คลังเรื่องเด่น
-
ต้นกำเนิดพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม จากนิมิตหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เมื่อหลวงปู่ปานมาย้ำเตือนว่า ไม่ใช่อุปทานแต่เป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด!
ต้นกำเนิดพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม จากนิมิตหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เมื่อหลวงปู่ปานมาย้ำเตือนว่า ไม่ใช่อุปทานแต่เป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด!
ในสายของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จะรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนามว่าสมเด็จองค์ปฐม หลายท่านอาจไม่ทราบว่าสมเด็จองค์ปฐมคือใคร ทั้งนี้ผู้อ่านต้องทราบก่อนว่า พระพุทธเจ้านั้นในอดีตกาลที่ผ่านมามีจำนวนมากมาย โบราณอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า มากกว่าเม็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔
สำหรับสมเด็จองค์ปฐม ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่หนึ่งทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้วอาจจะมีชื่อซ้ำกันได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น พระพุทธสิกขีทศพลที่๑ พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระพุทธวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู”อย่างแท้จริง
สมัยที่สมเด็จพระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้น คนมีอายุขัยประมาณ ๘ หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่นปี หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก ๒หมื่นปี... -
“เณร! เมื่อคืนพญาครุฑมา ถ้าเขามาเมื่อไหร่จะต้องมีงูตายนะ” หลวงปู่เจี๊ยะบอกลูกศิษย์ให้ดูหลักฐานที่ถ้ำช้างร้อง จ.ตาก
“เณร! เมื่อคืนพญาครุฑมา ถ้าเขามาเมื่อไหร่จะต้องมีงูตายนะ” หลวงปู่เจี๊ยะบอกลูกศิษย์ให้ดูหลักฐานที่ถ้ำช้างร้อง จ.ตาก
ในวงศ์พระกรรมฐานสายท่าน”พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต” นั้น “หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท” จะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นที่ยอมรับเรื่องธรรมภายใน กิริยาภายนอกที่สบาย ๆ ของท่าน ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นผู้ที่เรียกหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโทป็นองค์แรกว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” แล้วหลวงตามหาบัวนำมาเรียกบอกเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟัง หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ท่านเป็นพระ อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น อยู่ถึง 3 ปี หลวงปู่มั่นถึงกับเคยเอ่ยชมหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโทว่า “เออหมู่เอ๊ย!... มีหมู่มาเล่าเรื่องการภาวนาให้เราฟังที่เชียงใหม่เว้ย... เธอปฏิบัติของเธอสามสี่ปีเหมือนเราลงที่นครนายก ‘มันลงเหมือนกันเลย’ ท่านย้ำว่าอย่างนั้น ท่านองค์นี้ภาวนา ๓ ปี เท่ากับเราภาวนา ๒๒ ปี อันนี้เกี่ยวเนื่องกับนิสัยวาสนาของคนมันต่างกัน” ซึ่งหลวงปู่มั่นบรรลุธรรมขั้นอนาคามี ใช้เวลาถึง ๒๒ปี ที่ถ้ำสาลิกา จ.นครนายก แต่หลวงปู่เจี๊ยะนั้นบรรลุธรรมขั้นอนาคา มี ที่วัดทรายงาม จ.จันทบุรี โดยใช้เวลาแค่ 3 ปี
ในช่วงพรรษที่43-47ของหลวงปู่เจี๊ยะอยู่ในช่วงพ.ศ.2522... -
คนที่ตั้งหน้าทำแต่ความดี ทำไมจึงไม่ได้ดีเหมือนคนชั่วบางคน?
"หลวงพ่อครับ คนที่ตั้งหน้าตั้งตากระทำแต่ความดี ทำไมจึงไม่ได้ดีเหมือนคนชั่วบางคนเล่าครับ"
"ถ้าคุณเริ่มปลูกต้นมะม่วงในวันนี้ คุณจะเก็บมะม่วงกินได้สักเมื่อใด?" หลวงพ่อย้อนถาม
"เอ ผมก็ไม่ค่อยจะมีความรู้ในเรื่องของมะม่วง แต่ที่บ้านผมปลูกไว้ไม่ต่ำกว่า ๕ ปี จึงจะออกผลครับ" ข้าพเจ้าตอบ ชักลังเลไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อฟังเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่า หรือฟังคำถามของข้าพเจ้าหรือเปล่า
"เอ้อ ตอนปลูกคุณเหนื่อยไหม?" หลวงพ่อถามเรื่อยๆ
"เหนื่อยสิครับ เพราะดินที่บ้านผมเป็นดินเปรี้ยว ต้องขุดหลุมกว้างถึง ๑ เมตร ยาว ๑ เมตร ลึก ๑ เมตร แล้วหาดินใหม่มาใส่แทน อีกทั้งต้องให้ปุ๋ยและเอาปูนขาวลงไว้รอบๆ หลุมอีกด้วยครับ" ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง
"ปลูกต้นมะม่วงเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ได้กินผลในทันที แล้วตอนนี้คุณต้องคอยดูแลต้นมะม่วงของคุณอีกหรือไม่?" หลวงพ่อยังถามเรื่อยๆ
"ไม่แล้วครับ ปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ หากเกิดขยันเมื่อไร ผมจึงรดน้ำให้บ้าง แต่ก็นานๆทีครับ" ข้าพเจ้าตอบ
"แล้วมันออกลูกให้คุณกินทุกปีไหม?" หลวงพ่อถามยิ้มๆ
"ทุกปีแหละครับ มากบ้างน้อยบ้าง สุดแล้วแต่ว่าเพลี้ยจะลงหรือไม่ครับ" ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง... -
ปัญหาของผู้ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อน : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
หลวงพ่อ :- “คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ
มโนมยิทธิ นี่เป็นการเตรียมอภิญญา จะเรียกวิชชาสามตรงๆก็เข้มเกินไป จะเรียกอภิญญาก็ยังอ่อนอยู่ เป็นการเตรียมอภิญญา เตรียมเพื่อรับอภิญญาหก
วิชชาสามจริง ๆ ไปไม่ได้ แต่เห็นได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระอริยะ สามารถคุยกันได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถคุยกับเปรตได้ คุยกับอสุรกายได้ คุยกับพวกสัตว์นรกได้ แต่ก็นั่งอยู่ตรงนี้เอง
ทีนี้สำหรับมโนมยิทธินี่ ก็เป็นอภิญญาทางใจส่วนหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นกึ่งหนึ่งของอภิญญา เพราะว่าสามารถเอาจิตไป เอากายในไป
ทว่า ถ้าเป็นอภิญญาจริงๆ เขายกตัวไปเลย จะไปสวรรค์ไปพรหม เขาเอาตัวไปเลย นั่นต้องใช้กำลังเข้มแข็งกว่า สูงกว่า แต่ว่ากันโดยผล มีผลเสมอกัน เพราะไปเห็นมาได้เหมือนกัน”
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ถ้าอย่างดิฉันต้องการฝึกบ้าง ต้องใช้เวลากี่วันคะ…?”
