เรื่องเด่น ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    บุพเพอาละวาด

    upload_2024-8-9_7-56-24.png

    คนเราจะรักกันก็ต้องมีกรรมบางอย่างเป็นเหตุให้รักกัน คนเราจะเลิกกันก็ต้องมีกรรมบางอย่างเป็นเหตุให้เลิกกัน ทั้งกรรมในอดีตสัมปยุตกับกรรมในปัจจุบัน ไม่มีใครจะฝืนกรรมของตัวเองได้ กรรมในอดีตมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อย่าเก็บเอามาคิดทำใจให้ขุ่นมัว
    .
    ธรรมท่านสอนให้ทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุด ให้มีสติปัญญาจดจ่ออยู่ในปัจจุบัน การจะคิดอะไร จะทำอะไร จะพูดอะไร ให้พิจารณาให้สุขุมรอบคอบเสียก่อน อันใดใช่ประโยชน์ อันใดไม่ใช่ประโยชน์ สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ข้อสำคัญคือต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมประจำใจ อย่าทำลายหิริโอตตัปปะภายในใจตนเอง จะหาทางออกจากทุกข์ไม่เจอ
    .
    บางคนไม่เคยฝึกหัดอบรมจิตใจมาก่อน พอเผชิญกับความผิดหวังรุนแรง ก็ยากที่จะทำใจ เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ สติไม่เข้มแข็ง ปัญญาไม่เฉียบคม เกิดความเศร้าโศกเสียใจจนใจแทบพังทลาย
    .
    upload_2024-8-9_7-56-24.png

    แต่ใจนี้เป็นธรรมชาติอมตะที่ไม่เคยแตกสลาย แม้จะเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด กาลเวลาคือ ยาวิเศษที่จะซ่อมแซมใจให้กลับคืนมาสู่สภาพเดิมได้ ขอเพียงใจอย่าคิด พูด และทำในสิ่งที่ผิด ให้เป็นกรรมปัจจุบันซ้ำเติมตัวเองจนเกิดเหตุการณ์เลวร้ายหนักเข้าไปอีก บางคนคิดไม่ลงปลงไม่ตกจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า บางคนก็ถึงกับฆ่าตัวตายกลายเป็นกรรมสาหัสสากรรจ์ ถ้าตัวเองเอาแต่คิดทำร้ายใจตัวเอง ใคร ๆ ก็คงช่วยอะไรไม่ได้
    .
    ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมีสติกล้า ปัญญาคม ที่สามารถรักษาใจตัวเองได้ดีเยี่ยมเพียงใด สติปัญญาเมื่ออบรมดีแล้วย่อมเป็นองครักษ์พิทักษ์ใจได้อย่างยอดเยี่ยมอัศจรรย์เหนือกว่าสิ่งใด ๆ ในโลก
    .
    ธรรมสำคัญที่สามารถกำจัดทุกข์ภายในใจได้อย่างเฉียบขาด เป็นวิหารธรรมของพระอรหันต์คือ “สันตุษฐี ปะระมัง ธะนัง” แปลความว่า “ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” ถึงแม้คนมีกิเลสยากที่จะทำได้ แต่ถ้ามีความพยายามที่จะทำ คอยอบรมจิตไปทุกวัน ฝึกจิต ฝืนจิตต่อต้านกิเลสความอยากไว้ได้บ้าง ความทุกข์ใจก็จะน้อยลง
    .
    upload_2024-8-9_7-56-24.png

