเศรษฐี สมมุติว่าคนทุกคนเกิดมาแล้วการไม่ทำความชั่วไม่มีความผิดน่ะมันไม่มี ความชั่วที่ท่านเรียกกันว่าบาป การผิดศีลมันย่อมปรากฏ อย่างนี้ย่อมจะมีกับคนทุกคน ตรงนี้ฉันห่วงมาก ห่วงมากเพราะเกรงว่าจะพลัดที่อยู่ จึงกราบลงไปแล้วทูลถามสมเด็จบรมครูว่าภันเต ภควา ข้าแต่พระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยที่องค์พระจอมไตรทรงชี้แจงให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบว่า ลูกหลานของพระพุทธเจ้าเป็นคนมีวิมาน ๗ ประการก็ดี วิมานอยู่พรหมก็ดี วิมานอยู่นิพพานก็ดี
...แต่คนทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าทุกคน แต่ใครจะเป็นบ้างนั้นข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ สมมุติว่าถ้าเขายังไม่เป็นพระอริยเจ้ากันทุกคน คนทุกคนย่อมมีความผิด ย่อมตกอยู่ในความชั่ว เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องบีบบังคับ... -
การทำบุญต้องเร็ว ๆ ไว ๆ "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง"
การทำบุญต้องเร็ว ๆ ไว ๆ
เรื่องของท่านจูเฬกสาฎก จากพระธรรมบท
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
มีเรื่องในธรรมบท ท่านว่า เวลานั้น พระพุทธเจ้าพักอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร เวลานั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ คำว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ปรากฏในโลก แต่คำว่าอรหันต์นี่ชาวบ้านรู้เรื่อง เขาต้องการอรหันต์กัน แต่ยังไม่รู้จักอรหันต์จริง ๆ
วันนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เมืองสาวัตถี และก็ไปพักที่พระเชตวันมหาวิหาร บรรดาทายกก็ประกาศว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ คือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ใครจะไปกลางคืนก็ได้ ใครจะไปกลางวันก็ได้
ในตอนนั้นท่านบอกว่า มีพราหมณ์คู่หนึ่ง สองตายาย สองสามีภรรยาชื่อว่า จูเฬกสาฎก แต่ว่าพราหมณ์จูเฬกสาฎกตามบาลีท่านบอกว่า ในสมัยพระวิปัสสี พราหมณ์คนนี้ชื่อว่า มหาสาฎก แปลว่า สาฎกใหญ่ สมัยพระพุทธเจ้าองค์นี้มาเกิดใหม่ก็ชื่อ สาฎกตามเดิม ชื่อ จูเฬกสาฎก แปลว่า สาฎกเล็ก
พอตาพราหมณ์ได้ฟังก็บอกกับท่านยาย ถามท่านยายว่า ยาย จะไปฟังเทศน์กลางคืนหรือว่ากลางวัน เพราะเราไปพร้อมกันไม่ได้ เพราะจนมาก... -
วิธีเอาชนะกรรม ที่พระพุทธเจ้าสอน
วิธีเอาชนะกรรม
ที่พระพุทธเจ้าสอน
การเอาชนะกรรมทุกกรรม
แบบเด็ดขาดต้องเริ่มจากใจ
หรือความคิด
ความคิดที่ถูกต้องหรือสัมมาทิฐินั้นถือเป็น เข็มทิศ สำคัญที่จะทำให้มนุษย์เอาชนะวิบากกกรรมทีเ่กิดขึ้นแก่ตนได้
คำว่า "mindset" หรือวิธีคิดทีถู่กก็คือ การเชื่อมั่นในการกระทำความดีว่าจะได้ผลที่ดี เชื่อในบุญว่ามีจริง บาปนั้นมีจริง การกระทำที่ถูกต้องและเหมาะสมกับเหตุและปัจจัยจะเป็นตัวนำทางและการหมั่นสะสมความดีไว้จะเป็นบาทฐานให้ชีวิตประสบำความสำเร็จ
การมัวหวังพึ่งแต่สิ่งอื่นๆ มากเกินไปนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ในครั้งอดีตที่พระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ว่า
“ประโยชน์ได้ล่วงเลยผ่านพ้นคนโง่เขลาผู้มัวคอยคำนวณฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์ก็เป็นฤกษ์ของตัวประโยชน์นั่นเอง ดวงดาวจักทำอะไรได้”
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีผู้อาวุโสชาวบ้านคนหนึ่ง ไปขอลูกสาวชาวกรุงมาให้เป็นภรรยาของลูกชาย ซึ่งเขาได้ทำการนัดวันเวลาที่จะไปรับเอาตัวเจ้าสาวไปแต่งงาน แต่เมื่อถึงวันนัด หมาย เขาได้เข้าไปหาอาชีวกนักบวชที่สกุลตัวเองนับถือเพื่อถามหาฤกษ์ที่เหมาะสมว่า
“พระคุณเจ้าผู้เจริญ... -
ธรรมะในหลวง(ร.๙)ทรงสอน การควบคุม"จิต"ให้ผ่องใส ทำอะไรก็ได้ดี!!