หลวงพ่อ :- “ก็สุดแล้วแต่คุณจะทำได้ ถ้าคนทำได้เร็วไม่ถึงวันก็ได้ อันนี้จริงๆนะ ถ้าทำได้เร็วใช้กำลังใจถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงนี่จะได้เร็วมาก เพราะพวกผู้หญิงนี่ไม่ค่อยสงสัย เพราะตัวสงสัยเป็นตัวนิวรณ์
ส่วนใหญ่จริง ๆ พวกผู้หญิงนี่ มักจะเป็นได้วันแรก... -
คนยากจนที่สุดหากรู้จักทำทานก็รวยได้
คนยากจนที่สุดหากรู้จักทำทานก็รวยได้
การทำทานทำให้คนรวยได้จริง การทำทานไม่ใช่เรื่องของแค่คนรวยๆ อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเท่านั้น หลายๆ คนอาจมองว่าเพราะเขามีมากเขาจึงทำได้ คนจนๆ จะเอาอะไรไปทำทานเพียงแค่หากินให้พอเลี้ยงปากท้องก็แย่พอแล้ว
ความจริงแล้วคนที่ยากจนนั้นยิ่งต้องทำทานให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้หายจนเพราะยิ่งตระหนี่มากเท่าไหร่ ความตระหนี่ก็จะผลักเอาความร่ำรวยออกไปทำให้ยิ่งจนลงมากกว่าเดิม ส่วนคนที่เกิดมายากจนแต่รู้จักทำทานให้ถูกคน ถูกกาล มีจิตยินดีเสมอในการทำทานเขาก็จะสามารถร่ำรวยมีความสุขขึ้นมาได้
ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้ากัสสปะ มีชายคนหนึ่งที่ชื่อ “มหาทุคตะ” แปลว่า “ชายที่แสนยากจน” มีอาชีพเป็นขอทานความยากจนของแกนั้นเรียกได้ว่าจนระดับที่สุดของเมืองเลยก็ว่าได้
วันหนึ่งนายมหาทุคตะก็ได้รับการชักชวนจากบัณฑิตผู้หนึ่งให้ทำบุญกับพระภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าบ้างจะได้เป็นบุญวาสนาติดตัวไปไม่ทำให้ยากจนอีกในภายภาคหน้า มหาทุคตะได้ยินการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าแล้วก็เกิดความรู้สึกยินดีมาก คิดจะทำทานกับพระสาวกของพระพุทธองค์สักรูปหนึ่งก็เลยไปทำการจองพระไว้รูปหนึ่งกับบัณฑิตที่มาชักชวน... -
นิสัยเทวดาทำบุญ กับ นิสัยเปรตทำบุญ
นิสัยเทวดาทำบุญ กับ นิสัยเปรตทำบุญ
เทวดากับเปรต อยู่คนละมุมกัน อยู่คนละด้านกัน
เทวดาจะไม่ทำบาป จะมีแต่ให้ จะไม่อยากได้อะไร อยากให้ ให้แล้วมีความสุข
เปรตนี้อยากได้ ได้แล้วมีความสุข ได้แบบไม่ถูก ได้ด้วยการทำบาป ด้วยการฉ้อโกง ด้วยการโกหกหลอกลวง ด้วยการลักทรัพย์ ด้วยการฆ่าผู้อื่น อันนี้จะทำให้ใจหิวโหย ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ ได้หนึ่งล้านก็อยากจะได้สองล้าน ได้สองล้านก็อยากจะได้สามล้าน อันนี้ก็จะทำให้หิวให้อยากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ส่วนคนชอบให้ จะไม่โลภอยากได้ อยากแต่จะให้ ให้แล้วมีความสุข แล้วไม่อยากเบียดเบียนผู้อื่น ไม่อยากทำบาป ทำมาหากินก็ทำด้วยวิธีสุจริต ได้เงินมามากเกินกว่าจะใช้ได้ก็เอาไปทำบุญทำทาน นี่เป็นลักษณะของเทวดา ไม่ได้หวังจะต้องร่ำรวยมหาศาล พออยู่ได้กินได้ ไม่เดือดร้อนก็พอแล้ว นิสัยเทวดาจะเป็นแบบนี้ ไม่โลภ ไม่อยากเกินความจำเป็น ขอให้มีแบบพอมีพอกิน พอมีเกินกว่านั้นก็เอาไปทำบุญ
เราเคยบิณฑบาตที่กรุงเทพฯ มีร้านขายของอยู่ร้านหนึ่ง วันหนึ่งๆเขาจะใส่บาตรพระเป็น100รูป หุงข้าวหม้อเบ้อเร่อเลย เขาเตรียมใว้ ฐานะเขาก็ไม่ร่ำรวยอะไร มีห้องแถวสองห้อง ขายของอะไรตามปกติ แต่ใจเขาไม่โลภ... -
"ปัญญา เกิดจากใจที่สงบ" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
"ปัญญา เกิดจากใจที่สงบ"
" .. "ปัญญานั้นก็ต้องเกิดจากสมาธิ" ไม่ใช่ว่าปัญญาที่เรานึกเดาเอา นึกคาดคะเนไปตามอาการต่าง ๆ อย่างนั้นไม่ใช่
ปัญญาในที่นี้หมายถึง "ปัญญาเกิดจากใจที่สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน" เมื่อใจตั้งมั่นอยู่ภายในแล้ว มันก็ผ่องใส มันก็ไม่มัวหมอง เมื่อมันผ่องใสแล้ว เราจะคิดนึกถึงเรื่องอะไร มันก็เห็น มันก็รู้เรื่องนั้นโดยแจ่มแจ้งได้
"เหมือนอย่างไฟฟ้าที่ไส้มันก็ยังดีอยู่ หัวเทียนก็ดี อย่างนี้แหละไม่เสียอะไร พอกดสวิตช์เท่านั้น มันก็สว่าง" มองเห็นวัตถุสิ่งของต่าง ๆ อยู่ในรัศมีแห่งความสว่างนั้นได้โดยชัดเจน ข้อนี้ฉันใดปัญญาก็เป็นเช่นนั้นแหละ
"เมื่อใจสงบผ่องแผ้วดีแล้ว เราพิจารณาเรื่องอะไรมันก็เห็นชัดไปในเรื่องนั้น เพราะว่ากระแสจิตมันใสสะอาด กระแสจิตมันสว่าง" ดังนั้นมันจึงรู้ความจริงของเรื่องนั้นได้ตามความเป็นจริง .. "
โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย -
คนเรากำลังใจมีแค่ไหนก็จะคิดแค่นั้น ทำแค่นั้น
✨ คนเรากำลังใจมีแค่ไหนก็จะคิดแค่นั้น ทำแค่นั้น ✨
จำไว้อย่างหนึ่งว่า คนที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนที่เหลือแต่กิริยาไม่มีมารยาแล้ว ❄️ คนประเภทนี้ นี่ทำอะไรก็ทำไปโป้ง ๆ เลย ไม่ต้องไปดัดจริตแล้ว เพราะว่าดีชั่วเท่านั้นตัวเองรู้อยู่ ก็ไม่ต้องไปดัดจริตรอว่าใครจะมาชมว่าเป็นคนดี ทำอะไรทำจากน้ำใสใจจริง คนประเภทนี้น่ากลัว เพราะว่าทางของเขาสั้นกว่าคนอื่นแล้ว
เมื่อกำลังใจไปถึงระดับนั้น เขาจะมองทุกอย่างเหมือนกับรุงรัง เกะกะ มีแต่จะขวางให้ช้า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็พร้อมที่จะโยนทิ้งได้ทันที บางครั้งดูเหมือนเป็นคนไม่มีน้ำใจ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เขาเอาเฉพาะเรื่องที่เป็นอรรถเป็นธรรมเท่านั้น เรื่องอื่นที่นอกทุ่งนอกท่าเข้ามา ถูกไล่เตลิดเปิดเปิงไปหมด ลักษณะเหมือนกับเป็นคนขี้รำคาญ ...เพราะอะไร ? เพราะตัวเขาเองเห็นทางตรงแล้ว คนอื่นจะมาดึงเขาออกนอกทาง เขาก็ต้องรำคาญ..ใช่ไหม ?
