Veerasak_Chai
ความเคลื่อนไหวล่าสุด:
6 กุมภาพันธ์ 2009
วันที่สมัครสมาชิก:
2 ตุลาคม 2008
โพสต์:
108
พลัง:
186
อัลบั้ม:
1
Photos:
15

โพสต์เรตติ้ง

ได้รับ: ให้:
ถูกใจ 184 0
อนุโมทนา 2 0
รักเลย 0 0
ฮ่าๆ 0 0
ว้าว 0 0
เศร้า 0 0
โกรธ 0 0
ไม่เห็นด้วย 0 0
ที่ตั้ง:
ว่างเปล่า
อาชีพ:
หายใจ

แชร์หน้านี้

Veerasak_Chai

เป็นที่รู้จักกันดี, จาก ว่างเปล่า

Veerasak_Chai เห็นครั้งสุดท้าย:
6 กุมภาพันธ์ 2009
    1. ปรมิตร
      ปรมิตร
      เดินต่อไป มอบสิ่งดีๆให้คนอื่น(เป็นกัลญาณมิตร เตือนในสิ่งควรเตือน หากเขาดีขึ้นก็มุฑิตา ถ้าไม่ดีขึ้นจึงวางอุเบกขา จากไปอย่างสงบเเละไม่เสียใจ เพราะได้บอกกล่าวในสิ่งที่ควรบอกกล่าวแล้ว) จนกว่าจะทำกิจของตนให้ลุล่วงครับ
    2. ปรมิตร
      ปรมิตร
      จึงตั้งใจอธิฐานว่าขออย่าได้ห่าง ทางแห่งพระนิพพานด้วยเทอญ หากยังไม่ถึงนิพพานให้ยึดความดี ยึดธรรมของพระอริยะเจ้าทั้งหลายเป็นที่เกาะ ยึดตนเป็นเป็นที่พึ่ง
    3. ปรมิตร
      ปรมิตร
      แต่หากไม่พบพระผุทรงคุณอันยิ่งใหญ่เหล่านั้น ด้วยอำนาจกุศลกรรม ที่เราได้ปฎิบัติจะชักนำให้ เรามีอุปนิสัย ปัจจัยในการเดินทางสูพระนิพานเบื้องหน้า ดังนั้นเมื่อเรากำหนดทางได้แล้ว จึงมุ่งสู่พระนิพพาน บำเพ็ญกุศลตามอัตภาพ แม้ไม่บรรลุในชาตินี้ก็ขอให้บรรลุในชาติต่อๆๆไป
    4. ปรมิตร
      ปรมิตร
      หากแต่บางเวลาเราจะมีโอกาสได้ประสพ พบบุคคลที่ลอยบาปบำเพ็ญบุญ พบผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเราจะอาศัยคำชี้แนะและแนวทางของผู้รู้แจ้ง แล้วเดินตามรอยพระศาสดา ผู้เรามั่นใจว่ารู้จริงรู้แจ้ง นั่นคือพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เดินทางไปสู่พระนิพพาน ตามทางที่เราได้เลือกไว้
    5. ปรมิตร
      ปรมิตร
      หากไม่แน่ใจก็ให้ยึดถือความดี ประกอบกรรมดีกับทุกตน ทุกคน ซึ่งท่านหรือสัตว์เหล่านั้นต่างก็ เวียนว่ายตายเกิด ไปด้วยกัน ย่อมมีสุข มีทุกข์ มีเสียใจ มีดีใจ มีผิดหวัง ต่างดิ้นรนไปตามผลกรรมและอำนาจของกิเลส ต้องเผชิญทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ควรถือโทษโกรธเคือง ไม่พึงสร้างศัตรู เราควรก่อแต่มิตร และกัลญาณมิตรที่ดีงาม หยิบยื่นสิ่งดีๆให้กัน ไปจนกว่าจะ ข้ามพ้นความทุกข์ได้
    6. ปรมิตร
      ปรมิตร
      เพราะเราเป็นแค่จิตดวงเดียวที่เกิดขึ้นโดยอาศัยกายเนื้อจากบิดาและมารดา เกิดมาเพื่อประกอบกรรมดี สร้างกุศลเสริมบารมีเพื่อเป็นเสบียงจนกว่าจะข้ามพ้น สังสารวัฏ มนุษย์ผู้เข้ามาในชีวิตล้วนเป็นไปตามอำนาจของกรรม ที่มีเหตุและปัจจัย เพียงแค่เราใช้ปัญญาพิจารณาว่าจะก่อกรรมใดร่วม ยับยั้ง หรือวางเฉยกรรมใดเพื่อไม่ให้เกิดกรรมใหม่ เท่านั้น ต่อไปหากควบคุมไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม ตามเหตุตามปัจจัยของมันเท่านั้นเอง
    7. ปรมิตร
      ปรมิตร
      ส่วนนี่เป็นปณิธาณ ข้อหลักคือเราไม่ควรยึดติดว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้เป็นของเรา
      หรือทำสิ่งใดแล้วจะได้อย่างนั้น จงทำให้ดีที่สุดกับทุกคน
      ไม่ควรถือตัวว่าเราดีกว่า เสมอหรือเลวกว่าเพราะการยึดติดย่อมมีความคาดหวัง เมื่อหวังไว้มากก็ย่อมเสียใจมาก เพราะเหตุที่ว่า คนเราย่อมมีการพลัดพรากเป็นธรรมดา จึงควรตั้งจิตกลางๆรู้เท่าทันสัจจะธรรม
