(๕) ผจญมาร

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 5 สิงหาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    สมเด็จพระสังฆราช
    ทรงให้พระพิมลธรรมแถลงแก้คำกล่าวโทษ


    เรื่อง ให้แถลงแก้คำกล่าวโทษ
    เรียน พระพิมลธรรม
    สิ่งที่ส่งมาด้วย สำเนาหนังสือกรมตำรวจ ลับที ๙๐๙๗/๒๕๐๓ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๐๓

    ด้วยกรมตำรวจได้ยื่นเรื่องราวถวายสมเด็จสังฆนายก ตามสำเนาที่ส่งมาพร้อมหนังสือนี้ กรณีได้ผ่านขึ้นไปโดยลำดั จนถึงสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาผ่านลงมาทางสมเด็จสังฆนายกว่า ให้เจ้าคุณแถลงแก้คำกล่าวโทษโดยด่วน สมเด็จสังฆนายกแจ้งพระบัญชามายังองค์การปกครอง และกำหนดเวลาแถลงแก้ภายใน ๕ วัน

    ฉะนั้น ให้เจ้าคุณทำคำแถลงแก้เสร็จแล้วส่งไปยังผมภายในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ เพื่อผมจะได้ดำเนินการต่อไปตามระเบียบ

    เรียนมาด้วยความนับถือ
    พระธรรมรัตนากร
    สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง

    เมื่อข้าพเจ้าได้รับลิขิตสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง เรื่องอนุญาตให้ข้าพเจ้าแถลงแก้คำกล่าวโทษ ซึ่งมีกำหนด ๕ วัน ดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ๋ มีเรื่องสลับซับซ้อนอยู่มาก การให้เวลาแถลงแก้คำกล่าวโทษเพียง ๕ วันนั้น เห็นว่าน้อยไป อาจจะทำไม่จบหรือไม่ละเอียดถี่ถ้วน จึงทำหนังสือกราบเรียนสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง เพื่อขออนุญาตยืดเวลาแถลงแก้ออกไปอีกตามสมควรแก่เหตุ ซึ่งมีข้อความดังนี้

    ขอยืดเวลาแถลงแก้คำกล่าวโทษ


    เรื่อง ขอความกรุณาเลื่อนเวลายื่นข้อแถลงแก้คำกล่าวโทษ
    เรียน สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง
    อ้างถึง หนังสือสังหมนตรีว่าการองค์การปกครองที่ ๙๖/๒๕๐๓ ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๓

    ตามหนังสือที่อ้างถึงนั้น ให้กระผมแถลงแก้คำกล่าวโทษภายในวันที่ ๒๕ เดือนนี้ รวมเวลา ๕ วันนั้น

    เรื่องนี้ขอยืนยันว่า คำกล่าวโทษมีข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นมา จนบัดนี้เป็นเวลาหลายปีแล้ว และโดยเฉพาะคำกล่าวโทษนั้น เป็นข้ออยู่ในขั้นอุกฤษฎิ์ ซึ่งสุดวิสัยที่จะใช้ความคิดทบทวนความจริงมาแถลงให้ละเอียดสมบูรณ์ทุกประเด็นได้ ในเวลากระทันหัน จำต้องสืบสวนค้นหาหลักฐานมาประกอบคำกล่าวแก้ให้ได้ตามันที่กำหนดนั้นไม่ทัน

    ฉะนั้น จึงขอเรียนมาเพื่อโปรดได้กรุณาอนุญาตเลื่อนเวลาแถลงแก้คำกล่าวโทษในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ เพื่อความขาวสะอาดในกรณีที่เกิดขึ้น และเพื่อความสวัสดีของคณะสงฆ์ส่วนรวม หวังว่าคงกรุณาอนุมัติด้วยเมตตาธรรมตามที่ขอร้องมานี้

    เรียนมาด้วยความนับถืออย่างยิ่ง
    พระพิมลธรรม
    เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ

    ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองก็มีหน้งสือตอบอนุญาตมายังข้าพเจ้าให้เลื่อนเวลายื่นข้อแถลงคำกล่าวโทษ ตามที่ขอไป ซึ่งมีข้อความดังนี้

    เรื่อง อนุญาตให้เลื่อนเวลายื่นข้อแถลงแก้คำกล่าวโทษ
    เรียน พระพิมลธรรม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ
    อ้างถึง หนังสือที่ ๑๐๙/๒๕๐๓ ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๐๓