    สันโดษคือความพอใจในสิ่งที่ตนมีตนได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สติปัญญาความเฉลียวฉลาด ฐานะทางสังคม ทรัพย์สมบัติ พ่อแม่พี่น้อง มิตรสหาย แม้มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็ต้องทำใจให้ยอมรับ และพยายามอยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้โดยไม่ต้องคิดเรื่องที่จะทำให้ใจเป็นทุกข์
    .
    ถ้าอยากได้ดีกว่านั้น ธรรมท่านสอนให้หามาด้วยการงานอันชอบ มีความขยันหมั่นเพียรประกอบสุจริต ไม่ทำผิดศีลผิดธรรม รู้จักรักษาทรัพย์เก็บหอมรอบริบ คบเพื่อนที่ดี ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายฟุมเฟือยจนเกินฐานะของตนเอง ทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุด ผลดีย่อมปรากฏขึ้นเอง เมื่อได้ผลอย่างไรก็จงพอใจอย่างนั้น ถ้ายังไม่พอใจก็ให้ทำเหตุดีให้มากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าไปทำเหตุชั่ว
    .
    นี่แหละ! ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง คือ ใจที่ไม่มีทุกข์นั่นเอง ไม่มีทรัพย์ใดในโลกจะมีคุณค่ายิ่งไปกว่าใจนี้อีกแล้ว
    .
    ดังนั้น จึงไม่ควรที่ ใคร ๆ จะทำร้ายใจของตนเอง ด้วยการคิดไม่ดี คิดเป็นอกุศลอยู่ตลอดเวลา ให้คิดปลดเปลื้องทุกข์ออกจากใจตัวเองก่อน ด้วยการคิดดี คิดเป็นกุศล อย่ามัวไปคิดโทษคนอื่น สิ่งอื่นว่า มาทำให้เราเป็นทุกข์ ให้รู้ว่า ความคิดโทษคนอื่น สิ่งอื่น นั่นแล คือตัวต้นเหตุที่ทำให้ใจเป็นทุกข์หนักยิ่งขึ้น
    .
    upload_2024-8-9_7-56-24.png

    ถ้าไม่รู้ว่าจะคิดอะไรดี ก็ให้ใจมาอยู่กับ พุทโธ ๆๆ คิดพุทโธ ๆๆ นี่แหละ สามารถสยบทุกข์ใจได้ทุกอย่าง ถ้าพอสงบใจได้บ้างแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะคิดอะไรให้กว้างขวางไปกว่านี้ ก็ให้คิดว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา, สัพเพ สังขารา ทุกขา, สัพเพ ธัมมา อนัตตา .
    คิดวนเวียนกลับไปกลับมาทั้งวันทั้งคืน ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จิตจะค่อย ๆ เกิดความคิดที่ละเอียดแยบคายแตกแขนงออกไปเองตามจริตนิสัยของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หากมีสิ่งใดมาสัมผัสใจ แล้วทำให้ใจคิดปรุงแต่งเป็นทุกข์ใจขึ้นมา ก็ให้พิจารณาสิ่งนั้นลงสู่กฏแห่งไตรลักษณ์นี้
    .
    ให้สอนใจว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันเป็นทุกข์เพราะมันจะต้องแตกต้องพัง จะเอาใจไปยึดถืออะไรไว้ไม่ได้เลย พอตายแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของเราสักชิ้นสักอัน ถึงเราไม่ยอมจากมันไป แต่มันก็ต้องจากเราไปอยู่ดี เพราะทุกสรรพสิ่งต้องพังทั้งนั้น ทั้งตัวเขาตัวเรา ไม่มีสิ่งใดไม่แตกไม่พัง อันนี้คือหมัดเด็ด ที่จะฆ่ากิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลให้สิ้นซากจากใจได้
    .
    นี่คือ ธรรมาวุธ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานไว้กับชาวพุทธทุกคน ใครหมั่นศึกษาพิจารณาทุกสรรพสิ่งน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้ง ๓ นี้ให้มาก ๆ ทุกข์ในใจก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นทุกข์หมดสิ้นไปได้อย่างแน่นอน
    :- https://www.doisaengdham.org/สายธารธรรม-โดยเจ้าอาวาส/บุพเพอาละวาด.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    พระอรหันต์อยู่ไหน
    ผมเพิ่งได้รับหนังสือธรรมะชื่อ “พระอรหันต์อยู่ไหน” ของ ท่าน ว.วชิรเมธี จากสถาบันวิมุตตยาลัย รวมเรื่องที่ท่านไปเทศน์ในต่างประเทศ ช่วงที่มีสมีบางคนทำตัวเป็นหลวงปู่ บ่อนทำลายพุทธศาสนาในเมืองไทย เป็นหนังสือที่พุทธศาสนิกชนทุกคนควรอ่าน ผมอ่านแล้วก็อดไม่ได้ที่ต้องนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องสุดท้ายในเล่ม ซึ่งผมจะเล่าแบบย่อให้อ่านกันนะครับ

