เรื่องเด่น ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    (ต่อ)
    นี้ไม่ใช่กฎแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน เพราะการช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากนั้น หากทำด้วยเมตตาจิต ย่อมเป็นกรรมดี แต่จะช่วยได้มากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่าง ๆ มากมาย (ซึ่งอาจรวมถึงกรรมเก่าด้วยแต่ไม่ใช่แค่นั้น ต่อเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงค่อยวางใจเป็นอุเบกขา) การกระทำเช่นนั้นไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงกฎแห่งกรรม แต่เป็นการสร้างกรรมใหม่ซึ่งอาจผ่อนร้ายให้กลายเป็นดีหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังของกรรมใหม่นั้น รวมถึงกรรมเก่าที่เกี่ยวข้อง พุทธศาสนาเห็นว่าเราควรรู้จักกฎแห่งกรรม มิใช่เพื่อปล่อยตัวปล่อยใจประหนึ่งสวะที่ลอยไปตามกระแสน้ำ (หรือ “แล้วแต่บุญแต่กรรม”) แต่เพื่อใช้กฎนี้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตให้เจริญงอกงาม เช่นเดียวกับที่เราต้องรู้จักธรรมชาติของกระแสน้ำและใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการล่องเรือให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่เกยตื้นหรือชนเกาะแก่งเสียก่อน การคัดท้ายหรือคุมหางเสือเพื่อให้เรือแล่นไปในทิศทางที่ต้องการ มิใช่การแทรกแซงหรือฝืนกระแสน้ำฉันใด การกำกับและประคับประคองชีวิตจิตใจให้ทำแต่กรรมดีและมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ก็ไม่ถือว่าแทรกแซงกระแสกรรมฉันนั้น

    กฎแห่งกรรมหากเข้าใจถูกต้องย่อมส่งเสริมให้คนทำดี มีน้ำใจต่อกัน แต่หากเข้าใจคลาดเคลื่อนก็สามารถส่งเสริมความเห็นแก่ตัวได้ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่การเข้าใจกฎแห่งกรรมในแง่ดังกล่าวเกิดขึ้นในยุคที่ผู้คนอยู่แบบตัวใครตัวมัน ชนิดมือใครยาวสาวได้สาวเอา การมีค่านิยมดังกล่าวยืนพื้นอยู่ก่อนแล้ว (จะเป็นเพราะอิทธิพลของลัทธิทุนนิยมหรือบริโภคนิยมก็แล้วแต่) ทำให้เราตีความกฎแห่งกรรมไปในทางที่สนับสนุนความเห็นแก่ตัว จนพร้อมจะใจจืดใจดำต่อเพื่อนมนุษย์หรือสัตว์โลกที่ทุกข์ยากได้ไม่ยาก

    อีกประเด็นหนึ่งที่น่ากล่าวถึง คือความเข้าใจว่าโรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นผลมาจากอำนาจของเจ้ากรรมนายเวร รากเหง้าของความคิดนี้ก็คือความเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรานั้นเป็นเพราะกรรมในอดีตชาติ พุทธศาสนายอมรับกรรมเก่าในอดีตชาติก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับเหมารวมว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เรากำลังประสบอยู่ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ดีหรือร้าย ล้วนเป็นเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อน ตรงกันข้ามพระพุทธองค์ถึงกับตรัสอย่างชัดเจนว่า ๑ ใน ๓ ของลัทธินอกพุทธศาสนาคือความเชื่อว่าทุกอย่างเป็นเพราะกรรมเก่า

    ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเป็นไปตามกฎแห่งเหตุและผลก็จริง แต่กฎแห่งเหตุและผลนั้นไม่ได้หมายถึงกฎแห่งกรรมอย่างเดียว ยังมีกฎอื่น ๆ อีกที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเรา เช่น พีชนิยาม (กฎเกี่ยวกับพืชพันธุ์หรือชีววิทยา) และอุตุนิยาม (กฎเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและดินฟ้าอากาศ) เป็นต้น ความเจ็บป่วยจึงไม่ได้เป็นเพราะกรรมเก่าอย่างเดียว แต่ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ดังพระสารีบุตรเคยจำแนกว่า สมุฏฐานของโรคนั้นมีมากมาย อาทิ ดี เสมหะ ลม ฤดูแปรปรวน การบริหารไม่สม่ำเสมอ ความเพียรเกินกำลัง ผลกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ฯลฯ

    ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มีความคิดเกี่ยวกับกรรมเก่าอย่างสุดโต่ง หากไม่อยู่ในฝ่ายแรกคือปฏิเสธกรรมเก่าอย่างสิ้นเชิง ก็อยู่ในฝ่ายที่สองคือ เชื่อแต่กรรมเก่า จนมองข้ามกรรมปัจจุบัน ปักใจเชื่อว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะกรรมเก่า คนกลุ่มหลังนี้หากไม่งอมืองอเท้าก้มหน้า “รับกรรม” ก็คิดแต่จะ “แก้กรรม” สถานเดียว แต่ไม่ขวนขวายที่จะสร้างกรรมใหม่ที่ดีงามขึ้นมา หรือเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นประโยชน์ เช่น เป็นเครื่องเตือนใจให้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต หรือกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาท เร่งทำความดีงามขณะที่ยังมีเวลาและกำลังวังชาอยู่

    ข้อที่พึงตระหนักก็คือ ผลของกรรมหรือกรรมวิบากนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะนอกจากกรรมจะมีหลายชนิด (เช่น มีความแรงในการให้ผลต่างกัน เวลาให้ผลก็ต่างกัน)แล้ว คนแต่ละคนยังทำกรรมมากมายหลายอย่างในเวลาที่ต่างกัน (ทั้งในชาตินี้และชาติก่อน) ดังนั้นจึงยากที่จะบอกได้ว่า เมื่อทำกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จะต้องได้รับผลอย่างนี้ ๆ ในเวลานั้น ๆ หรือสาเหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะทำกรรมอย่างนั้น ๆ เมื่อนั้นเมื่อนี้ ดังพระพุทธองค์เคยตรัสว่า คนที่มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ หรือผิดศีล ทั้งยังเป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้ เมื่อตายแล้วใช่ว่าจะไปนรกสถานเดียว ที่ไปสวรรค์ก็มี เพราะเหตุ ๓ ประการคือ เคยทำกรรมดีไว้(ในชาติ)ก่อน หรือทำความดีภายหลัง หรือมีสัมมาทิฏฐิในเวลาจะตาย ในทำนองเดียวกันคนที่ไม่ผิดศีล เป็นสัมมาทิฏฐิในโลกนี้ ตายแล้วไปนรกก็มี เพราะ เคยทำบาปกรรมไว้(ในชาติ)ก่อน หรือทำบาปกรรมในภายหลัง หรือมีมิจฉาทิฏฐิในเวลาตาย

    ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่เดียรถีย์อย่างนิครนถ์นาฏบุตรเท่านั้นที่ประกาศแบบ “ฟันธง” ว่า “ผู้ฆ่าสัตว์ทั้งหมดต้องไปอบาย ตกนรก ผู้ลักทรัพย์ทั้งหมดต้องไปอบาย ตกนรก ผู้ประพฤติผิดในกามทั้งหมดต้องไปอบาย ตกนรก ผู้พูดเท็จทั้งหมดต้องไปอบาย ตกนรก”

    เนื่องจากกระบวนการให้ผลของกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดซับซ้อนมาก จึงยากที่จะคิดหรือ
    แยกแยะให้เห็นแจ่มแจ้งว่าอันใดเป็นผลของกรรมใด พระพุทธองค์จึงตรัสว่ากรรมวิบากนั้นเป็น “อจินไตย” กล่าวคือเป็นสิ่งไม่พึงคิด เพราะพ้นวิสัยของความคิด ต่อเมื่อบรรลุธรรมขั้นสูง มีกรรมวิปากญาณดังพระพุทธองค์ จึงสามารถล่วงรู้ผลของกรรมได้

    ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่บอกว่าตนสามารถหยั่งรู้ได้ว่าที่ใครเป็นอย่างนี้ ๆ เพราะทำกรรมอย่างนั้น ๆ ในชาติที่แล้ว จึงสมควรที่จะถูกตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่ารู้จริงแน่หรือ ยิ่งถ้าบอกว่ารู้วิธี “แก้กรรม”ด้วยแล้ว ก็แสดงว่าเขากำลังสอนลัทธินอกพุทธศาสนา เพราะกรรมในอดีตนั้น ไม่มีใครสามารถแก้ได้ มีแต่บรรเทาผลกรรมด้วยการทำกรรมดีในปัจจุบัน หรือนำผลกรรมนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางธรรม คือเป็นเครื่องเตือนใจให้ทำความดี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อ “ใช้กรรม”เท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือ “พัฒนากรรม” ได้แก่การสร้างกรรมใหม่ที่เป็นกุศลอย่างไม่หยุดหย่อน ตราบใดที่ยังไม่หมดลม เราก็ยังสามารถสร้างกรรมใหม่ที่ดีงามได้เสมอ แม้ในยามป่วยไข้ ถึงจะทำประโยชน์ท่านได้ไม่เต็มที่ แต่ก็ยังสามารถทำประโยชน์ตนได้ อย่างน้อยก็ด้วยการน้อมใจเป็นกุศล เจริญเมตตาจิต ใคร่ครวญธรรมจากความเจ็บป่วย หรือปล่อยวางความยึดติดถือมั่นทั้งปวง

    กฎแห่งกรรมนั้น หากเข้าใจถูกต้อง ชีวิตก็มีแต่ความเจริญงอกงาม แต่หากเข้าใจผิดพลาดแล้ว ไม่เพียงจะนำพาชีวิตสู่ความเสื่อมถอยเท่านั้น หากยังฉุดรั้งสังคมให้ตกต่ำลงด้วย
    :- https://visalo.org/article/matichon255207.htm

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    วิบากกรรมคนเจ้าชู้ ต้องทนทุกข์ ทรมานไปทั้งชีวิต อย่าหาทำกรรมจะตามสนองทั้งชีวิต #ธรรมะก่อนนอน #ธรรมะ

    Meeboon99
    382,024 views Oct 30, 2022

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    มินิซีรีส์ : โทษภัยของการพูดโกหก (ภาพใหม่ล่าสุดจากพุทธศิลป์ วัดพระธรรมกาย)

    DMCtv - Dhamma Meditation Channel
    Mar 17, 2022
    มินิซีรีส์ : โทษภัยของการพูดโกหก ผิดศีลข้อที่ ๔