    ตามหนังสือที่อ้างถึงท่านได้ขอเลื่อนเวลายื่นข้อแถลงแก้คำกล่าวโทษ ซึ่งกระผมได้กำหนดไว้ ๕ วัน คือภายในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ นี้ ออกไปถึงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ เพื่อจะไ้ด้มีเวลาใช้ความคิดทบทวนความจำมาแถลงให้ละเอียดและสมบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อความขาวสะอาดในกรณีที่เกิดขึ้นและเพื่อความสวัสดีของคณะสงฆ์ส่วนรวม ดังความแจ้งอยู่แล้วนั้น เรื่องนี้กระผมได้นำความกราบเรียนสมเด็จสังฆนายกแล้ว และก็ได้รับอนุมัติตามที่ท่านขอผ่อนผันไป

    ฉะนั้น จึงเรียนมาเพื่อได้ทราบตามนี้

    เรียนมาด้วยความนับถือ
    พระธรรมรัตนากร
    สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง

    เมื่อข้าพเจ้าได้รับความกรุณาจากสมเด็จพระสังฆนายกอนุมัติให้เลื่อนเวลาแถลงแก้ข้อกล่าวโทษ ตามกำหนดใหม่ที่ขอไปแล้ว ในวันเดียวกันนั้นเอง หลังจากได้รับหนังสือสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ที่นำบอกว่าสมเด็จสังฆนายกอนุมัติให้ยืดเวลาแถลงแก้คำกล่าวโทษออกไปได้ ตามที่ขอความกรุณาขึ้นไปนั้น ห่างกันประมาณ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น ก็ได้รับพระบัญชา ที่ทรงพระบัญชาให้ถอดข้าพเจ้าออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ จะเรียกว่าข้าพเจ้ามีโชคดี หรือมีโชคร้ายให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดูด้วยตนของตนเถิด พระบัญชานั้น มีข้อความดังนี้

    พระบัญชา
    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริยนายก

    ทรงอาศัยอำนาจตามมาตรา ๔๘ แห่งสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิิการ พุทธศักราช ๒๔๘๖ มีพระบัญชาให้พระพิมลธรรม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดพระนคร ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ เหตุประพฤติชั่วร้ายแรง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ เป็นต้นไป

    ผู้รับสนองพระบัญชา
    พระธรรมรัตนากร
    สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง
    ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓

    เมื่อสมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระบัญชาให้ถอดข้าพเจ้าออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ ดังนี้แล้ว อธิบดีกรมการศาสนาได้ทำหนังสือพระบัญชานั้นมายังข้าพเจ้า ซึ่งมีข้อความดังนี้

    ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓
    ที่ ๙๑๒๙/๒๕๐๓
    เรื่อง พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
    มนัสการ พระพิมลธรรม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ
    สิ่งที่ส่งมาด้วย พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ๑ ฉบับ

    พร้อมหนังสือนี้ กรมการศาสนาขอส่งพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงบัญชาให้พระุคุณท่านออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ เป็นต้นไป

    นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง
    นายฟุ้ง ศรีวิจารณ์
    อธิบดีกรมการศาสนา

    เมื่อข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชแล้ว เห็นว่าพระบัญชานั้น ไม่ชอบด้วยสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการและกฎหมาย เพราะยังอยู่ในระหว่างที่สังหนายกให้แถลงแก้ข้อกล่าวโทษอยู่ จึงได้ทำหนังสือขอร้องไปโดยผ่านกรมการศาสนา ซึ่งมีข้อความดังนี้

    เรื่อง พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
    เจริญพร อธิบดีกรมการศาสนา

    อาตมภาพได้รับหนังสือที่ ๙๑๒๙/๒๕๐๒ ของกรมศาสนา ลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ แล้ว แต่มีความเสียใจที่เจริญพรให้ทราบว่า ตามพระบัญชานั้น ยังไม่ชอบด้วยสังฆาณัติและกฎหมาย และอาตมภาพยังไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยข้ออ้างในการสั่งปลดอาตมภาพออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ด้วยเหตุประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ความจริงยังมิได้สอบสวนอาตมภาพให้ชอบด้วยบทสังฆาณัติและกฎหมาย ทั้งในขณะนี้ก็อยู่ในระหว่างที่สังฆนายกให้อาตมภาพแถลงแก้ข้อกลาวโทษนั้นอยู่ และยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาที่สังฆนายกอนุมัติให้อาตมภาพแถลงแก้ข้อกล่าวโทษนั้นด้วย อาตมภาพขอเสนอสำเนาหนังสือเกี่ยวกับกรณีนี้ ๓ ฉบับ คือ
    ๑. สำเนาหนังสือของสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองที่ ๖๙/๒๕๐๓ ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๓ ให้อาตมภาพแถลงแก้คำกล่าวโทษภายใน ๕ วันคือ ภายในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓

    ๒. สำเนาหนังสืออาตมภาพที่ ๑๐๙/๒๕๐๓ ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๐๓ ขอเลื่อนเวลายืนคำแถลงแก้คำกล่าวโทษไปถึงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๓