    เป็นตำนานปรัมปราคติจากจีนว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งหลงใหลในคุณวิเศษเวทไสย วันหนึ่งมีข่าวว่ามี พระอรหันต์ ธุดงค์มาจำพรรษาอยู่บนยอดเขา จึงไปลาแม่ที่อายุใกล้แปดสิบ เพื่อไปหาพระอรหันต์ แม่รักลูกมากก็ให้ลูกไป แม้ตัวเองจะหูตาฝ้าฟาง

    ชายหนุ่มเดินทางเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงบรรลุยอดเขา รออีกครึ่งวันจึงได้มีโอกาสเข้าไปกราบหลวงปู่ที่มีเครายาวเฟื้อย แล้วถามว่า หลวงปู่ครับ เขาลือว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์ ผมบุกป่าฝ่าดงมาแสนไกล เพื่อแสวงหาคำตอบว่า หลวงปู่เป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ จะได้กราบไหว้ให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

    หลวงปู่ ตอบว่า “โยมเอ๊ย อาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์อะไรหรอก คนเขาลือกันเอง” ชายหนุ่มก็พูดว่า “หลวงปู่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วมานั่งให้คนกราบไหว้ทำไม” หลวงปู่ตอบว่า “อาตมาก็ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมากราบ เขามากราบกันเอง อาตมาก็สงเคราะห์ไป” ชายหนุ่มก็บอกว่า “งั้นผมก็ผิดหวังสิครับ เสียเวลาเดินทางตั้งเจ็ดวัน”

    หลวงปู่ก็บอกว่า “โยมไม่เสียเวลาหรอก อาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็จริง แต่อาตมารู้ว่าพระอรหันต์มีคุณสมบัติอย่างไร จำไว้นะ พระอรหันต์มีคุณสมบัติสองประการ ถ้าเจอที่ไหนให้กราบทันที (1) ชอบสวมเสื้อเอาข้างในกลับมาไว้ข้างนอก เอาข้างนอกกลับไปไว้ข้างใน (2) ชอบใส่รองเท้าสลับข้าง เอาขวามาเป็นซ้าย ซ้ายมา เป็นขวา ถ้าเจอคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ เข้าไปกราบได้เลย นั่นแหละพระอรหันต์ตัวจริง”

    ชายหนุ่มเสียใจมาก ใช้เวลาเดินทางกลับบ้านอีกเจ็ดวัน พอเข้าปากซอยก็ตะโกนหาแม่แต่ไกล แม่กำลังนึ่งข้าวเป่าไฟใกล้พลบค่ำ ได้ยินเสียงลูกก็ทิ้งเตาไฟวิ่งถลันออกไปจากบ้านคิดถึงลูกสุดหัวใจ พอวิ่งออกจากบ้าน ก็รู้สึกเย็นวาบ ปรากฏว่าไม่ได้สวมเสื้อให้เรียบร้อย มีแต่เสื้อชั้นใน จึงวิ่งกลับเข้าบ้าน หยิบเสื้อปุๆ ปะๆ มาสวมทับ วิ่งออกมาอีกรอบ คราวนี้เจ็บจี๊ดที่เท้าก้อนกรวดบาด นึกขึ้นมาได้ ไม่ได้สวมรองเท้า กลับเข้าบ้านสวมรองเท้า อารามรีบร้อน ขวาเลยเป็นซ้าย ซ้ายเลยเป็นขวา

    แม่ลูกเจอกันก็กอดกันด้วยความคิดถึง ลูกกอดแม่ร้องไห้พูดว่า “แม่ครับ ผมรู้สึกแย่มากถูกหลอกไปถึงบนยอดเขาไกลแสนไกล ชาวบ้านก็ถูกหลอก ไม่มีหรอกพระอรหันต์ในโลกนี้” แม่ก็ปลอบลูกว่าไม่เป็นไรหรอกลูก เรากลับเข้าบ้านกันเถอะ”