    ความวุ่นวายที่เกิดบนโลก โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากการพูดจาโกหก หลอกลวง กลับกลอกกลับไปกลับมา เรามักจะพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เว้นเด็กเว้นผู้ใหญ่ มีหน้าตาฐานะทางสังคมอย่างไรและไม่มีกำแพงชนชาติมากีดกัน ซึ่งมักจะใช้คำสั้น ๆ ว่า “ เด็กเลี้ยงแกะ ” เป็นข้อความที่บ่งชี้ให้เห็นว่าบุคคลนั้น ๆ ที่ถูกประณามเป็นคนพูดโกหก พูดหลอกลวง ทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อ ซึ่งถือว่าผิดศีลห้าในข้อที่ ๔ นั่นเอง ที่มีชื่อว่า มุสาวาท มุสา แปลว่า เท็จ หรือ ไม่จริง วาท แปลว่า คำพูด รวมเรียกว่า มุสาวาท แปลว่า คำพูดที่ไม่เป็นความจริง พูดโกหก การกล่าวคำเท็จ ซึ่งส่วนมากใช้วาจา ในการแสดงความเท็จหรือโกหก สามารถแสดงได้ทั้ง ๒ ทางคือ ทางวาจา กับ ทางกาย ทางวาจา คือ พูดคำเท็จออกมา ทางกาย คือ แสดงทางกาย เช่น การเขียนจดหมายโกหก รายงานเท็จ ทำหลักฐานปลอม ตีพิมพ์ข่าวเท็จ เผยแผ่ ทำเครื่องหมายให้คนอื่นหลงเชื่อ ตลอดจนการแสดงท่าทางให้คนอื่นเข้าใจผิด เช่น สั่นศีรษะ หรือโบกมือปฏิเสธในเรื่องควรรับ หรือพยักหน้ารับในเรื่องที่ควรปฏิเสธ เป็นต้น ลักษณะของการแสดงมุสาวาท กล่าวคำเท็จ มี ๗ วิธี คือ
    ๑. ปด คือ การโกหกชัด ๆ ไม่รู้ว่ารู้ ไม่เห็นว่าเห็น ไม่มีว่ามี เป็นต้น
    ๒. ทนสาบาน คือ ทนสาบานเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าตนไม่เป็นเช่นนั้น จะด้วยวิธีแช่งตัวเอง หรือเป็นพยานทนสาบาน แล้วเบิกความเท็จในศาล
    ๓. ทำเลห์กะเท่ห์ คือ การอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เป็นจริง เช่น อวดวิเศษเริ่มใบ้หวยโดยไม่รู้จริงเห็นจริง เป็นต้น
    ๔. มายา คือ การแสดงอาการหลอกคนอื่นให้เขาเห็นผิดจากความเป็นจริง เช่น ไม่เจ็บทำเป็นเจ็บ เจ็บน้อยทำเป็นเจ็บมาก เป็นต้น
    ๕. ทำเลศ คือ ไม่อยากจะพูดเท็จ แต่พูดเล่นสำนวน พูดคลุมเครือให้ผู้ฟังคิดผิดไปเอง เช่น เห็นขโมยวิ่งผ่านหน้าไป ไม่อยากบอกให้ผู้อื่นทราบว่าตนเห็น จึงย้ายที่ยืนหรือที่นั่งไป เมื่อถูกถามพูดเล่นสำนวนว่าอยู่ที่นี่ไม่เห็น อย่างนี้เรียกว่า ทำเลศ
    ๖. เสริมความ คือ การพูดมุสาโดยอาศัยมูลเดิม แต่เสริมความให้มากกว่าที่เป็นจริง หรือเรื่องจริงมีนิดหน่อย แต่ก็พูดขยายความออกเสียยกใหญ่จนเกินความจริงไป เช่น พูดโฆษณาสินค้า พรรณนาสรรพคุณจนเกินความจริง
    ๗. อำความ คือ เรื่องใหญ่แต่พูดตัดความที่ไม่ประสงค์ที่จะให้รู้เสีย ให้กลายเป็นเรื่องเล็กบ้าง ให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นบ้าง หรือปิดบังอำพรางไว้ ไม่พูด ไม่รายงานต่อผู้มีหน้าที่ให้รับทราบ นอกจากนี้การจำแนกลักษณะการกล่าวเท็จโดยทางอ้อม หมายถึง เรื่องที่กล่าวไปนั้นไม่เป็นความจริง โดยผู้กล่าวก็ไม่ได้จงใจให้ผู้ฟังเข้าใจผิด ที่เรียกว่า อนุโลมมุสา ซึ่งก็มีโทษ แต่ไม่ถึงกับการทำให้ศีลข้อนี้ขาด จะทำให้ศีลด่างพร้อย ได้แก่
    ๑. พูดเสียดแทง กระทบกระแทกแดกดัน คือ พูดให้ผู้อื่นเจ็บใจ
    ๒. พูดประชด ยกให้เกินความจริง
    ๓. พูดด่า กดให้ต่ำกว่าความเป็นจริง
    ๔. พูดสับปลับ ด้วยความคะนองวาจา แต่ไม่ตั้งใจให้เข้าใจผิด
    ๕. พูดคำหยาบ คำต่ำทราม
    ๖. พูดคะนองวาจา
    ในการตัดสินว่าเราผิดศีลข้อ ๔ หรือไม่ ให้ดูที่องค์ประกอบทั้ง ๔ ประการดังนี้
    ๑. เรื่องที่จะนำมาแสดงนั้นเป็นเรื่องไม่จริง
    ๒. มีจิตคิดจะพูดเท็จ
    ๓. พูดเท็จ หรือแม้จะแสดงอาการทางกาย ทำให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย
    ๔. ผู้รับสารเชื่อตามเนื้อหาอันเป็นเท็จนั้น หากครบองค์ทั้งสี่ ก็เป็นอันว่าผิดศีลข้อมุสาวาท
    ส่วนว่าจะมีโทษมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
    ๑. ความเสียหายที่เกิดขึ้นว่ามากน้อยเพียงใด
    ๒. เจตนาที่จะทำให้ผู้อื่นเสียหาย
    ๓. คุณธรรมความดีของผู้ที่ถูกละเมิด ถ้ามาพูดโกหกพระภิกษุสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ก็จะมีโทษมาก ผู้ที่ผิดศีลข้อ
    ๔ เป็นอาจิณ เมื่อก่อนละโลกจึงเห็นกรรมนิมิตที่ตนทำเอาไว้ จึงมีคตินิมิตที่ดำมืด ทำให้ไปบังเกิดในอบาย โดยเริ่มต้นจากมหานรกขุมที่ ๔ ก่อน จะได้รับทุกข์ทรมานอย่างหนักคือ จะมีนายนิรยบาลที่มีลิ้นยาวออกจากปาก มีลักษณะเหมือนใบมีดคมกริบ ในมือก็ถือตะบองหนาม มืออีกข้างก็ถือลูกตุ้มเหล็ก แล้วใช้ลิ้นที่เป็นดาบมาเฉือนหนังชั้นนอกของสัตว์นรกออก แล้วใช้ตะบองหนามและลูกตุ้มหนามทุบตีไปบนร่างกายของสัตว์นรก จากนั้นก็จะใช้ถังตักน้ำคูถกรดมาสาดใส่ร่างของสัตว์นรกให้ได้รับความทุกข์ทรมานจนตาย เป็นเช่นนี้อยู่ยาวนาน เมื่อหมดกรรมไปสู่อุสสทนรก ก็ต้องไปแหวกว่ายอยู่ในทะเลน้ำคูถกรด ได้รับทุกข์ทรมาน ตายแล้วเกิดวนเวียนอยู่อีกยาวนาน เมื่อว่ายถึงอีกฝั่งก็จะมีอีกาปากเหล็ก คอยให้จิกร่างกายของสัตว์นรก แล้วจะถ่ายคูถกรดรดร่างของสัตว์นรก ให้ได้รับความทุกข์ทรมานจนตายเกิดสลับไปมาจนหมดกรรม เมื่อหมดกรรมจากอุสสทนรกก็จะไปที่ยมโลก จะถูกเจ้าหน้าที่ในยมโลกจับโยนลงไปในบ่อคูถกรดร้อน ให้แหวกว่ายอยู่ในนั้นจนหมดกรรม ก็จะพยายามหนีขึ้นมา ก็จะใช้หอกทิ่มแทงได้รับทุกข์ทรมานมาก ถ้าตอนเป็นมนุษย์เคยพูดโกหกบิดเบือนเอาไว้ ก็จะมีลักษณะร่างกายที่บิดเบี้ยวคดเคี้ยวไปมา ยิ่งถ้าพูดบิดเบือนมาก ร่างกายก็จะบิดเบี้ยวมาก ถ้าไปเป็นเปรตก็จะมีลักษณะประหลาดคือ แขนมาอยู่แทนขา และขาก็ไปอยู่แทนแขน หัวมาอยู่ที่ก้นต้องคอยกินคูถที่ตนเองถ่ายออกมา เพราะกรรมที่พูดคำเท็จทำให้เรื่องราวกลับตาลปัตรกลับไปกลับมา เมื่อหมดกรรมจากยมโลกก็จะมาเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดต่าง ๆ เริ่มจากสัตว์ชั้นต่ำ เช่น แมลงที่อาศัยอยู่ในกองคูถ หรือสัตว์ที่อาศัยอยู่ในถังส้วม เช่น หนอน แมลงสาบ สัตว์ที่กินคูถเป็นอาหาร ถ้าดีขึ้นมาหน่อยก็เกิดเป็นสุนัขขี้เรื้อน หรือสัตว์ขี้เรื้อนชนิดต่าง ๆ ด้วยวิบากกรรมที่ทำให้ผู้ถูกโกหกต้องร้อนอกร้อนใจจากคำพูดของพวกเขา แม้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีฟันเหยิน ฟันเกไม่งดงาม แล้วก็จะถูกเขาใส่ร้ายบิดเบือนเรื่องราวให้ผู้อื่นเข้าใจผิด เป็นอยู่เช่นนี้ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข ดังนั้นจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะกล่าววาจาเท็จ ว่าร้ายผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ทรงศีล เพราะไม่คุ้มกับวิบากกรรมที่จะต้องได้รับในอบาย ควรกล่าวแต่ปิยวาจา คำที่ยกจิตชูใจจะดีกว่า ใครฟังแล้วก็สบายอกสบายใจ พูดแต่เรื่องจริง เป็นประโยชน์ จะทำให้โลกของเราใบนี้น่าอยู่ตลอดไป