    ๓. สำเนาหนังสือที่ ๗๑/๒๕๐๓ ของสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ แจ้งว่าสมเด็จสังฆนายกอนุมัติตามที่ขอเลื่อนการแถลงแก้ของอาตมภาพแล้ว

    เมื่อปรากฎว่าสมเด็จสังฆนายกอนุมัติให้อาตมภาพมีโอกาสแถลงแก้คำกล่าวโทษ ไปจนถึงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ แล้ว แต่ภายหลังในวันเดียวกันนี้ กลับปรากฎว่ากรมการศาสนาได้รับคำสั่งจากสมเด็จพระสังฆนายก ได้แจ้งพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชสั่งปลดอาตมภาพให้อาตมภาพเลื่อนเวลาแถลงแก้ไปนั้น พระบัญชานี้จึงยังไม่ชอบด้วยสังฆณัติและกฎหมาย เพราะฉะนั้นอาตมภาพจึงขอเจริญพรมา เพื่อขอพระกรุณาได้โปรดระงับพระบัญชานั้นไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และในระหว่างนี้อาตมภาพยังถือว่าอาตมภาพยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดมหาธาตุอยู่ ขอให้กรมการศาสนานำความกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เพื่อได้ทรงพระกรุณาโปรดตามนี้ด้วย

    พระพิมลธรรม
    เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ
    ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓

    อธิบดีกรมการศาสนาตอบยืนยันพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชด้วยหนังสือที่ ๙๓๒๐/๒๕๐๓ ลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๐๓ ซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้

    เรื่อง พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
    นมัสการ พระพิมลธรรม
    อ้างถึงหนังสือของพระคุณท่าน ลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓

    ตามหนังสือของพระคุณท่าน ขอให้กรมการศาสนานำความกราบทูล สมเด็จพระสังฆราชเพื่อทรงพระกรุณาระงับพระบัญชาซึ่งสั่งให้พระคุณท่าน ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุนั้น ได้นำความกราบทูลแล้วมีประบัญชาดังต่อไปนี้

    พระบัญชาสูงสุด ย่อมระงับคำสั่งที่ต่ำกว่าเสมอ การที่ยอมผ่อนผันให้เลื่อนเวลายื่นคำแก้ข้อหานั้น หากเป็นการผ่อนผันให้แก้ข้อหาเท่านั้น มิฉะนั้นผู้ถูกกล่าวหาก็จะใช้อำนาจหน้าที่ผิดเหมือนคำให้การของพยานต่างๆ ที่อยู่ในอำนาจของตนได้ ที่พระพิมลธรรมไม่ยอมก็คงประสงค์ประโยชน์เช่นนี้ ฉะนั้น จึงขอยืนยันตามพระบัญชานั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง

    สมเด็จพระอริยวงศ์ ส.ร.
    ๒๗ ต.ค. ๒๕๐๓

    จึงนมันการมาเพื่อทราบพระบัญชาดังกล่าวนี้
    นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง

    นายฟุ้ง ศรีวิจารณ์
    อธิบดีกรมการศาสนา

    เมื่อข้าพเจ้าได้รับหนังสืออธิบดีกรมการศาสนาแบับที่ ๙๒๓๐/๒๕๐๓ ลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๐๓ แล้ว พิจารณาเห็นว่าพระบัญชานั้นขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักดราช ๒๔๘๕ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น จึงได้ตัดสินใจทำหน้งสือเป็นเิชิงขอร้องทักท้วงไป ซึ่งมีข้อความดังนี้

    เรื่อง พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
    ขอเจริญพร อธิบดีกรมการศาสนา

    อาตมภาพรู้สึกเสียใจเหลือเกินที่จำเป็นจำใจต้องเป็นตนของตน ทั้งที่สำนึกอยู่ว่าไม่สมควรที่จะท้วงติงพระบัญชาหรือคำสั่งของผู้ใหญ่ให้เป็นการก่อกวนพระทัย แต่อาตมภาพถูกกล่าวโทษถึงขึ้นอุกฤกษ์มหันตโทษ ไม่ใช่การที่จะพึงนิ่งนอนใจ ซึ่งใครๆ ควรจะเห็นใจ ขอฝืนใจแถลงตอบยืนยันมาดังต่อไปนี้

    ตามหนังสือของท่านที่ ๙๒๙๐/๒๕๐๓ ลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๐๓ แจ้งว่ามีพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชยืนยันพระบัญชาเดิม (ลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓) โดยทำเลขนอกเลขในไว้อย่างชัดเจนนั้น