    เมื่อลูกผละจากอกแม่ มองหน้าแม่ตั้งแต่หน้าลงมาจนถึงเสื้อแม่ สังเกตเห็นว่า แม่ใส่เสื้อกลับข้างในเป็นข้างนอก เลยอุทานว่า “ผมไม่อยู่สองอาทิตย์ แม่เป็นอัลไซเมอร์เลยนะ ดูสิสวมเสื้อเอาข้างในกลับข้างนอก กลัดกระดุมก็ไม่เท่ากัน” แล้วก็สวมเสื้อให้แม่ใหม่ แล้วก็สังเกตเห็นว่า แม่ใส่รองเท้าผิดข้าง ขวาเป็นซ้าย ซ้ายเป็นขวา ก็เลยก้มลงถอดรองเท้าให้แม่

    พลันก็ได้ยินเสียง หลวงปู่ แว่วเข้าหูว่า “โยมไม่เสียเวลาหรอก หลวงปู่ไม่ได้เป็น พระอรหันต์ แต่รู้ว่าพระอรหันต์มีลักษณะยังไง จำไว้นะ ถ้าเจอใครที่มีคุณสมบัติสองประการนี้ (1) สวมเสื้อข้างในกลับข้างนอก (2) สวมรองเท้ากลับข้าง คนนั้นคือพระอรหันต์ตัวจริง”

    ถอดรองเท้าไม่ทันเสร็จ ชายหนุ่มก็ขนลุก เกิดอาการสว่างโพลงขึ้นในหัวใจ เราช่างโง่เหลือ วิ่งหาพระอรหันต์ไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ที่แท้พระอรหันต์คือพ่อแม่เราเอง สององค์นี้ให้ชีวิตเรา เลี้ยงดูเรามา รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข ก่อนที่จะไปกราบไหว้พระองค์ไหน โยมทั้งหลายจงอย่าลืมกราบไหว้พ่อแม่ของเราให้ดีที่สุดก่อน ปราชญ์ท่านบอก ว่ากราบพระหมื่นองค์แสนองค์ก็ไม่นับว่ามีคุณค่า หากเธอยังไม่เคยกราบมารดาบิดาตัวเอง

    เรากินอิ่มนอนอุ่น ท่านกินอิ่มนอนอุ่นเหมือนเราหรือเปล่า? เรามีเงินทองใช้ ท่านมีเงินทองใช้เหมือนเราหรือเปล่า? เรามีสุขภาพดี ท่านมีสุขภาพดีเหมือนเราหรือเปล่า? ก็เอามาฝากให้ท่านผู้อ่านไปคิดเป็นการบ้านวันหยุดครับ.
    :- https://www.thairath.co.th/news/politic/359478
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    nothing happen by chance.jpg
    - โลกนี้ ไม่มีคำว่า บังเอิญ.. -
    ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ในทางพุทธศาสนา
    โลกนี้ไม่มีอะไรที่เกิดมาด้วยความบังเอิญนะ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราทั้งดี และ ไม่ดี ไม่มีอะไรบังเอิญนะ มันมีเหตุ และ ผล ที่ทำให้เกิด

    พระราชสังวรญาณ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้เคยสอนว่า ทุกอย่างล้วนถูกจัดสรร ตามเหตุ และ ผล เปลี่ยนแปลงได้ด้วยบุญกุศล
    หากศึกษาเรื่องธรรมะดีๆนะ จะเข้าใจว่า ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ใดๆ ทั้งสิ้น "กรรม" นี้แม่นยำยิ่งกว่าเรด้าตรวจจับของนาซ่าอีกนะ พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า "เราเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน น้ำตาที่เสียจากความพลัด พรากจากคนที่เรารักนับรวมกันได้มากกว่ามหาสมุทร ทั้ง 4 ดังนั้น เราจึงได้เคยพบปะผู้คนมามากมาย จนผู้คนที่เดินบนถนนไปมานี้ต่างก็เคยเกิดมาเป็นพี่น้องเราทั้งสิ้น"