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    มินิซีรีส์ : โทษภัยของการพนัน (ภาพใหม่ล่าสุดจากพุทธศิลป์ วัดพระธรรมกาย)

    DMCtv - Dhamma Meditation Channel
    Mar 6, 2021
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    มินิซีรีส์ : วิบากกรรมปาณาติบาต (ภาพใหม่ล่าสุดจากพุทธศิลป์ วัดพระธรรมกาย)

    DMCtv - Dhamma Meditation Channel
    Jun 7, 2021

     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    มินิซีรีส์ : โทษภัยของการลักขโมย (ภาพใหม่ล่าสุดจากพุทธศิลป์ วัดพระธรรมกาย)

    DMCtv - Dhamma Meditation Channel
    Jul 9, 2021
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    รู้กรรมด้วยธรรมะ
    ประภา จุลชาต
    การเจริญสติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จะแก้กรรมได้ และจะรู้กรรมของตนเองได้ นั่นจริงหรือ? ข้าพเจ้าเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ เรื่องเวรเรื่องกรรมไม่เคยเชื่อ จนได้มาประสบกับตัวเอง ได้พิสูจน์เอง…

    ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นเด็กหญิงที่แข็งแรง สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ดี แต่มีแผลติดตัวมาอยู่ตรงกระเบนเหน็บซึ่งตรงกับจุดศูนย์รวมประสาท เป็นแผลลึก กว่าจะรักษาให้หายได้เป็นเวลาหลายวัน ต่อมาถูกตะปูตำที่เท้าทำให้อักเสบเดินไม่ได้ ได้รับการผ่าตัดจากแพทย์ แต่ก็กลายเป็นคนเท้าพิการ

    เวลาผ่านไปหลายปี ความพิการที่เท้าก็ยังไม่หาย ขาก็เริ่มลีบเล็กลง ไม่มีแรง จึงได้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดหลังตรงกระเบนเหน็บ เพื่อแก้ระบบประสาทตั้งแต่เอวถึงปลายเท้าให้ดีขึ้น ในเวลาต่อมาขาข้างขวาเกิดอ่อนแรงลงไปมาก ปลายเท้าตกต้องผ่าตัดแก้ไขกันอีก โดยตอกข้อเท้าให้หักแล้วงัดปลายเท้าขึ้นเอาเหล็กเสียบตรึงไว้ ๓ อัน ต้องใส่เฝือกอยู่นาน ปัจจุบันนี้เหล็กที่เสียบกระดูกไว้เกิดหลวม เวลาเดินถ้าก้าวเท้าไม่ถูกจังหวะจะเจ็บ แพทย์ให้ผ้าตัดใหม่ ข้าพเจ้าไม่ผ่า ขอยุติการผ่าตัดกันเสียที ไม่ทราบว่า ข้าพเจ้ามีเวรกรรมอะไร ถูกตะปูตำเท่านั้น ต้องกลายมาเป็นคนขาพิการ แต่ข้าพเจ้าก็อดทน ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่ประดังกันเข้ามา บางครั้งเป็นพร้อมกันตั้ง ๓ โรค ขาเจ็บ เป็นไข้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะออกมาเป็นเลือด เป็นในเวลาเดียวกันหมด มีคนแนะนำให้ไปหาพระให้ท่านดูให้ว่ามีเวรกรรมอะไร จะได้แก้กรรมได้ถูก ข้าพเจ้าไม่เชื่อ จนกระทั่งครั้งหนึ่งผู้อำนวยการกองวิเคราะห์กรมพัฒนาที่ดิน คือ คุณศิริพันธุ์ จิตะสมบัติ ได้กรุณาพาข้าพเจ้าไปหาพระที่จังหวัดนครปฐม ท่านบอกว่าท่านช่วยอะไรไม่ได้เลย เจ้ากรรมนายเวรมารุมล้อมท่านเต็มไปหมดและบอกว่า อย่าช่วย ผู้หญิงคนนี้เป็นคนใจร้ายมาก ข้าพเจ้าไม่เชื่อจึงพูดท้าทายออกไป “ถ้าอย่างนั้นก็ให้มาเอาชีวิตไปเสีย เอาไปเดี๋ยวนี้เลย” พระท่านก็ย้ำถามว่า “จะเอาอย่างนี้จริง ๆ หรือ” ข้าพเจ้าตอบยืนยัน ท่านก็นั่งสมาธิติดต่อเจ้ากรรมนายเวรอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า “เขาไม่เอา เขาจะทรมานข้าพเจ้าอยู่อย่างนี้ และจะต้องได้รับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดอีก” ข้าพเจ้าไม่เชื่อ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดอีกจริง ๆ เวลาผ่านไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้นข้าพเจ้าต้องผ่าไส้ติ่ง แต่คิดว่าเป็นการบังเอิญมากกว่า รวมแล้วเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดมาทั้งหมด ๑๖ ครั้ง สลบ ๑๔ ครั้ง ไม่สลบ ๒ ครั้ง และยังไม่รู้ว่ากว่าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิต จะต้องเข้าผ่าตัดกันอีกหรือไม่

