เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

แม่รออยู่ ขอตัวไปส่งแม่ก่อนนะคะ เดี๋ยวเข้ามาค่ะ

 

จิตจักรวาลคือจักรวาลของจิต.จิตต้องมีจำนวนมหาศาล.จนนับไม่ได้ไช่ไหม

 

คลื่นคาวมคิด.มาจากจักรวาลอื่น.หรือจักรวาลที่เราอยู่

 

"จิตแห่งจักวาล" ก็ย่อมหมายถึง "แก่นแท้" ของจักรวาลอันไพศาล ค่ะ

"จิตจักรวาลดวงใหญ่" หรือ พระยาธรรมมิกราช องค์ราชาแห่งธรรม ยิ่งใหญ่เหนือกว่าธรรมทั้งปวง ก็คือแก่นแท้ของจักววาลอันไพศาล ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือน ทั้งในมิติของแก่นแท้และในมิติทางกายภาพของสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในระบบเพื่อก่อให้เกิดกระบวนการพฤติกรรมต่าง ๆ ขึ้น เช่น กระบวนการเพื่อการดำรงอยู่ กระบวนการเพื่อการสร้างใหม่ และกระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น ค่ะ

อนุภาคของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งที่มีอัตตาทั้งหลายนั้นเอง ค่ะ

อนุภาคของแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งหมดทั้งมวล และสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั้นก็คือ ผู้ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการสั่นสะเทือนพลังงานในทุกมิติ ในอันที่จะให้กำเนิดสรรพสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นอนัตตาและที่จะมีอัตตาทั้งในมิติของแก่นแท้และมิติของกายภาพที่หยาบขึ้นเรื่อย ๆ

แม้กระทั่ง "จิต" ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะต้องเริ่มต้นจากนิวเคลียสของจิตจักรวาลดวงใหญ่ (พระยาธรรมิกราช ) ทั้งสิ้นค่ะ

"ไม่มีอนุภาคของคลื่นความถี่ใดในมิติใดมิติหนึ่งเลยที่มีอยู่ในสนามพลังงานแห่งเอกภพ และสนามพลังงานสากลในแดนสุญญาตา ที่จะไม่มีอยู่ในนิวเคลียสของจิตจักรวาลดวงใหญ่(พระยาธรรมิกราชา) เลย

จิตจักรวาลดวงใหญ่ได้บรรจุแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่งเอาไว้ภายใน นั่นย่อมแสดงว่า..หากได้มีการสั่นสะเทือนนิวเคลียสตนเอง ตรงแก่นแท้ของคลื่นความถี่ใดมิติใด พลังอำนาจในการสร้างใหม่ พลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลง และพลังอำนาจในการช่วยให้สรรพสิ่งนั้นดำรงอยู่ก็จะเกิดขึ้นค่ะ

 

คำว่า "จักรวาล" ในที่นี้ หมายถึง สนามพลังงานสากลที่อยู่นอกเหนือจากระบบเอกภพค่ะ

และพลังงานสากลที่ว่านี้ ก็คือ แดนสุญญตา ค่ะ

 

นิวเคลียสของจิตหมายถึงอะไร

 

ซึ่งคำว่า "แก่นแท้" ก็คือ แก่นแท้สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาค่ะ

คำกล่าวนี้......

"ถ้วนทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดจากเหตุ หากเหตุดับทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมดับตามไปด้วยเสมอ"

คำกล่าวสำคัญนี้...

ใช้ได้กับทุกสรรพสิ่งทั้งที่เป็นปรากฎการณ์ สถานการณ์ เรื่องราว และความมีตัวตนของสรรพสิ่งนั้น ๆ มันเป็นความจริงได้ทั้งในมิติกายภาพอันเป็นด้านมายา และในมิติทางพลังงานอันเป็นด้านแก่นแท้

หากจะกล่าวให้ชัดเจนแล้ว....

ความมีอัตตาตัวตนของสรรพสิ่งใด ๆ นั้น ล้วนเกิดจากแก่นแท้ซึ่งเป็นอนัตตาทั้งสิ้น

 

อ่านแล้วเหมือนกับพระยาธรรมิกราชเป็นผู้กำหนด

 

เมื่อก่อนไม่มีดวงจิต .ต่อมาก็มายึดถือเอาดวงจิต.ต่อไปก็ต้องปฏิบัติไห้ถึงพระนิพพานไช่ไหม.ตอบพรุ่นี้ก็ได้ ไม่รีบร้อน. รอได้.