      ดั่ง คำสอนของพระศาสดา ที่ว่า การประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของเจริญใจก็เป็นทุกข์ มีความปารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์ นั่นเอง หากเปรียบเทียบกับทุกข์ที่จะเกิดขึ้นจริงๆ คือการเกิด การแก่ การเจ็บไข้ และการตาย เรื่องเหล่านั้นย่อมเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
      เมื่อพิจารณาตามสัจจะธรรม นั้นแล้ว เราพึงไม่ยึดถือตัวตน
    8. ปรมิตร
      ปรมิตร
      ส่วนผมเองคิดแบบนี้นะ
      เป็นข้อคิดเล็กน้อยจากการอ่านหนังสือ การคิดและการใช้ชีวิต
      และความเชื่อนะครับ
      อย่าคิดมากแต่รู้ไว้ว่ามันเป็นเช่นนี้คนที่รู้เรื่องพวกนี้เป็นพุทธdeep พวกลึกซึ้ง
      ความจริงคนที่รู้เรื่องพวกนี้มีเยอะ บางคนรู้เยอะแต่งมงาย(ศรัทธาเกินเหตุ)
      บางคนรู้น้อยแต่มัปัญญาคิดเองเข้าใจง่าย พออ่านและฟังๆ คิดๆแล้วเข้าใจด้วยเหตุและผล ผมเชื่อว่าคนเหล่านั้นเคยรู้เคยทำมาแต่ปางก่อน แต่คนที่ไม่รู้เลยกลับมีเยอะกว่ามากๆ
      ไงก็ลองๆอ่านดูแล้วกันนะครับ
      ถ้าเป็นพุทธแบบdeepจริงๆจะต้องมีทางเดินที่ได้เลือกไว้เเล้วว่าไปสู่ทางพ้นทุกข์โดยวิธีใด โดยตั้งใจว่าเราจะไปพระนิพพานทางสายไหน ในทางเดินที่มีอยู่สี่ทางหลัก(ไม่ได้เอาทางสู่สุขติ เช่น สวรรค์ พรหม มารวมด้วยเพราะยังไม่ได้พ้นทุกข์) คือ
      1.ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองและโปรดสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ยิ่งใหญ่ ก็ต้องบำเพ็ญบ่มเพาะบารมีมานาน นานมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขึ้นกับว่าเป็นแบบไหน(มีการจำแนกประเภทไว้ตามบารมีการบำเพ็ญเพียร)
      2.เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองแต่ด้วยเห็นว่าธรรมนั้นสู่งส่งยากเกินที่มนุษย์ในยุคนั้นจะรู้ตามได้จึงรู้เองไม่ได้สั่งสอนผูอื่น ชาติอื่นๆก็บำเพ็ญบารมีเองบ้าง บำเพ็ญตามผู้อื่นเป็นครูเช่นพระพุทธเจ้าบ้าง แต่ชาติสุดท้ายต้องสู้คนเดียว บำเพ็ญเองตรัสรู้ รู้เอง
      3.เป็นพระอรหันตสาวกผู้ตรัสรู้ตาม พระพุทธเจ้า
      4.เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป(เช่นพระอนาคามีที่จะเป็นอรหันต์ในพรหมชั้นสุทธาวาสและนิพพานในชั้นนั้น)
      สัตว์ใดรู้ทางและพยายามเดินไปตามทางระมัดระวังตนไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ต่ำ บำเพ็ญบุญละบาป บ่มเพาะบารมี เราเรียกหมู่สัตว์เหล่านั้นว่าโพธิสัตว์ ซึ่งจำแนกได้สองประเภทคือ นิตยโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นพวกที่จะได้ตรัสรู้แน่ๆ มีกำหนดชัดเจนว่าเหลืออยู่เท่าไหร่กี่ชาติกี่ภพ กับอนิตยโพธิสัตว์ผู้ไม่เที่ยงแท้ยังมีโอกาสตกไปสู่โลกที่ชั่วช้าได้(ยังมีจิตหลงไปทำกรรม ทำบาป ทำสิ่งไม่ดี)อันหลังเนี่ยใครจะเป็นก็ได้แต่ต้องอาศัยความพยายามพัฒนาตัวเองให้เป็นอย่างเเรกให้ได้
      ในปัจจุบันสมัยเราสบายหน่อยเพราะมีพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้และมีพระมหากรุณาโปรดสั่งสอนสัตว์ได้ชี้ทางให้โดยตรัสถึงหลักธรรมและคุณธรรมเหตุแห่งโพธิสัตว์ไว้และการตั้งความปราถนาไว้เพื่อเป็นแนวทางให้แก่หมู่สัตว์ผู้ยังบารมีไม่พอที่จะตรัรู้ตามธรรมะของพระองค์ในชาติหรือในกาลสมัยนี้ถ้าสนใจก้ต้องศึกษาต่อไปอีกนะ(นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่สัตว์โดยแท้) ใครที่บารมีเต็มพร้อมและต้องการออกจากทุกข์ก็ตรัสรู้ตามพระองค์ไป