    ข้าพเจ้าเคยไปกราบนมัสการเกจิอาจารย์มาหลายองค์ แม้แต่การเข้าทรงก็เคยไปสัมผัสมา เพราะอยากรู้อยากศึกษาเรื่องลี้ลับเรื่องเวรเรื่องกรรม ผลสรุปจากการที่ไปพบ จะพูดถึงกรณีของข้าพเจ้าคล้ายกันหมดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโหดเหี้ยม ทารุณ ร้ายกาจ คิดแล้วไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งได้มาพบกับท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจรัญ ท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน เมื่อพบหน้าข้าพเจ้าครั้งแรก ท่านก็ชี้หน้าว่า “ใจร้าย” ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อยังไม่ได้พูดคุยหรือซักถามอะไรข้าพเจ้าเลย หลวงพ่อยังไม่เห็นด้วยว่า ข้าพเจ้ามีขาพิการ ข้าพเจ้าคลานเข้าไปกราบพร้อมกับคนอื่น ๆ อีกหลายคน พอเงยหน้าขึ้นมาหลวงพ่อก็ว่า

    ใจร้าย รู้สึกงง ไม่ได้ทำอะไรใครเลย ทำไมหลวงพ่อว่าใจร้าย หลวงพ่อว่าแล้วก็หัวเราะบอกว่า “อดีตชาติ” ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อคงใช้จิตดู เห็นหนอ…เห็นหนอ…

    เมื่อข้าพเจ้าไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรก โดยการชักชวนจากอาจารย์มุกดา วิภาวสุ ได้ไปเข้าร่วมในโครงการพัฒนาจิตซึ่งยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดขึ้นที่วัดอัมพวัน โดยมี คุณแม่ ดร. สิริ กรินชัย เป็นวิทยากร ข้าพเจ้าตกลงไปด้วยเพราะเกรงใจ พี่มาชวนหลายครั้งแล้ว และยังจะเป็นผู้คอยดูแลช่วยเหลือให้ได้รับความสะดวกทุกประการอีกด้วย เมื่อเดินทางไปถึงวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ข้าพเจ้าก็เริ่มไม่สบายใจ อึดอัดบอกไม่ถูก เรียกว่าเซ็งเป็นที่สุด ผู้คนเยอะแยะขวักไขว่ไปหมด

    พิธีเริ่มด้วยการสวดมนต์ไหว้พระรับกรรมฐาน ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน มาเป็นองค์ประธานเปิดการอบรม เสร็จแล้วเริ่มปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิปฏิบัติกันที่หอประชุมภาวนากรศรีทิพา ข้าพเจ้าเริ่มปวดศีรษะ แล้วก็ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ พอถึง ๕ ทุ่มก็อาเจียน ต้องทานยาแก้แพ้ให้ง่วงหลับไป พอตี ๔ ตื่นขึ้นมาทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้วก็ไปที่หอประชุมปฏิบัติกันก่อน เวลา ๖.๐๐ น. คุณแม่สิริ ท่านก็มานำสวดมนต์ ไว้พระ ฟังธรรม ๗.๐๐ น. ไปรับประทานอาหารเช้า ๘.๐๐ น. เข้าปฏิบัติต่อ ในวันนี้ตรงกับวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๓ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คุณแม่สิริ ท่านนำลูกโยคีถวายราชสดุดี หลังจากนี้ก็เดินจงกรม นั่งสมาธิ

    พอเริ่มปฏิบัติ อาการปวดศีรษะก็เริ่มรุนแรงขึ้น ท้องก็ปวด ต้องนั่งเฉย ๆ อาการก็ยังไม่หาย อาเจียนออกมาเรื่อย ต้องนั่งกอดกระโถนไว้อาเจียนแล้วอาเจียนเล่า อยู่ในห้องกรรมฐาน เลยต้องกลับที่พัก

    ข้าพเจ้าตัดสินใจกลับบ้าน ได้บอกให้อาจารย์มุกดา วิภาวสุ ผู้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงไปเหมารถมารับกลับบ้าน อาจารย์มุกดาและกัลยาณมิตรอีกหลายคนไม่ให้กลับ เพราะรู้อาการของโรคกันดี ข้าพเจ้าจนปัญญากลับไม่ได้ อาเจียนก็ยังไม่หยุด รู้สึกเพลียและทรมานเหลือเกิน คุณสมประสงค์ ลูกศิษย์ของท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ ได้นำเอาตะไคร้ที่หลวงพ่อทำเป็นยาไว้ มาชงน้ำให้ดื่ม พอดื่มน้ำตะไคร้ของหลวงพ่อไปได้สักพักหนึ่ง อาเจียนก็หยุด อาการปวดศีรษะก็ทุเลาเบาคลายลงไปมาก มีแต่อาการอ่อนเพลียเท่านั้น ตอนบ่ายข้าพเจ้าเห็นว่าอาการดีขึ้นแล้ว จึงไปปฏิบัติที่หอประชุม คราวนี้ปฏิบัติได้โดยไม่อาเจียน ไม่ปวดท้อง ไม่ปวดศีรษะ มีสมาธิในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ดี แต่จะหิวบ้าง คืนนี้ข้าพเจ้านอนหลับสบาย