เรื่องนี้อาตมาเคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงครั้งหนึ่ง ท่านบอกว่าลองสังเกตดูสิ ❤️ ถ้าคนที่กำลังใจมุ่งตรงแล้ว ทำอะไรทำรวดเร็ว รักษาเวลามาก รู้แล้วว่าเวลาตัวเองมีน้อย จึงรักษาเวลาตัวเองมาก ทำอะไรทำเร็ว แต่ขณะเดียวกัน พวกที่เวลายังเยอะ... -
เคล็ดวิธีทำบุญเสริมความรัก จากตำรับหลวงพ่อเงิน กตสาโร
เคล็ดวิธีทำบุญเสริมความรัก จากตำรับหลวงพ่อเงิน กตสาโร
มีหลายท่านอยากจะหาเคล็ดที่ทำบุญอย่างไร จะช่วยเสริมผลบุญให้ชีวิตคู่มีแต่ความสุขหรือเสริมผลบุญไม่ให้ชีวิตขมขื่น หรือระหว่างเรากับคนรักทำไมทะเลาะกันบ่อย ทั้งที่ไม่เป็นเรื่อง จู่ๆแฟนเราก็เอาแต่เข้าใจผิดหึงไร้สาเหตุ ชีวิตนี้ไม่มีความสุข ผมขอแนะนำวิธีทำบุญเพื่อเสริมความรัก ของหลวงพ่อเงิน กตสาโร และหวังว่าอานิสงส์ผลบุญจากวิธีนี้จะช่วยให้ชีวิตคู่ชีวิตรักเดินหน้าต่อไปได้ครับ
หลวงพ่อเงิน กตสาโร ท่านบอกว่ามันต้องแก้ที่นิสัยก่อนคือต่างฝ่ายต่างเอาความดีความจริงเข้าหากัน และหมั่นถือศีล 5 โดยเฉพาะข้อ 3 ไว้ให้มั่น จะทำให้ชีวิตรักไปได้ดังจุดหมาย หลวงพ่อเงินกล่าวว่าการทำบุญจะช่วยให้ผลแห่งความดีและกุศล ชะลอกรรมเก่าให้ออกผลน้อยลงหรือช้าลง
หลวงพ่อเงินท่านว่าคนที่ชีวิตรักไม่ราบรื่นเกิดจากกรรมเก่าที่เคยพรากเนื้อคู่ สามี หรือภรรยาเขามา หรืออิจฉาทำให้คนรักผิดใจซึ่งกันและกัน หรือชาติที่แล้วเราอาจข่มเหงรังแกน้ำใจคนรักเราหรือไปทำบุญกับคนรักแบบไม่เต็มใจ
หลวงพ่อเงินท่านจึงบอกให้ลองเอาเคล็ดนี้ไปใช้ดูเพื่อขออโหสิกรรมเก่าต่อกัน... -
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! "นะจังงัง" สุดยอดคาถา "หลวงพ่อทา นครปฐม"..ปราบห้าโจรปล้นม้าราบคาบ!!
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! "นะจังงัง" สุดยอดคาถา "หลวงพ่อทา นครปฐม"..ปราบห้าโจรปล้นม้าราบคาบ!!
เรื่องเล่าขานมีอยู่ว่า…..