ธรรมะในหลวง(ร.๙) ทรงสอน การควบคุม"จิต"ให้ผ่องใส ทำอะไรก็ได้ดี!!
คราวนี้ก็ยังไม่ได้พูดถึงว่า พุทธศาสนานี้ปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติอย่างไร เพราะว่าคนที่ศึกษาพระพุทธศาสนา หรือมาตั้งเป็นพุทธสมาคม หรือเป็นกลุ่มศึกษาพุทธศาสนา บางทีก็ยังไม่ทราบว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเริ่มที่ไหน
เพราะที่พูดถึงวิธีการที่จะเริ่มปฏิบัติได้นั้นก็ไม่ได้บอกว่าเริ่มปฏิบัติที่ตรงไหน นอกจากมาเปรียบเทียบว่าเข้าไปหาสวิตช์ไฟเพื่อจะเปิดให้มีความสว่าง และเมื่อมีความสว่างแล้วก็ดูทางได้ และไปดูทางที่จะทำให้สว่างยิ่งขึ้น สวิตช์ไฟนั้นอยู่ที่ไหน คือสวิตช์ไฟนั้น เราเอาแสงไฟเท่าที่เรามีริบหรี่นั้นไปฉาย แล้วก็ไปเปิดสวิตช์ไฟ สวิตช์ไฟนี้คืออะไร
เพราะท่านพูดอยู่เสมอว่า พระพุทธศาสนานั้น เมื่อได้ปัญญาก็มีความสว่าง เมื่อปฏิบัติธรรมก็ได้ปัญญา ได้แสงสว่าง ปัญญานั้นก็ดูจะเป็นสวิตช์ไฟ
แต่ถ้าดูๆ ไป ปัญญานี้ปัญญาในอะไร ก็ปัญญาในธรรมนี่ ปัญญาในธรรมไม่ใช่สวิตช์ไฟ ปัญญาในธรรมนั้นคือแสงสว่างสำหรับเปิดไฟให้สว่าง คือให้ได้ถึงปัญญานั้นก็จะต้องมีสวิตช์ไฟ สวิตช์ไฟนั้นคืออะไร หรือสวิตช์ไฟนั้นจะพบอย่างไร
แต่การที่จะบอกว่าสวิตช์ไฟคืออะไรนั้น... -
วิปัสสนาญาณ ขั้นสูง
''คำว่าวิปัสสนาญานขั้นสูง ก็หมายความว่า คิดไว้ว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์
การเกิดในมนุสสโลกก็ทุกข์ เป็นเทวดาหรือพรหมก็มีสุขชั่วคราว ก็ไม่สุขมากนัก
ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็มาทุกข์ใหม่ เราไม่ต้องการมนุสสโลก เทวโลก และพรหมโลก อย่างนี้เขาเรียกว่า ตัดอวิชชา เราต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน หรือคิดว่าร่างกายที่เลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก ร่างกายที่มีธาตุ 4 มีอาการ 32 มีขันธ์ 5 มันมีทุกข์
อย่างนี้เราขอมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ถ้าต่อไปไม่มีกับเราอีก อันนี้คือ อารมณ์พระนิพพาน''
https://www.facebook.com/groups/287049074816527/?fref=nf -
ประสบการณ์ตรง"หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" พบ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับปรากฎตัวในงานบุญ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” นั้น เป็นที่รู้กันดีในวงนักปฏิบัติและพระอริยเจ้าด้วยกันว่า ท่านเป็นพระแม้เป็นพระวิมุตติบริสุทธิ์และยังทรงคุณธรรมพิเศษทางด้านมโนยิทธิ อภิญญาสมาบัติอีกด้วย มีปกติสนทนาติดต่อกับสิ่งลึกลับที่พวกเราคนปุถุชนสามัญธรรมดาไม่มีตารู้เห็นไม่อาจสัมผัสได้ แต่สำหรับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านกลับสามารถพูดคุยสนทนาได้ปกติ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านมีความสามารถทางเห็นผีเห็นวิญญาณมาแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นครบบวชก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ “หลวงพ่อปาน” เพราะนิสัยซน อยากรู้อยากเห็น กล้าไม่กลัวใคร หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิง” และเหตุที่ท่านมีผิวคล้ำ หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิงดำ”
พระอริยเจ้าหลายท่านที่รับรองคุณวิเศษและความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เช่นหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา หลวงปู่บุดดา ถาว โร วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี ครู บาชัยวงศ์ษา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดพระบาทวังมุย จ.ลำพูน ครูบาธรรมชัย จ.ลำพูน หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพสิรินทร์ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่... -