    พอเช้าวันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมารู้สึกว่ามีความสุขกายสบายใจ ชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก เย็นกายเย็นใจมีความสุขมาก ความสุขสดชื่นแบบนี้ข้าพเจ้าไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย อาจารย์มุกดาและกัลยาณมิตรทุกคนต่างก็มีความยินดีและมาอนุโมทนากับข้าพเจ้า แล้วพูดว่า “พี่ภา ชนะแล้ว” หมายถึง ชนะมารที่มาเป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นมารมาในรูปโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าข้าพเจ้าดื้อรั้นกลับบ้านไป ข้าพเจ้าก็จะแพ้มารและแพ้ตลอดไป คุณแม่สิริท่านบอกว่า ถ้าใครมีเวรมีกรรม มีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวมาก ก็จะมีอาการเป็นเหมือนอย่างข้าพเจ้าเป็นนั้น จะมากหรือน้อยสุดแต่กรรมที่ทำไว้ หลวงพ่อท่านบอกว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะช่วยแก้กรรมให้เบาบางลงได้ ปฏิบัติแล้วแผ่บุญกุศลแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรอาจจะใจอ่อน เลิกจองเวรกับเราก็ได้ หรือมิฉะนั้นผลบุญที่เราทำเพิ่มพูนไว้มาก ๆ จนล้น จะช่วยให้เราหนีกรรมไปห่างไกลจนกรรมตามไม่ทัน และจะหลุดพ้นได้ในที่สุด

    เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องของจิตวิญญาณแล้ว หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติ และได้เข้ามาปฏิบัติที่วัดอัมพวันหลายครั้งแล้ว คนที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะรู้กรรมด้วยตนเอง นี่เป็นความจริงดังที่ได้พิสูจน์และได้พบเห็นในขณะที่นั่งสมาธิอยู่ ข้าพเจ้าได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาสวยมาก ผิวเนื้อสองสี ผมยาวประบ่า นัยน์ตาดำคม คิ้วโก่งเรียวได้รูปสวย นุ่งผ้าพื้นสีเขียวคล้ำ ใส่เสื้อแขนกระบอกคอกลมสีขมพูเข้ม มายืนจ้องดูข้าพเจ้าด้วยสายตาที่ดุดันแข็งกร้าว คล้ายกับจ้องมองคู่อาฆาตด้วยความเคียดแค้น และทำท่าจะเดินเข้ามาทำร้าย ข้าพเจ้าก็จ้องมองเธอ

    ทันใดนั้นสภาพหน้าที่ขาวสวยเกลี้ยงเกลากลับเปลี่ยนไป มีเลือดแดงสด ๆ ไหลออกมาจากทางใต้ไรผมบนหน้าผาก ไหลออกมาเป็นทางเต็มหน้า ตาจับจ้องอยู่ที่ข้าพเจ้า และจะเดินเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าเกิดความกลัว เลยออกจากสมาธิ ภาพหญิงนั้นก็หายไป ข้าพเจ้าไปเรียนถามคุณแม่สิริ ท่านบอกว่านั่นแหล่ะเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ข้าพเจ้าไปทำร้ายเขาไว้ เธอมาปรากฏให้เห็นต้องแผ่เมตตาแผ่บุญกุศลไปให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้แผ่ คิดไม่ทัน ออกจากสมาธิเสียก่อน ถ้ายังอยู่ในสมาธิกำหนดตามรู้ต่อไป เราจะรู้ว่าไปทำร้ายเธอไว้อย่างไร ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อบอกว่า ข้าพเจ้าสมาธิแรงแต่จิตตก ขาดการกำหนด ต้องกำหนดให้ทัน ตามให้รู้ และให้หมั่นปฏิบัติเสมอ ๆ แล้วจะดีขึ้น

    ครั้งหนึ่งกรรมตามสนองข้าพเจ้าทันตาเห็นในชาตินี้ เมื่อข้าพเจ้าอายุประมาณ ๑๐ ขวบ ได้จุดไฟเผามดตายทั้งรัง เวลาผ่านไปประมาณ ๔๐ ปี กรรมนั้นก็ตามสนอง ในคืนหนึ่งประมาณตี ๓ ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอยู่ ก็ต้องพรวดพราดตื่นขึ้นเพราะมีตัวอะไรมากัด พอเปิดไฟดู ปรากฏว่ามีมดตัวเท่ามดตะนอย สีดำ ปากมีเขี้ยวเหมือนก้ามปู ตัวมีขน มารุมกัดข้าพเจ้าตั้งแต่บริเวณเอวลงไปถึงขา ได้เอามือปัดออก บางพวกก็วิ่งหนีไปโดยเร็ว บางพวกก็ไม่ไป กัดติดอยู่อย่างนั้น ข้าพเจ้าอยากจะเอามือถูขยี้ให้ตายให้หมด แต่ใจหนึ่งห้ามไว้ไม่ให้ทำ เดี๋ยวจะเป็นเวรกรรมต่อไปอีก เลยจับดึงออก ขนาดจับดึงยังไม่ค่อยยอมปล่อย กัดติดจนเป็นแผลเลือดออกซิบ ๆ ชั่วเวลาไม่ถึง ๑ นาที มดเหล่านั้นก็หายไปหมด ข้าพเจ้าไม่กล้านอนต่อ กลัวมดเหล่านั้นจะมากัดอีก เลยไปอาบน้ำเอาแป้งทา บ่ายวันนั้นข้าพเจ้าเป็นไข้ อักเสบแผลที่ถูกมดกัน ต้องทานยาอยู่ ๓ วัน เวลาผ่านไปประมาณ ๒ เดือน มดก็มากัดข้าพเจ้าอีก แต่คราวนี้มากัดไม่มากเหมือนคราวแรก ข้าพเจ้ารู้แล้วเขามาทวงหนี้ เพราะเราเคยทำเขาไว้ ก่อนนอนข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้มดทุกคืน หลังจากนั้น ก็ไม่มีมดมากัดอีกเลย

    เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๔ ข้าพเจ้าได้พบ อาจารย์วิภา รัศมีอมรวิวัฒน์ ผู้ซึ่งมีการศึกษาดี จบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นศิษย์หลวงพ่อวัดอัมพวัน และคุณแม่สิริ กรินชัยด้วย อาจารย์ได้กรุณาใช้สมาธิตรวจกรรมให้ข้าพเจ้า ท่านบอกว่า ข้าพเจ้าทำกรรมไว้มาก ใจร้าย (พูดเหมือนหลวงพ่อเลย) ต้องใช้เวรกรรมไปอีกนาน เพราะโหดเหี้ยม ดุ ฆ่าคน ทำร้ายทั้งคนและสัตว์ ทำให้เขามีความทุกข์เดือดร้อนเจ็บปวดแสนสาหัส บางรายถึงแก่ชีวิต และบอกว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกข้าพเจ้าทำร้ายและทรมานจนเดินไม่ได้ แถมยังเอาโซ่ล่ามขาไว้แล้ว เอาไปขังไว้ในกรง จนถึงแก่ความตายนอกจากนี้ยังทารุณข้าทาสหญิงชายอีกด้วย

    ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องนิทาน แต่การหมั่นเพียรปฏิบัติทำให้เชื่อว่าเป็นความจริง สิ่งลี้ลับอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าประสบกับตัวเองในขณะนั่งสมาธิ ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่ระเบียงหอประชุมภาวนากรศรีทิพา ข้าง ๆ พระบรมรูปของ ร.๕ นั่งไปได้ประมาณ ๕ นาที จิตสงบดิ่งลึก ทันทีนั้นข้าพเจ้ามีอาการหอบ หายใจไม่สะดวก ต้องหายใจทางปากข้าพเจ้าอดทนนั่งต่อไป อาการหอบยิ่งทวีความรุนแรงหนักขึ้นเหมือนกับจะขาดใจ ข้าพเจ้าไม่ได้กำหนดตาม รู้ไม่ทันกรรม กลับคิดวิตกกังวลไปว่าข้าพเจ้าเกิดเป็นโรคหอบหืดขึ้นมาอีกโรคหนึ่งแล้ว ขณะนั้นอาการหอบหนักมาก หายใจไม่ทัน ใจจะขาดอยู่แล้ว ทุรนทุราย ต้องแหงนหน้าขึ้นแล้วหายใจทางปาก ทนต่อไปไม่ไหวเลยลืมตาขึ้น ออกจากสมาธิอาการหอบกระสับกระส่ายอยู่นั้น หายไปเป็นปลิดทิ้งเลย เป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าพเจ้าจึงไปเล่าให้ท่านอาจารย์ พ.อ. (พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน ฟัง ท่านก็รู้ทันทีว่าเป็นอาการของกรรม ท่านบอกว่าน่าเสียดาย ถ้านั่งสมาธิอยู่ต่อไปจนขาดใจไปในขณะนั้นจะดีมาก จะตัดเวรตัดกรรมที่เราเคยทำกับใครไว้นั้นหมดสิ้น และจะรู้ด้วยว่าเราไปทำอะไรเขาไว้ อาจจะไปอุดปากอุดจมูก หรือจับใครกดน้ำ หรือไม่ก็บีบคอเขา ทำให้เขาหายใจไม่ออก จะถึงกับตายหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้ามีโอกาสใช้หนี้กรรมแล้ว แต่กลับใช้ไม่หมด เพราะออกจากสมาธิเสียก่อน ความจริงแล้วถ้าขาดใจตายในขณะนั่งสมาธิอยู่นั้นจริง ๆ ก็จะตายเพียงแค่ความรู้สึกในสมาธิเท่านั้น ตัวจริง ๆ ไม่ได้ตายไปด้วย

    การนั่งสมาธิแต่ละครั้ง มักจะมีปรากฏการณ์แปลก ๆ มาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอยู่เสมอ บางครั้งจะมีดวงตาหลายคู่มาจับจ้องดูข้าพเจ้า มีทั้งดวงตาดุ โกรธ บางครั้งก็ดวงตาซีดเซียวเหมือนคนตาย มาชำเลืองดู ข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาไปให้ตามที่ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อสอน ภาพดวงตาเหล่านั้นก็หายไป จะเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ

    บ่ายวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่บนศาลาสุธรรมภาวนา วัดอัมพวัน ก็มีมือเอื้อมมาทางด้านขวาจะจับแขนข้าพเจ้า มองเห็นแค่ครึ่งแขน ส่วนทางด้านซ้ายก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อผ้าสีคล้าย ๆ ผ้าดิบ ยืนหันข้างให้ แต่หันหน้ามามองข้าพเจ้านัยน์ตาดุ จ้องมองนัยน์ตาเขียวเลย ข้าพเจ้ากำหนดตามไม่ทันอีก ยกแขนสลัดหลบมือที่เอื้อมมาจับนั้น ลืมตาขึ้น ภาพนั้นก็หายไป

    ข้าพเจ้าพยายามไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในรายการที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จัดที่วัดอัมพวันทุกปี ได้รับการอบรมจากคุณแม่สิริ กรินชัย และพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ บัดนี้ข้าพเจ้าได้รู้ซึ้งแล้วว่า ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้มากมาย และจะต้องชดใช้ ข้าพเจ้าจะพยายามปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพียรให้มาก และพยายามแผ่กุศลขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร เชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรจะใจอ่อน ยอมอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า เพราะวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้นจะช่วยข้าพเจ้าได้