      สรุปว่าเราเกิดมาเพราะอวิชชา(ความไม่รู้)เป็นเหตุ การออกจากทุกข์คือการหยุดเกิด การหยุดเกิดคือพระนิพาน ดังนั้นเราถ้าเห็นภัยในสงสารวัฏ(การเวียนว่ายตายเกิดแล้ว)เรามีชีวิตและการดำเนินอยู่เพื่อเดินไปสู่พระนิพพาน
      โชคดีที่เราได้เกิดในสมัยที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้น พระองค์ได้ตรัสสอนถึง อริยมรรค กุศล กรรม ทั้งหลายเหตุและปัจจัยทั้งหลาย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่สัตว์จริงๆ(คือแบบว่าพระองค์ตรัสรู้แล้วไปดีแล้ว สามารถที่จะเดินไปโดยไม่ได้บอกใครเฉกเช่นปัจเจกพุทธทั้งหลายแต่ด้วยตวามที่มีพระมหากรุณาจึงได้ประกาสศาสนาพุทธขึ้น)
      ทำให้เราเหล่าสัตว์ผู้ตาบอดด้วยความหลง รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร บางพวกรู้ตามบางพวกยังไม่รู้ตามเพราะเหตุคือ
      จำพวกแรกมีปัญญาบารมีแก่กล้าพอที่จะตรัสรู้ตามแต่ได้ตั้งความปราถนาไว้ว่าจะตรัสรู้เองพวกนี้จะเรียนรู้หลักธรรมเพื่อพัฒนาตนให้ดีขึ้น สะสมบารมีให้มากขึ้นจนเต็มเปี่ยม จำพวกนี้มีความรักและเคารพพระพุทธเจ้ามากเพราะท่านเป็นผู้ชี้แนวทางไม่ให้เหล่าสัตว์ที่บารมีอ่อนอยู่หลงทาง คนเหล่านี้เรียกว่าพุทธภูมิและปัเจกพุทธภูมิโดยมีการจำแนกประเภทไปอีกโดยอาศัยบารมี ปัญญาวิริยะ ศรัทธา ส่วนมากเป็นนิตยโพธิสัตว์
      จำพวกที่สองคือเหล่าสัตว์ที่เคยรู้ทางแล้วจะตั้งความปราถนาไว้หรือไม่ได้ตั้ง หรือตั้งไว้แต่ไม่มั่นคง และบารมียังไม่เพียงพอที่จะตรัสรู้ตามต้องสะสมบารมีต่ออีก ถ้าโชคดีก็บังเกิดในภพดีมีกัลญาณมิตร(จะว่าโชคดีก็ไม่ใช่ เพราะทุกอย่างมีเหตุและปัจจัย บารมีเข้าขั้นมากกว่า เพราะบารมีอ่อนยังมีโอกาสทำชั่วก็ต้องตกไปสู่โลกที่ชั่วได้)
      จำพวกที่สามเหล่าสัตว์ที่ยังไม่เคยรู้สัจธรรมและทางนี้เลย ยังต้องศึกษาอีกยาวไกล(อันนี้น่าสงสารอย่างแรง จะดีขึ้นได้ต้องอาศัยสองจำพวกแรก และพระผู้ไปดีพ้นแล้วทั้งหลาย แสดงธรรมให้เป็นนิสัย และปัจจัย แต่ก้ขึ้นกับปัญญาของผุนั้นด้วยว่าจะเห็นว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่ เฮ้อเหนื่อยใจ ได้แต่วางอุเบกขาถ้าเราได้เมตตาและกรุณาสงเคราะห์แล้ว ก็ปล่อยไปตามกรรม ตามเหตุตามปัจจัย ไม่เสียใจที่ได้บอกกล่าว)