ไปดูรอยเท้าหลวงปู่ทวด ต้นกำเนิดตำนานเหยียบน้ำทะเลจืด
ไปดูรอยเท้าหลวงปู่ทวด ต้นกำเนิดตำนานเหยียบน้ำทะเลจืด
บ่อน้ำจืดธรรมชาติในทะเลตั้งอยู่ที่เกาะนุ้ย เป็นเกาะเล็กๆไม่ห่างจากชายฝั่ง ตั้งอยู่ที่ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม บ่อน้ำจืดนี้มีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 70 ซ.ม. มีลักษณะเป็นบ่อธรรมชาติขนาดเล็กซึ่งจะปรากฏให้เห็นต่อเมื่อเวลาน้ำทะเลลดระดับลง มีความมหัศจรรย์คือแม้จะอยู่กลางทะเล แต่ก็เป็นบ่อกลายเป็นน้ำจืด ชิมแล้วมีรสชาติจืดถึงกร่อย เกิดจากรอยแตกของชั้นหินที่ต่อกับตาน้ำจืดใต้พื้นดิน เมื่อยามน้ำลดน้ำจืดจะดันตัวนำน้ำทะเลออกจนหมดเหลือแต่น้ำจืด ส่วนชาวบ้านแถบนี้เชื่อว่า บ่อน้ำจืดนี้คือบริเวณที่ “หลวงปู่ทวด”เคยมาเหยียบน้ำทะเล ให้กลายเป็นน้ำจืดตามตำรา
หลวงปู่ทวด หรือ สมเด็จเจ้าพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์ หรือ สมเด็จเจ้าพะโคะ นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศไทยจากตำนานท้องถิ่นในฐานะพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้าจนได้สมญาว่า“หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” โดยที่มาของสมญานามอันลือลั่นของท่าน มีที่มาดังนี้
ขณะที่สมเด็จเจ้าพะโคะกลับจากกรุงศรีอยุธยาได้ประจำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะครั้งนี้คาดคะเนว่าท่านมีอายุกาลถึง ๘๐ปีเศษ... -
เหนื่อยจนตาย...ไม่ได้อะไร ??? (หลักธรรมอันลึกซึ้ง....ที่อาจตรงใจหลายคน)
"...ที่ไหนๆ ในโลก ไม่ว่าประเทศไทย หรือในต่างประเทศ จะพบว่ามีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่หรูหราใหญ่โตสวยงามให้เห็นกันอยู่มากมาย และถ้าจะถามว่า จิตใจของบุคคลที่อยู่ที่อาศัยในบ้านเรือนที่สวยงามเหล่านั้น จะมีความเยือกเย็นเป็นสุขกว่าใจของคนอื่นๆ ที่มีฐานะต่ำกว่าเขาหรือไม่ ก็คงจะตอบได้ว่า ไม่แน่เสมอไป
ทั้งนี้ก็คงเพราะว่าเรื่องของวัตถุนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดความสงบที่แท้จริงให้กับคนเราได้ วัตถุไม่ใช่สิ่งที่จะมาชำระล้างจิตใจของมนุษย์ได้ บ้านเรือนที่หรูหราจึงไม่ใช่เครื่องหมายที่จะบอกได้ว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นมีจิตใจสงบมากน้อยเพียงไร
สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ อยู่ที่ไหน ถ้าใจมันสงบระงับได้ มันก็เป็นสุขได้ ฉะนั้น การฝึกอบรมใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าจิตใจมีแต่ความยึดถือหลงใหลในสิ่งต่างๆ อยู่อย่างถอนตัวไม่ขึ้น จิตใจก็จะมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ตลอดไป ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องของกาย เรื่องของใจทำงานอะไรก็เพื่อกาย เพื่อใจ ทั้งนั้น วิ่งวุ่นกันอยู่ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ก็เพราะเรื่องของกายกับใจ
คนเรามัวแต่วุ่นวายในงานต่างๆ ทั้งกลางวันกลางคืน... -
ประวัติความเป็นมา "พระมหาเจดีย์ชเวดากอง"
ในสมัยพุทธกาล... สัปดาห์ที่ ๗ หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเสด็จประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ใต้ต้นราชายตนะ (ต้นเกด หรือต้นไม้ที่อยู่แห่งพระราชา) ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลาอีก ๗ วัน แล้วจึงทรงออกจากฌานสมาบัติหรือสมาธิ
ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า... นับแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้มา ๗ สัปดาห์ รวม ๔๙ วัน ยังมิได้เสวยภัตตาหารเลย จึงนำไม้สีพระทนต์ชื่อ "นาคลดา" พร้อมน้ำจากสระอโนดาตและผลสมออันเป็นทิพยโอสถจากเทวโลกมาน้อมถวายในตอนเช้าของวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๘ หรือเดือนอาสาฬหะ
ณ ที่แห่งนี้เอง... ได้มีพ่อค้าพานิช ๒ พี่น้องเป็นชาวพม่าชื่อ "ตปุสสะ" กับ "ภัลลิกะ" นำเกวียน ๕๐๐ เล่ม เดินทางผ่านมาทางตำบลพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พ่อค้าทั้ง ๒ ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าขณะทรงประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะ มีพระรัศมีอันผ่องใสงดงามยิ่งนักก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงนำ "ข้าวสัตตุผง สัตตุก้อน" ซึ่งเป็นเสบียงเดินทางของตนไปน้อมถวาย
ขณะนั้นพระพุทธองค์ยังไม่มีบาตร ท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ จึงได้น้อมนำบาตรแก้วอินทนิลมาถวายองค์ละใบ ทรงดำริว่าใบเดียวก็เพียงพอแก่เรา... -
พระมหาเถระสมัยพระเจ้าอโศกมาแนะนำวิปัสสนา เห็นผลภายในสิบวัน
ได้พบพระมหาเถระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
เป็นพระอรหันต์ไม่ได้บอกชื่อไว้เสียด้วย น่าจะกลัวพระงูเหลือม ท่านก็บอกว่าเป็นอรหันต์นิพพานเมื่ออายุ ๙๗ ปีกับ ๓ วัน นี่ท่านพบกันแล้วท่านก็บอกว่าฉันเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ฉันเป็นพระอรหันต์ แล้วฉันนิพพานเมื่ออายุ ๙๗ ปี ๓ วัน พระคุณเจ้ารูปนี้ นั้นได้โปรดแนะนำให้ทำวิปัสสนา ว่า จะเห็นผลภายในสิบวัน นี่อาจารย์นี่ย่องมาสอนเป็นพิเศษ ปกติพระมหากัจจายนะและสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า อาจารย์องค์นี้ย่องมาสอนต้องลัดคิว
ว่าจะเห็นผลภายในสิบวัน
ว่าให้ทำฌานแล้วให้ปลงในนิวรณ์ก่อน จำได้ไหมนิวรณ์ห้าประการ ปลงตัดมันเสียให้หมด แล้วก็ทำสมาธิ
แล้วพิจารณาขันธ์ห้าตามไตรลักษณญาณ ไตรลักษณ์ก็รู้แล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ให้มันสูง ปลงให้เห็นว่าอนิจจังนี่มันเป็นของไม่เที่ยงจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดในโลกนี้ ถ้าไม่เที่ยงเราไปยึดมันเข้าแล้วมันเป็นทุกข์ ต้องปล่อยตามมันๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน แล้วในที่สุดมันก็เป็นอนัตตาพังสลายตัวหมด อย่าไปยึดไปถือมัน อย่าไปยึดว่าจะมีอะไรเป็นเราเป็นของเราต่อไป แม้แต่ร่างกายเรายังพัง... -
อานิสงค์การสวดมนต์ 15 ประการ : เทวดาคุ้มครองรักษา มีเสน่ห์ ผิวพรรณหน้าตาผ่องใส
ผู้ที่สวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริงแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ คือผลความดี มากมายดังต่อไปนี้
1. ทำให้สุขภาพดี การสวดมนต์ออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เมื่อปอดทำงาน เลือดลมก็เดินสะดวก เมื่อเลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกระฉับกระเฉง
2. คลายความเครียด ขณะสวดมนต์จิตจดจ่ออยู่กับบทสวด สมองไม่ได้คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
3. เพิ่มพูนศรัทธาในพระรัตนตรัย บทสวดแต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เมื่อสวดบ่อย จิตก็จะยิ่งแนบแน่นอยู่กับพระรัตนตรัย
4. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะสวดต้องใช้ความอดทนเพื่อเอาชนะอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ตลอดถึงอารมณ์ฝ่ายต่ำทั้งหลายมีความเกียจคร้าน เป็นต้น ยิ่งสวดบ่อย ความอดทนก็จะมีมากยิ่งขึ้น
5. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะสวดจิตจดจ่ออยู่กับบทสวด ไม่วอกแวกฟุ้งซ่านไปที่อื่น จึงทำให้จิตสงบและเกิดสมาธิมั่นคง
6. บุญบารมีเพิ่มพูน ในขณะสวดมนต์ จิตใจย่อมปราศจากกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงได้ชื่อว่าเกิดบุญบารมี บุญบารมีนี้ เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่เราต้องการ... -
เคล็ดการไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภรับวันตรุษจีน
เคล็ดการไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภรับวันตรุษจีน
การไหว้เทพเจ้าโชคลาภปีนี้ เทพเจ้าโชคลาภท่านเสด็จมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งโต๊ะหลักหันไปทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผู้ไหว้หันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือด้านหลังผู้ไหว้เป็นตะวันตกฉัยงใต้
โดยเทพเจ้าโชคลาภจะเสด็จ มาพร้อมเทพอุปถัมภ์และเทพแห่งความปิติในช่วงเวลา ของวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๐ ช่วง ๒๓.๐๐-๐๐.๕๙ ในกรณีพื้นที่จำกัด ตั้งโต๊ะไหว้หันออกหน้าบ้าน
จุดธูปไหว้ไปทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่ออัญเชิญเทพ ฯหากเจ้าบ้านเกิดปีเถาะ ปีชวด ปีมะเมีย ห้ามขึ้นธูปก่อน ให้คนปีมะโรงหรือปีระกา ขึ้นธูปไหว้ก่อน ที่สำคัญต้องเปิดประตูหน้าบ้าน ปิดประตูหลังบ้าน (หากไม่สะดวกจะ ไหว้บนดาดฟ้าก็ได้ )ฤกษ์เปิดงานรับเจ้า(เปิดทำงานรับปีใหม่) วันอังคารที่ 31 มกราคม 2560เวลา ช่วง 07.00 น.
เครื่องสักการะ บูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภ มีดังนี้
1. รูปภาพ หรือรูปปั้น องค์ไฉ่ซิ่งเอี๊ย (จะเป็นรูปปางไหนก็ได้หากได้ทั้งบู๊บุ๋นก็ยิ่งดี)หากไม่มี เวลาไหว้ ก็ให้ระลึกถึง
2. แจกันดอกไม้สด 1 คู่
3. เทียนแดง 1 คู่
4. กระถางธูป 1 ใบ(ปกติให้ใช้แยกต่างหาก เพราะเมื่อไหว้เสร็จแล้ว... -
หลวงปู่จันทา ถาวโร พระอริยะที่ได้สนทนากับยมทูต
หลวงปู่จันทา ถาวโร พระอริยะที่ได้สนทนากับยมทูต
หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นพระอริยสงฆ์แห่งวัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ท่านได้กล่าวเล่าถึงประสบการณ์การได้สนทนากับยมทูตครั้งหนึ่งว่า
ครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2494 เมื่อออกพรรษาเป็นฤดูแล้ง ได้ไปพักอยู่ที่วัดเฉลียงลับ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์และได้ตั้งใจฝึกจิตภาวนาตามที่ครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ทับได้สั่งสอนเอาไว้ โดยได้ให้คำสัตย์มั่นเอาไว้ว่าจะไม่ถือนอนเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ถือฉันอาหารใดๆ จะทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ 3 คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วก็ตั้งใจมั่นอธิษฐานจิตว่า “ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้หรือคืนนี้ จะได้สิ้นสงสัยว่า พระรัตนตรัยเป็น “นายะโก” ผู้นำโลกสามารถนำหมู่สัตว์ออกจากวัฏสงสารและทุกข์ได้จริง” จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินจงกรม ก้าวขวาว่า “พุทโธ” ก้าวซ้ายว่า “ธัมโม” ก้าวขวาว่า “สังโฆ” เมื่อครบสามรอบแล้วก็ย่นคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า “พุท” ก้าวซ้าย “โธ” ทำอยู่อย่างนั้นไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืนวันยังค่ำ
พอจิตยึดมั่นกับพุทโธได้ไม่นานจิตก็ปล่อยวางพุทโธ...
หน้า 399 ของ 415