 

หากจะสรุปสั้น ๆ ก็คือ "แก่นแท้ของความว่าง" ค่ะ

หรือเป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นยิ่งกว่าอนัตตาซึ่งลึกละเอียดเข้าไปอีกมิติหนึ่ง และก็ยังเป็นความมีที่เหมือนไม่มีอยู่เช่นเดิม

ภายในนิวเคลียสจะเต็มไปด้วยแก่นแท้ของความว่าง ที่เสมือนความว่างเปล่า ที่เป็นความมีที่เหมือนไม่มี ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว แก่นแท้ของความว่าง ซึ่งอาจเรียกว่า แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา ดำรงอยู่และพร้อมที่จะแสดงพลังอำนาจออกมาให้เห็นได้ทุกเมื่อ หากมีการสั่นสะเทือนภายในเกิดขึ้น

และพลังอำนาจที่เกิดขึ้นย่อมสูงส่งลึกซึ่งและเล็กละเอียดยิ่งกว่าอำนาจของสรรพสิ่งทั้งหลายในเอกภพด้วยซ้ำไป
เพราะมันเป็นพลังอำนาจบริสุทธิ์อันเกิดจากแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาซึ่งยังบริสุทธิ์อยู่นั่นเอง

นิวเคลียสของจิตจักรวาลดวงใหญ่ ที่อุบัติขึ้นนมาจากแก่นแท้ของความว่าง จึงมีคุณสมบัติเป็น "มหาสุญญตา" ค่ะ

ส่วน "นิวเคลียสของจิต" ก็คือ แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา ซึ่งมีคุณสมบัติ "สุญญตา" ค่ะ

 

สำหรับเรื่องราวหรือสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติทั้งหลายนั้น มนุษย์จะไม่สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นเบื้องหลังของการเกิดเอง การดับเอง การดำรงอยู่เอง และการเป็นของมันเช่นนั้นเองได้เลย แต่ มนุษย์ก็ต้องยอมรับว่าทุกสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้น เป็นความจริงที่จริงแท้ที่ไม่มีผู้ใดจะเปลี่ยนแปลงมันได้ โดยมันจะต้องเป็นของมันเช่นนั้นเสมอ ซึ่งมนุษย์เรียกกันว่า "สัจธรรม" นั่นเอง

ทุกถ้วนสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติในสนามพลังงานสากลจักรวาลอันไพศาลนี้ แม้จะดูเหมือนว่ามันเกิดเอง ดับเอง ดำรงอยู่ได้เอง หรือมันเป็นของมันเช่นนั้นได้เองก็ตาม

แต่แท้ที่จริงแล้ว สรรพสิ่งเหล่านั้นย่อมมีเหตุแห่งการเกิด เหตุแห่งการดับ เหตุแห่งการดำรงอยู่ และเหตุแห่งการต้องเป็นของมันเช่นนั้นเสมอ

เพราะว่าภายในสนามพลังงานสากลจักรวาลอันไพศาลนี้ ไม่มีสรรพสิ่งหรือเรื่องราวใด ๆ ที่อยู่ภายใต้ "กฎแห่งความบังเอิญ" เลยสักสรรพสิ่งเดียว ทุกสรรพสิ่งย่อมมีที่มาที่ไปด้วยกันทั้งสิ้น

มนุษย์ย่อมรู้ดีว่า เรื่องของ"กฎแห่งกรรม" ที่มนุษย์ด้วยกันนั่นเองเป็นผู้ก่อขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาธรรมชาติหรือความบังเอิญมาอ้างกันได้ เพราะมนุษย์ต่างรู้ดีถ้วนทุกคน มีกรรมเป็นกำเนิดทั้งสิ้น

การเกิดขึ้นของธรรมชาติ จะให้สื่อคำว่า "การกำหนด" จิตยิ้มว่านะคะ นั่นก็คือ หลักอิทัปจัยตา เพราะสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมีนะค่ะ

 

คล้ายกับ.ปรัชญาปารมิตาสูตร.

 

เป็นสิ่งที่.ละเอียด.สุขุม.ลุ่มลึก.ลึกซึ้ง.อยากหยั่งถึงยิ่งนัก

 

พึ่งรู้จัก.แต่รับรู้ได้.ถึงรอยยิ้มของจิต.ที่แฝงอยู่ภายในใจ.

 

พระยาธรรมิกราช.คือ.จิตดวงใหญ่.หมายคาวมว่า.เป็นใหญ่กว่าจิตทุกดวง.ไช่ไหม.