      เมื่อฟังคำบอกเล่าแล้ว จงตอบคำถามในใจตัวเองคือ
      เราเห็นภัยในสงสารวัฎหรือไม่ ชีวิตมีความทุกข์หรือไม่ มีใครบ้างที่ไม่มีควาทุกข์
      เรามีความเบื่อหน่ายในการเกิดหรือไม่
      หากจะตรัสรู้หรือบรรลุธรรม และออกจากทุกข์แล้วเราขอตั้งความปราถนาไว้ว่าจะเดินไปทางสายใด
      แล้วแนวทางเดินไปสู่พระนิพพานทางนั้นทำอย่างไร
      แล้วปัจจุบันเรากำลังทำอะไรอยู่
      ชีวิตเป้นสิ่งไม่แน่นอน ความตายเป้นสิ่งแน่นอน
      วันนี้เรายังโชคดีที่ยังเห็นรอยพระบาทของพระศาสดา
      หากต่อไปจิตดับลง
      กายแตกแล้ว จะเสียดายที่ปล่อยให้รอยพระบาทจางหายไป เพราการเกิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป้นสิ่งยากยิ่ง
      เราต้องหลงทางไปอีกนาน หากไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติเป็นประจำ แค่ท่องจำวันนี้พรุ่งนี้ยังลืมเลยนับประสาอะไรกับชาติหน้า อย่างน้อยวันนี้เราได้อะไร
      ถ้าเราปฏิบัติและศึกษาอยู่เป็นนิจ
      แม้นไม่ได้บรรลุในชาตินี้ขอให้ติดเป้นนิสัยเป็นปัจจัย ในชาติหน้าๆ หากเคราะห์ร้ายด้วยกรรมใดก็ตามเราได้เกิดในยุคหรือภพที่เราเกิดไม่มีโอกาสได้ยินหรือได้เห็นพระสัจธรรม จากพระพุทธเจ้าหรือไม่ได้เกิดในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ซ้ำร้ายกว่านั้นไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้น ก็ขอให้ให้รู้ว่าสิ่งใดเป้นบุญสิ่งใดเป็นบาป รู้ทุกข์เข้าใจสัจจธรรม ไม่หลงทำสิ่งชั่วช้าสามาน ตกนรกหรือเกิดในพรหมโลกที่มีอายุไขเนิ่นนานเกินไปก็พอ
    9. ปรมิตร
      ปรมิตร
      แนวคิดต่อพุทธศาสนา ของคุณVee(ขออนุญาติเรียกสั้นๆอ่ะนะครับ 55)เป็นอย่างไรบ้างครับ สนใจแง่ไหน เพื่อทราบภูมิธรรม(แนวคิดแนวปฎิบัติ และความสนใจในการศึกษาเช่น การปฏิบัติ พุทธวจนะ ธรรมบท พระไตรปิฎก ฯลฯ)
      ถามสักข้อนะครับ
      ว่าคุณมองพระศาสนาคืออะไร พระพุทธเจ้า เป็นใคร แล้วคุณอยู่ในฐานะอะไร ชอบใจในหลักอะไรของนักปราชญ์ทั้งหลาย (ผมอาจใช้สำนวนแปลกๆนะครับ ผมเป็นคนปกตินะไม่ได้ติงต๊อง แต่ชอบใจในภาษาแบบนี้5555) ตอนนี้จุดมุ่งหมายของคุณคืออะไร