    ข้าพเจ้าเคารพและศรัทธาหลวงพ่อมาก ข้าพเจ้ามีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะต้องเดินทางไปเข้าร่วมพิธีต้อนรับปีใหม่ที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ซึ่งท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ครั้นถึงกำหนดวันเดินทาง ปรากฏว่าข้าพเจ้ามีภารกิจที่จะต้องทำ จึงได้ฝากเสื้อผ้ากับอาจารย์ลักษมี ธีระชาติไปก่อน แล้วจะตามไปในบ่ายวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๓๔ จะไปกับเด็กที่เป็นพี่เลี้ยงคนหนึ่งให้คอยรอรับที่วัด วันที่ ๓๐ ธันวาคม เมื่อข้าพเจ้าเสร็จธุระ ก็รีบไปจองตั๋วที่สถานีขนส่งตลาดหมอชิต ส่วนเด็กที่จะเดินทางไปด้วยนั้น เกิดมีภารกิจ เดินทางไปด้วยไม่ได้ ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจไปคนเดียวเพราะนัดแล้ว เด็กได้ไปส่งที่ท่ารถ ซึ่งผู้คนแออัดเต็มไปหมด เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลส่งปีเก่ารับปีใหม่ ข้าพเจ้าจองตั๋วรถทัวร์ปรับอากาศตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ น.เศษ ปรากฏว่าเกือบจะ ๑๗.๐๐ น. แล้ว ยังไม่ได้ขึ้นรถ เพราะรถแน่นทุกคัน ข้าพเจ้าแย่งขึ้นรถกับเขาไม่ไหว รู้สึกวิตกกังวลและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพราะเย็นแล้ว กว่าจะไปถึงสิงห์บุรีก็คงจะเป็นเวลากลางคืน ลงรถก็ไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่ไปก็ไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดสู้ อะไรจะเกิดก็ให้เกิด ต้องไปให้ได้ในคืนนี้ ข้าพเจ้านึกถึงหลวงพ่อและได้ทำจิตให้สงบ ทำสมาธิขอบารมีท่านเจ้าคุณหลวงพ่อให้ช่วยคุ้มครองและช่วยให้เดินทางไปวัดได้ด้วยความปลอดภัย ต่อจากนี้ก็นั่งแผ่เมตตาและส่งกระแสจิตถึงหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ พอประมาณ ๑๗.๐๐ น. เศษ รถทัวร์ไปสิงห์บุรีก็เข้ามาอีกคันหนึ่ง ข้าพเจ้าตัดสินใจไปรถคันนี้ ถึงยืนก็จะไป ข้าพเจ้าจึงขึ้นไปยืนอยู่ตรงตอนหน้ารถ รถยังไม่ทันออกก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาสวย อายุไม่เกิน ๔๐ ปี นั่งอยู่ตรงที่นั่งตรงที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ ได้ถามว่า “นั่งด้วยกันไหมคะ มีที่ว่างอยู่อีกที่หนึ่ง” ข้าพเจ้าตอบทันที “นั่งค่ะ ขอบคุณค่ะ” เมื่อเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็มาคิดแปลกใจ ทำไมมีที่ว่างเหลืออยู่อีก ตอนที่ขึ้นรถมาดูแล้วก็เห็นคนนั่งเต็มหมด ถ้ามีที่ว่างอยู่อย่างนี้คนที่ขึ้นมาก่อนทำไมไม่เข้าไปนั่ง? ใช่แล้ว! บารมีของท่านเจ้าคุณหลวงพ่อแน่ ๆ หลวงพ่อช่วยลูก ดลบันดาลให้มีที่ว่างเหลืออยู่ให้ลูกได้นั่ง ๑ ที่ สาธุ ข้าพเจ้านึกในใจ

    ขณะที่รถวิ่งไป ๒ ข้างทางมืดจดจำอะไรไม่ได้เลย ลงรถไม่ถูก เลยตัดสินใจไปลงสุดทางรถ แล้วค่อยหาทางเหมารถเข้าวัด ผู้หญิงคนที่ให้ข้าพเจ้านั่งด้วยได้ซักถามข้าพเจ้าว่าจะไปไหน ก็ได้เล่าให้เธอฟัง เธอก็แนะนำวิธีการไปเหมารถให้ พอรถเลี้ยวเข้าประตูวัด ข้าพเจ้ารู้สึกมีความอบอุ่น หายกลัว มีความปลื้มปิติชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้ามาถึงวัดอัมพวันได้จริง ๆ มาคนเดียวได้

    ข้าพเจ้ายกมือขึ้นไหว้ไปทางโบสถ์และไว้พระหน้ากุฏิหลวงพ่อ เพราะบารมีหลวงพ่อแท้ ๆ พูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งลี้ลับต่าง ๆ นี้ ข้าพเจ้าเชื่อแล้ว เชื่อว่ามีจริงอย่างแน่นอน ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจรัญเทศน์ว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มีกุศลแรงจะช่วยแก้กรรมได้ ถ้าท่านผู้อ่านยังไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ ลองมาปฏิบัติดู ปฏิบัติอย่างจริงจังแล้วจะรู้ได้ด้วยตนเอง การกำหนดทุกอิริยาบถนั้นถือว่าเป็นการปฏิบัติอันดับหนึ่งทีเดียว ท่านเจ้าคุณพระอาจารย์ใหญ่ พระธรรมธีรราชมหามุนีก็ได้เทศน์สอนไว้ว่า การกำหนดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกให้รู้อยู่ตลอดเวลา หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าเราต้องตาย หายใจออกก็ให้รู้ว่าเราต้องตาย แบบนี้ท่านบอกว่าเราไม่ประมาท และยังเทศน์ไว้อีกว่า ถ้าอยากรวยต้องให้ทาน อยากสวยให้รักษาศีล อยากเป็นผู้มีปัญญาต้องภาวนา ข้าพเจ้าจะขอยึดมั่นในการปฏิบัติเจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอดไป ตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้าไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่วัดอัมพวันแล้ว ทำให้ความเจ็บไข้ของข้าพเจ้าทุเลาเบาคลายลงไปมาก เพราะรู้จักการกำหนด ขาก็แข็งแรงดีขึ้นด้วย

    ประภา จุลชาต
    ๑๒๔/๓ ซ.วัดใหม่พิเรนทร์อิสรภาพ กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
    โทร. ๔๖๖ ๐๘๗๑

    :- https://rulesofkarma.wordpress.com/ก๖๙-กระโดดตึกเก้าชั้น/ก๖๒๓-รู้กรรมด้วยธรรมะ/
     

แชร์หน้านี้

Loading...