 

ลองพิจารณาข้อความนี้ดูนะคะ

ถ้ามนุษย์ยังเข้าถึงความเป็นจริงของตนเอง ซึ่งเป็นความลับเบื้องหลังมิติโลกไม่ได้ มนุษย์จะไม่มีวันยกระดับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนเอง ให้คืนสู่คุณสมบัติสุญญตาอันเป็นคุณสมบัติแต่เดิมของตนได้เลย

ความเป็นจริง(สัจธรรม) ซึ่งเป็นเบื้องหลังความลับมิติโลกของแต่ละคนนั้น สามารถกระทำได้ 2 ทาง
1.ใช้ปัญญาญาณของตนเอง
2.ศึกษาธรรมะและคำสอนของพระศาสดา

เดิมทีมานั้น มนุษย์ทุกคนที่มีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแรก ทุกคนต่างล้วนมีความสามารถในการใช้สติปัญญาของวิญญาณ หรือ ปัญญาญาณ ที่ล่วงรู้ความลับเบื้องหลังมิติโลกได้เองทุกสิ่ง เช่น รู้ว่าตนเองเป็นใคร? มาจากไหน? มาเกิดบนดาวเคราะห์โลกทำไม? มีหน้าที่อะไร? เป็นต้น

แต่พอได้มีโอกาสมาสู่รูปธรรมมนุษย์ กลับทำตัวเหลวไหล หลงในมิติกายภาพของสรรพสิ่งต่างๆ ในระบบโลก จนเกิดการสับสนในตนเองระหว่างสรรพสิ่งที่เป็นมายากับแก่นแท้

ทำให้สภาวะจิตที่เป็นสุญญตาแต่เดิมเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ จนทำให้.....ถูกการเปลี่ยนแปลงไปทางตรงกันข้าม นั่นคือการใช้จิตหยาบแทนจิตวิญญาณเพื่อการคิดรู้ นั่นเอง

การทำผิด 3 ประการนั่นคือ....
1.หลงเงามายาแวดล้อมทุกสรรพสิ่งว่าเป็นตัวตนแก่นแท้
2.หลงยึดติดในตัวตนของมายาสิ่งแวดล้อมทั้งหลายเหล่านั้น
3.ก่อเกิดกิเลสตัณหาอันเป็นโลกิยะขึ้นเป็นสันดานในจิตเพราะยึดติดอยู่กับมายาเหล่านั้น

คิดว่าอย่างไรกันบ้างคะ!!

จากคำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ....



ส่วน..... ที่ไม่ได้พิมพ์ข้อความลงไป ขอเว้นเอาไว้ก่อนค่ะ

 

เป็นผู้เริ่มต้นหรือเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดมีขึ้นของทุก ๆ สรรพสิ่งซึ่งเป็นรูปธรรมทางกายภาพในมิติพลังงาน หรือจะเรียกว่า สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งหมดทั้งมวลก็ได้ค่ะ

 

จากระทู้ของพันทิป...

https://pantip.com/topic/39025446/comment18

จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง คำสมมุติเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

คำตอบ....ความคิดเห็นที่ 18

จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

สามสิ่งนี้คือสิ่งเดียวกัน แต่แยกกันทำคนละหน้าที่

คำว่า "จิต" คือ สังขารขันธ์ เป็นจิตสังขารที่ปรุงแต่งดี-ชั่ว

คำว่า "มโน" คือ จิตใจ หรือ ความรู้สึก ที่อยู่ในหมวดของเวทนาขันธ์ และสัญญาขันธ์

คำว่า "วิญญาณ" คือ ผู้รับรู้ ผู้รับทางอายตนะ และ ผู้รู้ คือ รู้แจ้งทางอารมณ์ รู้อารมณ์ ซึ่งเป็นวิญญาณขันธ์

คำว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ......

สามสิ่งรวมตัวกัน ประชุมกันเป็นขันธ์ 5 ก็คือ ร่างกาย นั่นเอง

ในกระทู้ยังไม่มีใครมาแย้ง....

และคำว่าจิตเดิมแท้ประภัสสร กับ จิตสังขาร นั้นคือคนละสิ่งกัน



จิตวิญญาณ ที่เป็นแก่นแแท้อนัตตา

กับ.....

จิตสังขาร คือ อาการของจิต ที่เกิดดับ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนค่ะ

 

ดวงจิตดวงแรก.หรือ.ปฐมแห่งดวงจิตทุกดวง.ใช่หรือไม่หนอ