ครั้งหนึ่งภายหลังจากที่หลวงพ่อทาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระครูอุตรการบดี (หลวงพ่อทา โสณุตฺตโร) แล้วนั้น ไม่นานก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ มีสิทธิ์บวชกุลบุตรได้ทั่วอำเภอที่ปกครองอยู่
ระหว่างนั้น ครั้งหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ไปเป็นอุปัชฌาย์ ในการเดินทางไปต้องประสบกับกลุ่มโจรที่ดักปล้นคนผ่านทางไปมา เมื่อพบหลวงพ่อทาขี่ม้า จึงเจรจาขอม้าจากหลวงพ่อ ก็ได้รับคำตอบจากหลวงพ่อทาให้พวกโจรทั้ง 5 รอท่านก่อน เมื่อบวชนาคเสร็จแล้วจึงจะเอาม้ามาให้
เมื่อท่านบวชนาคเสร็จแล้ว ได้ขี่ม้ามาเส้นทางเก่า พบโจรทั้งห้ายังคงยืนนิ่งแข็งอยู่ในที่เดิมที่ผ่านมาในครั้งแรก จึงได้หยุดกล่าวอบรมสั่งสอนพวกโจรทั้งห้า ซึ่งต้องมนต์สะกดนะจังงังของท่าน จนในที่สุดได้เลิกอาชีพโจรไป
“นะจังงัง” เป็นมนต์อย่างหนึ่ง ผู้ถูกมนต์นี้จะนิ่งงัน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
หลวงพ่อทามีชื่อเรียกจากบรรดาลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านว่า “หลวงพ่อเสือ” ทั้งนี้ เพราะว่าท่านเป็นพระภิกษุที่ดุมาก ในสมัยที่ท่านยังดำรงชีวิตอยู่... -
ยอดมงคล!สวดแล้วดี! "พระคาถาหนีเคราะห์กรรม"ของ"หลวงพ่อฤาษีลิงดำ"
ยอดมงคล!สวดแล้วดี! "พระคาถาหนีเคราะห์กรรม"ของ"หลวงพ่อฤาษีลิงดำ"
พระคาถาหนีเคราะห์กรรม โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
นะโม (3 จบ)
(คาถาบารมี 30 ทัศ)
อิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคตา
อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโส จะเตนะโม
(คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า)
อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ
อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ
พุทธะมะอะอุ ทุกขัง อนัตตา สัมปจิตฉามิ
(ว่า 3 จบ)
แล้วนึกถึงพระ อธิษฐานว่า ขอเคราะห์กรรม
ทั้งหลายจงอย่าตามเราทัน ทำเป็นน้ำมนต์อาบ
ด้วยก็ได้ แล้วก็อธิษฐานเหมือนกัน ต่อด้วยว่า
ขอความเป็นอัปมงคลทั้งหลาย จงถูกล้างหายไป
คาถานี้หลวงพ่อฤาษีฯให้ไว้กับหลวงพ่อมนัส
ที่จันทบุรีเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน เป็นคาถา
เฉพาะบุคคล ตอนนี้เป็นสาธารณะแล้ว
ขอขอบคุณที่มาจาก : องค์สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพล
---------------------
ที่มา
http://panyayan.tnews.co.th/contents/199520/ -
ฉายหนังผีให้ดู ! ลุงรับจ้างฉายหนังในสุสาน เผยถูกหวยบ่อย แถมเจอเรื่องแปลกๆ
ผีให้โชค! ลุงรับจ้างฉายหนังในสุสาน เผยถูกหวยบ่อย แถมเจอเรื่องแปลกๆ
ลุงรับจ้างฉายหนังให้วิญญาณบรรพบุรุษดู เผยถูกหวยบ่อย ชี้เจอเรื่องแปลกถ้าไม่ได้บอกวิญาณก่อนจะฉายไม่ติด !
วานนี้ (30 มกราคม 2560) รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง AMARIN TV รายงานว่า
ชาวไทยเชื้อสายจีนว่าจ้างภาพยนตร์เพื่อฉายให้กับวิญญาณบรรพบุรุษได้ชมในช่วงเทศกาลตรุษจีน ในสุสานมูลนิธิพิจิตรสามัคคี จ.พิจิตร กว่า 300 หลุม
ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ นายบุญเชิด คุ่ยคร้าม เจ้าของและผู้จัดการบุญเชิดภาพยนตร์ กล่าวว่า
ตนได้รับว่าจ้างมาให้มาฉายหนัง และก่อนที่จะฉายถ้าไม่ได้บอกวิญญาณบรรพบุรุษ ฉายยังไงก็ไม่ติด อีกทั้งการฉายภาพยนตร์ให้กับคนทั่วไปกับฉายให้วิญญาณบรรพบุรุษดูมีความแตกต่างกันมาก
เนื่องจากฉายให้คนทั่วไปจะมีคนที่ดูเป็นเพื่อนจำนวนมาก แต่การฉายในสุสานจะมีเฉพาะตนกับลูกน้องอีก 2 คน และกรรมการสุสานเพียงไม่กี่คน
นอกจากนี้ นายบุญเชิด ยังบอกอีกว่า สิ่งที่ได้กลับไปทุกครั้งคือ ตนมักจะถูกหวย เมื่อสองปีที่ผ่านมาเคยถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว สลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 4 ใบ
อีกทั้งเมื่อคืนวาน (28 มกราคม) ซึ่งเป็นวันที่ตนฉายหนัง แล้วตนจุดประทัด... -
พระอาจารย์เมตตาเตือน "คนอ้วน"
พระอาจารย์เมตตาเตือน "คนอ้วน"
"เมื่อรู้ตัวแล้วก็ปรับปรุงหน่อย กินข้าวให้น้อยลง นอกมื้ออาหารก็ดื่มน้ำเยอะขึ้น ถ้าพวกเราเลิกนิสัยกินน้ำหวานอย่างเดียวก็สบายแล้ว ส่วนใหญ่ที่อ้วนก็เป็นเพราะน้ำหวาน น้ำอัดลม กาแฟ อะไรพวกนี้ ☕️ โดยเฉพาะกาแฟบ้านเราไปใส่ครีมเทียม ครีมเทียมเป็นไขมันแท้ ๆ เลย เขาพ่นไขมันในอุณหภูมิสูง ตากแห้งเป็นผงออกมากลายเป็นคอฟฟี่เมต พอพวกเรากินกาแฟ ๑ แก้ว ใส่คอฟฟี่เมท ๒ ช้อน ก็เท่ากับกินน้ำมันไป ๒ ช้อน สงสัยว่าข้าวก็ไม่ค่อยกิน กินแต่กาแฟแล้วอ้วนได้อย่างไร ? ไม่ต้องสงสัยนะ อิ่มก็ไม่อิ่ม อ้วนอีกต่างหาก
บรรดาข้าวของพวกนี้มีโทษมากกว่าประโยชน์ ☕️ กาแฟทำให้เป็นโรคหัวใจง่ายที่สุด ไม่ใช่โรคใจง่าย แต่เป็นโรคหัวใจได้ง่าย เพราะทันทีที่กินเข้าไปหัวใจจะเต้นเร็วขึ้นตามฤทธิ์กาแฟที่ไปกระตุ้น พอหมดฤทธิ์ก็เต้นช้าลง กินใหม่ก็เต้นเร็วอีก ตกลงว่าหาจังหวะมาตรฐานไม่ได้ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ไม่นานก็หัวใจพิการ อ้วนเพราะคอฟฟี่เมต แถมหัวใจพิการอีก เงินหมดอีก เดี๋ยวนี้เอสเพรสโซ่ปั่นแก้วละเท่าไร ? ๘๐ บาทซื้อได้ไหม ? ค่าแรงวันละ ๓๐๐ บาท กินกาแฟ ๓ แก้วก็เกือบจะไม่เหลือแล้ว"
"ถ้าถามว่าทำไมเราถึงอ้วน ?... -
ขอเชิญเป็นเจ้าภาพบรรพชาสามเณรทายาทธรรม ๗๐ รูป
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ บรรพชาสามเณร "ทายาทธรรม สืบพระศาสนา" รุ่นที่ ๕ จำนวน ๗๐ รูป
ณ วัดพระพุทธโคดมบรมนาถ(ธรรมยุต) ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
วันอาทิตย์ ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐
*เป็นเจ้าภาพบรรพชาสามเณร รุปละ ๑,๐๐๐ บาท
*เป็นเจ้าภาพถวายทุนการศึกษาแก่สามเณร(บวชเรียน) ทุนละ ๕๐๐ บาท
*เป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหาร-น้ำปานะ ตามกำลังศรัทธา
***หรือทำบุญตามกำลังศรัทธา
ร่วมทำบุญได้ที่
1.ธนาคารออมสิน สาขาชุมแพ
ชื่อบัญชี กองทุนพระพุทธโคดมฯ
เลขที่บัญชี 0-2008185782-1
2.ธนาคารกรุงไทย สาขาร้านสหกรณ์กรุงเทพ
เลขที่บัญชี 970-0-02452-0
ชื่อบัญชี พระมหานเรศ เรขาโชค
สอบถามราลละเอียดและร่วมตั้งโรงทานอาหาร...วัดพระพุทธโคดมบรมนาถ(ธ)
โทร. 087-8076246, 088-2013956
หรือ facebook วัดพระพุทธโคดมบรมนาถ ธ.