    จากคำอธิบายข้างต้น เป็นเหตุให้ "กรรม" จัดสรรให้เราได้พบเจอ รู้จัก พึ่งพา มาเกิดเป็นพ่อ แม่ ลูก พี่น้อง เพื่อน แฟน คู่รัก มิตร ศัตรู ครู ลูกศิษย์ เมียหลวง เมียน้อย ฯลฯ เนื่องจาก เคยเกี่ยวพัน มีความสัมพันธ์ และประกอบกรรมร่วมกันมาก่อนนะ จึงได้มาเจอกันอีก เพื่อชดใช้กรรม หรืออาจอธิษฐานให้มาพบกันอีกในชาติต่อๆ ไป หรือเคยอาฆาตพยาบาทกันมาก่อน บางคนก็เคยอุปถัมภ์ ค้ำชู หรือเคยพึ่งพาอาศัยกันมาก่อน ดังนี้ เป็นต้น จึงไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ในพระพุทธศาสนา

    หากใครเคยไปในสถานที่ใด แล้วรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่นั้นโดยไม่เคยไปมาก่อนรู้สึกคุ้นๆ กับเหตุการณ์นั้น โดยที่เราไม่เคยมีส่วนร่วมมาก่อน เคยรู้สึกประทับใจใคร รู้สึกเกลียดใคร อยากอยู่ใกล้ใคร หรืออยากหนีหน้าใคร โดยที่ไม่เคยพบเจอรู้จักกันมาก่อน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสัญญาเก่า (การจำได้หมายรู้) ที่ติดตัวมาแต่เก่าก่อน

    พระบาลีพุทธวจนะ เป็นภาษาเมื่อหลายพันปีมาแล้ว คำว่า "บังเอิญ" ดูเหมือนไม่มีในภาษาบาลี มีแต่คำว่า "เหตุ - ปัจจัย"

    พระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของเหตุและผล ทุกสิ่งไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ดังที่ท่านพระอัสสชิ แสดงธรรมแก่ท่านพระสารีบุตรว่า "ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ" นั่นคือ การที่ทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน เป็นเพราะได้กระทำเหตุ คือ ทำกรรมมาแตกต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้มีรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ฐานะ ต่างกัน มีอุปนิสัยดีเลวต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ ได้รับความสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา

    อนาคตเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วจากกรรมในอดีตนานนับไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะต้องมีเหตุในปัจจุบันร่วมด้วย ความพยายามในปัจจุบันนั่นแหละ จึงจะทำให้เกิดผลในอนาคตที่สมบูรณ์ แม้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็เปลี่ยน แปลงได้บางส่วน คนเราจึงไม่ควรละความพยายามตลอดชีวิตที่เกิดมานะ

    การกระทำทุกอย่างย่อมมีผล เราเรียกผลนั้นว่า "วิบาก" สิ่งใดจะเกิดได้ต้องมีเหตุปัจจัยประชุมพร้อม กรรมจึงสามารถส่งผล หรือให้วิบากได้
    ไม่มีโชคลาภเกิดขึ้นได้โดยไม่อาศัย บุญ กรรม โชคลาภ ไม่สามารถจะเกิดขึ้นลอยๆ หรือบังเอิญ โดยไม่มีเหตุปัจจัย

    ทุกปัญหาเกิดขึ้นอย่างมีสาเหตุทั้งนั้น กิ่งไม้ตกใส่หัว หกล้ม ฯลฯ ล้วนเกิดจากกรรม เหมือนกับคำว่า "ใครกินคนนั้นก็อิ่ม คนอื่นอิ่มแทนไม่ได้"

    เกลือ เค็มเหมือนกันหมด ไทย ฝรั่ง ลาว แขก กินเกลือในที่ลับ ที่แจ้งก็เค็ม เหมือนกัน เกลืออย่างไร กรรมก็อย่างนั้น ทุกชาติศาสนา

    ความบังเอิญไม่มีในโลก ทุกสิ่งถูกลิขิตจากกรรมทั้งกุศล และอกุศลที่สัตว์โลกได้กระทำไว้ทั้งในอดีต และปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับว่า กรรมอันไหนจะส่งผลก่อนกัน

    บทความธรรมะ อมตะธรรม ประเทศไทย
    #ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอน

    :- facebook]5907329869353301[/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2025 at 01:11

แชร์หน้านี้

Loading...