      ตอบก็ได้ ไม่ตอบก็ได้ ไม่ซีเรียสนะครับ
    10. ปรมิตร
      ปรมิตร
      เช่นกันครับ
      เป็นธรรมดาวิสัย บัณฑิตย่อมพิจารณาเหตุ ผลและไม่แตกคอกันง่ายฉันใด
      ขอเราจงเป็นเช่นนั้น
      อนุโมทนาครับ
    11. ปรมิตร
      ปรมิตร
      การรู้จักกัน
      เป็นกัลญาณมิตรกันเป็นการดี มีมิตรไว้ชักชวนทำดี ก็ดี
      แต่ เมื่อเราคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ผูกพันธ์ด้วยสิเหน่หา
      ย่อมยังตัณหาให้กล้าแกร่ง
      ความสันโดษย่อมเป็นที่สรรเสริญของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
      ไม่ได้บอกว่าไม่ให้รักใครแต่พึงวางใจเป็นกลาง ว่า เราเกิดมาผู้เดียว คนที่อยู่ข้างกายนี่ก็เพียงแค่คนที่เข้าสักวันก็จากไป เพราะเราย่อมมีความพรัดพรากเป็นธรรมดา

      ไม่ได้ขัดลาภนะครับแต่ ผมแค่ทำหน้าที่กัลญาณมิตร เฉยๆ ไปแล้วครับ
    12. หมูสวย
    13. หมูสวย
      หมูสวย
      ขอบคุณมากๆค่ะ เด๋วขอตัวไปทานข้าวก่อนนะคะ
      คุณVeerasak_Chai ก็อย่าลืมทานข้าวด้วยนะคะ ^_^
    14. หมูสวย
      หมูสวย
      [IMG]

      อิ อิ ปากหวานจังนะ ^_^
      ผึ้งเอากุหลาบมาฝากค่ะ ขอให้วันนี้เป็นวันดีๆนะคะ ^^
    15. หมูสวย
    16. หมูสวย
      หมูสวย
      [IMG]

      สวัสดีค่ะ แวะมาเยี่ยมค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ^_^
    17. ปรมิตร
      ปรมิตร
      ขี้เกียจอ่านเอาไว้ว่างๆ ผมจะเข้าไปอ่านนะคร๊าบบบบบ
      Thanks มั๊กๆ55555555
    18. ปรมิตร
      ปรมิตร
      แล้วมันแปลว่าไร (ถามไปงั้น ท่าทาง ความหมายที่นายว่ามันจะลึกซึ้งเหลือเกิน 55555)
    19. ดาราจักร
      ดาราจักร
      ยินดีที่ได้รู้จักครับ ขอบคุณที่ให้เกียรติ์เป็นเพื่อนครับ
    20. ชนะ สิริไพโรจน์
      ชนะ สิริไพโรจน์
      สวัสดีครับคุณ Veerasak_Chai ยินดีที่ได้รู้จักและขอบคุณมากครับที่แวะไปเยี่ยมเยือน
      ขออนุโมทนาบุญกุศลที่ท่านได้บำเพ็ญไว้ดีแล้ว สาธุครับ
  • Loading...
  • Loading...
  • เกี่ยวกับ

    ที่ตั้ง:
    ว่างเปล่า
    อาชีพ:
    หายใจ
    ชื่อและนามสกุล:
    วีระศักดิ์ ชัยชนะ
    แนะนำตัวเอง:
    กองปฏิกูล
    ช่องว่างที่ผ่านไม่ได้

    พิเคราะห์จิต
  • Loading...
Loading...