Email: buddha_kodom@hotmail.com -
องครักษ์ของอวิชชา
(พูดท้ายเทศน์) กัณฑ์ที่ ๕๒ "องครักษ์ของอวิชชา" หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมพระ เมื่อ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๑
ธรรมะหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือพระธรรมวิสุทธิมงคล วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี·8 ตุลาคม 2016
พูดท้ายเทศน์ ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มากนี้เอง มันชัดตรงนี้ แต่มันไม่ได้เข้าง่าย ๆ นะ เวลามันเพลียเต็มที่ถึงจะบังคับกันทีหนึ่ง ๆ เวลาผ่านไปแล้วถึงมารู้ชัด โห เรื่องสมาธินี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง กับวิปัสสนานี้แยกกันไม่ออก
แม้แต่พระขีณาสพท่าน ท่านก็ต้องอาศัยสมาธิเป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่สบายในทิฏฐธรรม จนกระทั่งวันท่านนิพพานท่านถึงจะปล่อยนี้ได้ อันนี้เป็นวิหารธรรมของท่านคือสมาธิ ปัญญาพิจารณาเหตุผลเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องธรรมในแง่ต่าง ๆ หรือพิจารณาร่างกายเป็นวิหารธรรมเหมือนกัน มันก็เป็นเครื่องรื่นเริงระหว่างกายกับจิตที่ครองตัวกันอยู่ มันก็ไปด้วยจีรังถาวรถึงอายุขัย บางทีจนรำคาญเหมือนกันนะ เพราะมันหมุนไม่หยุดไม่ถอย เอ๊ นี่มันอะไรกัน แต่มันคิดได้ชั่วขณะเท่านั้นนะ แต่พอหยุดคิดปั๊บมันพุ่งใส่งานนั้นเลย คือความคาดของเรานั้นกับความจริงนี้มันห่างกันคนละโลกเลย... -
คำบูชาหลวงปู่สรวง และคำอธิษฐานขอพร
คำบูชาหลวงปู่สรวง
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
นะโม โพธิสัตโต มะหาคุโณ มะหิทธิโก มะหาลาโภ อะหัง ปูเชมิ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง
คำอธิษฐานขอพร
พุทธัง ปะสิทธิ ธัมมัง ปะสิทธิ สังฆัง ปะสิทธิ
อะริยะองค์สรวง สัมปันโน อิติปิโส นะโมพุทธายะ
อิสะวาสุติ มหาบันดาล สัจจัง ปะสิทธิ เม
สาธุ สาธุ สาธุ -
10 วิธีสวดมนต์ ที่ทำแล้วชีวิตจะดีและมีความสุข
10 วิธีสวดมนต์ ที่ทำแล้วชีวิตจึงดี มีสุข
1. ก่อนสวดให้เลือกเวลาและสถานที่ที่จะมีสิ่งรบกวนน้อยที่สุด เช่น ห้องนอนของตัวเองในเวลาก่อนนอน, ห้องนอนของตัวเองในเวลาตื่นนอน ไม่จำเป็นต้องไปถึงวัดก็ได้ “เพราะการทำดี ทำได้ทันทีโดยไม่ต้องเลือก ไม่ต้องรอ”
2. เคลียร์ความคิดและจิตใจให้ปลอดโปร่งที่สุด อะไรที่ทำให้คิดมาก จิตตก รู้สึกแย่ อาฆาตพยาบาท โกรธเคือง โยนทิ้งออกไปก่อนชั่วคราว “การสวดมนต์เพื่อหวังจะลบความรู้สึกแย่ในใจ ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น” เพราะมันจะเหมือนกับเศษตะกอนที่อยู่ในน้ำ ต่อให้เติมน้ำที่กลั่นมาใสสะอาดเท่าไหร่มันก็ยังขุ่นอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่พร้อมจะสวดจริง ๆ อย่าเพิ่งสวด
3. ความยาวของคาถาไม่ได้การันตีว่าชีวิตจะดีขึ้นจริง ๆ เอาแค่เซตคาถาที่พอจูนสมาธิให้กับตัวเองได้สัก 3-5 นาทีเป็นอย่างต่ำ เช่น สวดอะระหังสัมมาฯ+คาถาชินบัญชร, สวดอะระหังสัมมาฯ+อิติปิโสฯ+พาหุงฯ+ชินบัญชร สุดแท้แต่ที่จะเลือกมาสวด คาถาไหนก็ได้ความหมายที่ดีทั้งนั้น
4. ต่อให้คาถานั้นมีความหมายถึงลาภยศสรรเสริญอยู่จริง “อย่าโฟกัสให้จิตจ้องลาภ” เพราะนั่นเท่ากับว่าเราหมกมุ่นยึดติดกับเงินทองมากเกินไป... -
วิธีบูชาพระไพรีพินาศให้เกิดผล ตำรับวัดบวรนิเวศวิหาร
วิธีบูชาพระไพรีพินาศให้เกิดผล ตำรับวัดบวรนิเวศวิหาร
พระไพรีพินาศนั้นได้ชื่อว่ามีดีทางกำหราบศัตรูทั้งปวงที่คิดร้ายแต่คนที่ใช้อานุภาพต้องบริสุทธิ์คือ
1.อยู่ในศีลธรรมอันดีไม่คิดร้ายคนอื่นไม่มัวเมาด้วยโมหะคิดจะเอาชนะคนอื่นเป็นที่ตั้งไม่คิดร้ายต่อผู้คิด ร้ายหรือใส่ร้ายตน
2. ไม่ตอบโต้ด้วย กาย วาจา และใจคงมั่นนความสุจริตเป็นที่ตั้งแม้จะถูกรบกวนหรือให้ร้ายก็ยึดมั่นในอุเบกขา และสันติธรรม
เมื่อมีเหตุผลเช่นนี้แล้วจึงจะอาศัยเป็นผลขอรองรับบารมีจากพระพุทธไพรีพินาศได้อย่างเต็มที่ การรับบารมีทำได้ดังนี้
-เขียนชื่อศัตรูที่มุ่งร้ายตนและนามสกุลตั้งจิตอธิษฐานต่อพระพุทธไพรีพินาศที่มีอยู่กับตัวว่าขอบารมีกำหราบศัตรูให้แพ้ภัยตัวเองไป
-พับกระดาษที่มีชื่อของศัตรูให้เป็นแผ่นแล้วเอาพระพุทธไพรีพินาศวางทับลงไป
-เมื่อสวดมนต์ไหว้พระแล้วให้แผ่เมตตาไปยังคนผู้นั้นอย่าให้ขาดขอให้เขามีสติระลึกถึงกรรมและเลิกรังควาญรังแก
-เมื่อผู้คิดร้ายสำนึกได้หรือมีอันเป็นไปแล้วเอาชื่อออกและแผ่เมตตาให้ถือว่าเขาได้รับกรรมแล้วเป็นอันสิ้ นสุดกรรม
ข้อพึงระวัง... -
ความแตกต่างของพระอริยะกับผู้วิเศษเรามักสับสน ท่านปยุตฺโต ได้เมตตาแยกให้กระจ่าง
ความแตกต่างของพระอริยะกับผู้วิเศษเรามักสับสน ท่านปยุตฺโต ได้เมตตาแยกให้กระจ่าง
พระอริยะกับผู้วิเศษต่างกันอย่างไร?
ถ้าเราเข้าใจข้อนี้แล้ว เราก็จะอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีขึ้น เพราะประชาชนในปัจจุบันนี่สับสนมาก มักเอาความเป็นผู้วิเศษกับความเป็นพระอริยะเป็นอันเดียวกันเสีย ถ้าอย่างนี้แล้วหลักพระศาสนาก็จะสับสนแล้วก็เสื่อมด้วย
ผู้วิเศษ คืออะไร เรามักจะเรียกคนมีฤทธิ์นั่นเองว่าเป็นผู้วิเศษ เช่น โยคี ฤาษี ดาบส ก่อนพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นก็มีโยคี ฤาษี ดาบส เยอะ อยู่ในป่า ได้ฌานสมาบัติ ได้โลกียอภิญญา มีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เราเรียกได้ว่าเป็นผู้วิเศษ คือผู้มีฤทธิ์นั่นเอง
ลองมาดูความหมายของ “พระอริยะ” ว่าคืออะไร?
พระอริยะ คือท่านผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ประเสริฐ เพราะไกลจากกิเลส ไกลจากกิเลสก็คือ หมดจากโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่ากำจัดความโลภ โกรธ หลง ให้ลดน้อยเบาบางลง กิเลสน้อยลงไป ๆ จนกระทั่งว่าเป็นอริยะ อย่างสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์ ซึ่งหมดจากกิเลสทั้ง 3 อย่าง คือ โลภ โทสะ โมหะ เป็นผู้บริสุทธิ์ ประเสริฐสูงสุด
อย่างนี้แยกได้หรือยัง?... -
"เหนียวจริง...อะไรจริง"!! ... สุดยอด "วิชาหนังเหนียว" ของหลวงปู่เจี๊ยะ!!!
"เหนียวจริง...อะไรจริง"!! ... สุดยอด "วิชาหนังเหนียว" ของหลวงปู่เจี๊ยะ!!!
ครั้งหนึ่ง มีผู้หญิงวัยแก่คนหนึ่ง แกอยากอยู่ยงคงกระพัน อยากหนังเหนียว จึงนิมนต์ให้หลวงปู่เจี๊ยะเป่าหัวให้สุดยอดไปเลย
หลวงปู่เจี๊ยะก็สอนว่า ของพวกนี้มันไม่จีรังยั่งยืนและศักดิ์สิทธิ์วิเศษเท่ากับกับการภาวนา "พุทโธ" หรอก
แต่ป้าคนนั้นแกก็ไม่เอาภาวนาพุทโธ อยากจะเอาหนังเหนียวอยู่อย่างเดียว
หลวงปู่เจี๊ยะรำคาญจึงเป่าหัวปู๊ดๆ ให้
ป้าคนนั้นก็เลยกลับไปด้วยความสบายใจที่ได้ถูกเป่าเสกกระหม่อมด้วย "วิชาหนังเหนียว"
หลังจากนั้น เวลาผ่านไปประมาณครึ่งเดือน เสียงรถพยาบาลก็วิ่งเข้ามาที่วัดป่าภูริทัตตฯ อย่างรีบด่วน แล้วมาจอดที่หน้ากุฏิของหลวงปู่เจี๊ยะ
ป้าคนนั้นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด แพทย์และพยาบาลนำเธอเข้ามากราบเรียนหลวงปู่เจี๊ยะว่า
"หลวงปู่เจ้าคะ... ช่วยเป่ากระหม่อมถอดถอนวิชาหนังเหนียวให้ด้วยเถอะ... ตอนนี้จะตายอยู่แล้ว... ปวดท้องเหลือเกิน... ไส้ติ่งจะแตกอยู่แล้ว!!
หมอพยายามผ่าตัด เข็มฉีดยาก็ไม่เข้า เชือดเท่าไหร่ เฉือนเท่าไหร่ก็ไม่เข้า มันเหนียวจริงๆ ...หนังดิฉันนี่!!"
เธอพูดทั้งๆ... -
หลวงปู่เจี๊ยะตอบคำถาม "ตีขวานใช่กิจของสงฆ์หรือไม่?" ... "ก็กูนี่แหละสงฆ์...แล้วสงฆ์ก็ตีเองกับมือแท้ๆ มันจะไม่ใช่กิจของสงฆ์ได้ยังไงวะ"!!
หลวงปู่เจี๊ยะตอบคำถาม "ตีขวานใช่กิจของสงฆ์หรือไม่?" ... "ก็กูนี่แหละสงฆ์...แล้วสงฆ์ก็ตีเองกับมือแท้ๆ มันจะไม่ใช่กิจของสงฆ์ได้ยังไงวะ"!!
"หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท" ท่านมีงานอดิเรกอยู่อย่างหนึ่งที่แปลกประหลาดกว่าพระองค์อื่น ๆ คือ ท่านชอบตีเหล็กสำหรับทำขวานเป็นอย่างมาก ซึ่งฝีมือการตีเหล็กของท่านนั้นก็จัดอยู่ในระดับมืออาชีพเรียกพี่เลยทีเดียว
ลูกศิษย์คนหนึ่งรู้สึกสงสัยในความชอบของหลวงปู่เจี๊ยะจึงถือโอกาสถามท่านว่า
"ทำไมอาจารย์ถึงชอบตีเหล็กนักล่ะครับ?"
หลวงปู่เจี๊ยะก็เลยเล่าถึงที่มาที่ไปของงานอดิเรกนี้ให้ลูกศิษย์ฟัง
"ทีแรกเราก็ไปซื้อขวานมา...จะเอามาใช้งาน แล้วมันฟันไม่ได้น่ะสิ ซื้อมาทีไร...เอามาฟัน มันก็ไม่ค่อยคม ... เจ็บใจ! ก็เลยเอาแหนบรถสิบล้อมาตีซะเอง ... ทำไปทำมา มันคมกว่าที่เขาทำขายซะอีก!"
ลูกศิษย์จึงถามต่อด้วยความสงสัย
"แล้วอย่างนี้มันจะผิดข้อปฏิบัติของพระมั้ยครับ...อาจารย์?"
หลวงปู่เจี๊ยะตอบว่า
"ไม่ผิดหรอก... ตีขวานมันไม่ผิดหรอก... ไม่เห็นมีวินัยข้อไหนห้ามพระตีขวาน...จะไปผิดอะไร! ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต...ทำบาปทำกรรมอะไรนี่นา!"
"แต่บางคนเขาบอกว่า... -
ทำบ้านให้เป็นวัด ก็บรรลุธรรมได้
ถาม : คุณแม่อายุ ๗๖ แล้ว ไม่สะดวกไปอยู่วัด จะภาวนาที่บ้าน ควรเริ่มอย่างไร?
พระอาจารย์ : ถ้ามาวัดไม่ได้ก็ทำบ้านให้เป็นวัด บ้านก็ต้องสงบ คือไม่มีอะไรมารบกวน ควรจะทำที่บ้านให้เหมือนวัด คือไม่มีแสงสีเสียง รูปเสียงกลิ่นรส มายั่วยวนกวนใจ แล้วก็เจริญสติอย่างต่อเนื่อง รักษาศีล ๘ และก็เจริญสติ พุทโธๆ เดิน ยืน นั่ง นอน ก็เฝ้าดูอาการ ๓๒ ดูร่างกายหรือว่าจะบริกรรมพุทโธไปก็ได้ เวลานั่งก็หลับตาแล้วก็บริกรรมพุทโธไป หรือสวดมนต์ไป อย่าไปคลุกคลี อย่าไปคุยกับคนนั้นคนนี้ อย่าไปเปิดดูทีวี อย่าไปกิน ไปดื่ม ในเวลาที่ไม่ใช่ ในเวลาที่จะกินจะดื่มอย่างนี้ ถ้าทำอยู่ที่บ้านได้ แต่มักจะเป็นสิ่งที่ยาก เพราะเวลาอยู่ที่บ้านคนเขาจะไม่ถือศีล ๘ กัน คนเขาจะดื่มจะกินกันตามอารมณ์ตามความอยาก อยากจะดื่มเมื่อไหร่ก็ดื่ม อยากจะรับประทานเมื่อไหร่ก็รับประทาน อยากดูอยากจะฟังอะไรก็ดูฟังไป มันก็จะรบกวนผู้ที่จะแสวงหาความสงบ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราต้องสร้างห้องอยู่คนเดียว ห้องปรับอากาศ ไม่มีเสียงเข้าไปรบกวน ถ้ามาวัดไม่ได้ก็ต้องทำบ้านให้เป็นวัดเข้าใจไหม
โยมที่เป็นลูกศิษย์หลวงตา เขาไปอยู่วัด พอเขาออกจากวัดมาเขาก็ไปทำกุฏิในบ้านเขา... -
ควร แผ่เมตตา ให้ใคร!? ระหว่างสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์กับเจ้ากรรมนายเวร
ควร แผ่เมตตา ให้ใคร!? ระหว่างสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์กับเจ้ากรรมนายเวร
ถาม ควรแผ่เมตตาให้ใครมากกว่ากันระหว่างสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ กับเจ้ากรรมนายเวร และเราสามารถทำอะไรให้เจ้ากรรมนายเวรได้บ้าง นอกจากการแผ่เมตตาและกรวดน้ำ
พระมหาเฉลิม ปิยทสฺสี พระอาจารย์ผู้ไขปัญหาประจำฉบับอธิบายว่า
ตอบ
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ นี่ครอบคลุมทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วนะ ไม่ว่าใครก็ตามที่ยังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่จัดว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งสิ้นนั่นแหละ ไม่ว่าสัตว์ที่มีคุณ สัตว์ที่เป็นกลาง ๆ หรือมีโทษร้ายรวมถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายด้วยแผ่ไปเถิดส่วนบุญส่วนกุศล หรือแผ่เมตตาจิต จนเป็นอัปมัญญาไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ เมื่อให้ บุญก็เพิ่มพูนขึ้น
เรื่องของการ แผ่เมตตา นี้ ท่าน ว.วชิรเมธีได้เล่าภึงอานิสงค์ของการเจริญสติ และพูดถึงเรื่องของ การแผ่เมตตา ไว้ว่า... -
คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ แม่ชีผู้บรรลุอรหันต์ กระดูกอัฏฐิ เป็นพระธาตุ
คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ แม่ชีผู้บรรลุอรหันต์ กระดูกอัฏฐิ เป็นพระธาตุ
ย้อนไปเมื่อ 100 ปีที่แล้ว (พศ.2460) ณ บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร หญิงสาวผู้หนึ่งได้ถางป่าเพื่อจับจองที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมหลวงปู่มั่นได้ธุดงค์ผ่านมาพร้อมคณะพระ ท่านได้เห็นที่บริเวณนั้นเหมาะที่จำทำเป็นที่พักสงฆ์ จึงได้ขอที่บริเวณนั้น หญิงสาวนั้นมีปิติยินดี ได้ถวายที่แด่ท่าน หลวงปู่ได้ให้พรว่า "ต่อไป เจ้าจะไม่มีวันอดอยาก" วัดแห่งนี้ชาวบ้านเรียกว่า วัดหนองน่อง (น่องคือเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง ใช้เป็นยาเบื่อยาสลบ)
หลวงปู่มั่นและคณะพระได้อยู่ปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งนั้น สั่งสอนชาวบ้านแถบนั้น ให้ละจากการนับถือผีมานับถือพระพุทธศาสนา ยังให้เกิดศรัทธา เข้าใจศาสนามากขึ้น หนึ่งในนั้นก็มีเด็กสาวรุ่น อายุ 16 ผู้เป็นผู้ถวายที่ คือคุณแม่ชีแก้ว ในปัจจุบัน
ก่อนหลวงปู่มั่นกับคณะพระจะธุดงค์จากไป หลวงปู่มั่นได้ปรารภกับคุณแม่ชีแก้วว่า "หากเจ้าเป็นผู้ชาย เราจะให้บวชเป็นเณรและให้ติดตามไปด้วย แต่นี่เป็นหญิง ไปด้วยก็ลำบากต่อพระธรรมพระวินัย และสั่งว่าให้หยุดภาวนา ตั้งแต่นี้ต่อไปให้ใช้กรรมไปตามประสาโลก กาลต่อไปข้างหน้าจะมีผู้มาสั่งสอน"... -
การพบสมเด็จองค์ปฐมครั้งแรก ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๑ คืนหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนปรากฏขึ้น คือ เห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็นอุปาทาน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ หลังคาตํ่า ๆ หากพระพุทธองค์เสด็จเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้นเอง แต่เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ ก็เห็นภาพหลวงปู่ปานปรากฏขึ้นข้างหน้า หลวงปู่ปานท่านบอกว่า
“คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา”
อีกประมาณ ๕ นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์ รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางพระนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพ พอพระองค์เดินไปถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า
“ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า… ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน”
พระพุทธองค์ก็เลยนั่งบนหัวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า
“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป... -
อภินิหารหลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน เมื่อพาเณรธุดงค์ในกัมพูชา
อภินิหารหลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล เทวดาเดินดิน เมื่อพาเณรธุดงค์ในกัมพูชา -
วีดีโอ 10 สถานที่วัดสวยๆในไทย ที่สวยจนน่าตะลึง จนอดใจไม่ไปไม่ได้
วันนี้สยามซี๊ดจะพาคุณไปเที่ยวชมวัดไทยสวยๆ แนะนำโดยเหล่าบล็อกเกอร์นักเที่ยวกับ 10 วัดที่สวยงามในไทย วัดที่มีเอกลักษณ์ความงามและบรรยากาศที่สวยงามที่ชวนให้ต้องไปกราบไหว้สักครั้งในชีวิต -
ดูแลทบทวนกำลังใจตัวเอง - พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน
ดูแลทบทวนกำลังใจตัวเอง
ถาม : ภาวนาแล้วอารมณ์ใจไม่ทรงตัว ?
ตอบ : ต้องพยายามประคับประคองรักษาอารมณ์ให้เป็น
แรก ๆ ก็อาจได้สักชั่วโมงหนึ่ง ต่อไปถ้าเคยชิน ก็ได้ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ครึ่งวัน วันหนึ่ง จนกระทั่งนาน ๆ ไป พอชำนาญมาก ๆ ก็รักษาได้เป็นเดือน เป็นปี ต้องทำแบบนี้ อารมณ์ถึงจะทรงตัว
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดูแลทบทวนกำลังใจตัวเอง การทำงานทุกอย่างต้องมีการประเมินผล
ทางโลกเขามีการประเมินผล ทางธรรมของเรา พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้ประเมินผลด้วยวิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ
ฉันทะ พอใจที่จะทำ
วิริยะ พากเพียรทำไป
จิตตะ จิตใจปักมั่นต่อเป้าหมาย ไม่เปลี่ยนแปลง
วิมังสา ทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกให้ได้ผลอย่างนั้น
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
--------------------------------------------------
https://www.facebook.com/MotanaboonCom/ -
การปฏิบัติกรรมฐานคืออะไร :: หลวงพ่อชา สุภัทโท
บางคนคิดว่า การปฏิบัติกรรมฐานคือ
การเดินจงกรมและนั่งสมาธิเท่านั้น
แต่หลวงพ่อเน้นว่าการปฏิบัติอยู่ที่สติมากกว่าที่อิริยาบถ
อย่างที่ท่านเทศน์ในตอนหนึ่งว่า
“ไม่ใช่เดินเพียร นั่งเพียร แต่รู้เพียร”
คือ ฝึกให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทุกอิริยาบถ
ไม่ใช่เฉพาะเวลานั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมเท่านั้นเคล็ดลับของท่านก็คือ
ปฏิบัติเรื่อยไปอย่างสม่ำเสมอ
ไม่เคร่งเกินไป แต่ก็ไม่หย่อน
ให้พอดีแก่การขัดเกลากิเลส
จึงจะเรียกว่า เป็นสัมมาปฏิปทา เพราะว่า
“การทำความเพียร ไม่ได้ขีดขั้น
จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ได้ทั้งหมดนั้น
แม้กวาดลานวัดอยู่ก็บรรลุธรรมะได้
แม้แต่เพียงมองเห็นแสงพยับแดดเท่านั้น ก็บรรลุธรรมะได้
จะต้องมีสติพร้อมอยู่เสมอ
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะมันมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมอยู่ตลอดเวลา
อยู่ทุกสถานที่ เมื่อเราตั้งใจพิจารณาอยู่”
นี่คือปฏิปทาในการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ใช่ทำเป็นเวลา แต่ต้องทำตลอดเวลา
อย่างที่หลวงพ่อท่านเรียกว่า “สติจำกาล”
ปฏิปทาที่ไม่ติดต่อสม่ำเสมอนั้นหลวงพ่อเปรียบเทียบว่า
“เหมือนหยดน้ำที่ไม่ต่อเนื่องกัน”
การฝึกสติของเราก็เช่นเดียวกัน
นาน ๆ นึกขึ้นได้ก็ตั้งสติเสียทีหนึ่ง... -
อธิษฐานบารมี จะทำให้เข้าถึงจุดหมายของความดีได้รวดเร็ว
... " การบำเพ็ญบารมีใด ๆ หรือสร้างความดีใด ๆ เราจะตั้งมโนปณิธาน ความปรารถนาหรือไม่ก็ตาม ถ้าความดีมากครั้งเข้า ในที่สุดความชั่วก็สลายตัวไป เราก็เข้าถึงพระนิพพานตามเจตนา หรือ ไม่เจตนาเราก็จะต้องเข้าถึง ในเมื่อความชั่วถูกตัด เป็นสมุจเฉทปหาน.
.. แต่ทว่า ถ้าปราศจาก "อธิษฐานบารมี" กว่าจะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ก็รู้สึกว่ามันเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือไม่ค่อยจะตรงนัก.
.. ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้มี "อธิษฐานบารมี".
.. ในการที่ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจกล่าววาจาว่า : "อิมาหัง ภควา อัตตะ ภาวัง ตุมหากัง ปริจจะชามิ" แปลเป็นใจความว่า : ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
.. นี่ก็หมายความว่า เราจะเอาชีวิตของเราเข้าแลกกับความดี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแนะนำไว้ อย่างนี้.
.. อาศัยเจตนา และความตั้งใจ จัดว่าเป็นอธิษฐานบารมี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะเข้าถึงความดี ด้วยความรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง..."
( จากหนังสือ "รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ" เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๖ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )...
หน้า 397 ของ 415