    อาตมภาพได้พิจารณาพระบัญชาที่ท่านคัดมาในหนังสือของท่านแล้วไม่ปรากฎว่ามีสังฆมนตรีลงนามรับสนองพระบัญชา ตามความในมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ซึ่งทั้งนี้ย่อมตีความได้ว่า เป็นพระบัญชาซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงมีมาเอง โดยไม่มีสังฆมนตรีรับสนอง ถ้าหากว่ากรณีเป็นไปตามนัยนี้ ก็หมายความว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงบริหารคณะสงฆ์ด้วยพระองค์เอง ตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญํติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ นั้น สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก ทรงพระบัญชาการคณะสังฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่งมีกล่าวไว้ในมาตรา ๗ มาตรา ๘ และมาตรา ๘ เฉพาะการบริหารคณะสงฆ์ ซึ่่งรวมทั้งการลงโทษฐานละเมิดจริยานั้น ตามมาตรา ๘ สมเด็จพระสังฆราชทรงกระทำทางคณะสังฆมนตรี คือไม่ทรงกระทำเอง แต่คณะสังฆมนตรีเป็นผู้บริหารการคณะสงฆ์ในพระนามสมเด็จพระสังฆราช คณะสังฆมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ สมเด็จพระสังหราชไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะพระองค์อยู่เหนือการบริหารการคณะสงฆ์ เช่นเดียวกับการบัญญัติสังฆาณัติ ซึ่งสังสภาเป็นผู้ถวายคำแนะนำให้ตราขึ้น พระองค์มิได้ทรงกระทำเอง การวินิจฉัยอธิกรณ์ก็เช่นเดียวกัน คณะวินัยธรเป็นผู้วินิจแัย ในพระนามสมเด็จพระสังฆราช พระองค์มิได้ทรงวินิจฉัยเอง แต่เท่าที่อาตมาได้สังเกตตั้งแต่แรกแล้ว เห็นว่าสังฆนายกซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารคณะสงฆ์ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๓๐ นั้น ได้พยายามที่จะฉุดสมเด็จพระสังฆราชให้เข้ามาพัวพันในการบริหารการคณะสงฆ์ ดังจะได้ชี้ให้เห็นเป็นลำดับมา คือ

    ๑. เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๐๓ สังฆนายกได้มีหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชว่าคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์ซึ่งมีสังฆนายกเป็นประธาน เห็นว่าอาตมภาพต้องศีลวิบัติ ขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว จึงขอประทานเสนอให้สมเด็จพระสังฆราช ทรงจัดการในขั้นปกครอง การจัดการในขั้นปกครองนี้ก็คือจัดการพิจารณาลงโทษฐานละเมิดจริยตามสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ พุทธศักราช ๒๔๘๖ อันเป็นการบริหารคณะสงฆ์นั่นเอง ซึ่งมิใช่เรื่องสมเด็จพระสังฆรช แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของสมเด็๗พระสังฆนายกโดยตรง ตามมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ แต่สังฆนายกก็พยายามปิดเรื่องไปถวายให้สมเด็จพระสังฆราช ทำให้สมเด็จพระสังหราชทรงมีพระบัญชามาให้อาตมภาพละจากสมณเพสและหลบหายตัวไปเสียภายใน ๑๕ วัน

    ๒. เมื่อพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชนั้นเป็นโมฆะ ไ่ม่มีผลทางกฎหมายหรือพระธรรมวินัยหรือสังฆาณัติไปแล้ว สังฆนายกก็หาวิธีใหม่ โดยนำเื่องที่กรมตำรวจถามตนมาเสนอสมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระสังฆราชก็ได้ทรงสั่งผ่านสังฆนายก ให้อาตมภาพแถลงแก้คำกล่าวโทษก่อน สังฆนายกกำหนดให้แถลงแก้ภายใใน ๕ วัน ซึ่งสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ การที่มีผู้กล่าวโทษอาตมภาพนั้น ตามมาตรา ๔๖แห่งสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ ผู้มีอำนาจสอบสวนลงโทษตามมาตรานี้ มิใช้่สมเด็จพระสังฆราช เพราะการสอบสวนลงโทษเป็นการบริหารพระสงฆ์ ซึ่งมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ระบุไว้ชัดว่าสังฆนายกต้องรับผิดชอบ ไม่มีมาตราใดเลยที่ระบุว่า สมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้รับผิดชอบ ยิ่งกว่านั้น มาตรา ๘ ก็ยังรับรองยืนยันว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงบริหารการคณะสงฆ์ทางคณะสังฆมนตรี ซึ่งหมายความว่า คณะสังฆมนตรีเป็นผู้บริหาร การคณะสงฆ์ในพระนามของสมเด็จพระสังหราช การที่โยนเรื่องไปถวายสมเด็จพระสังฆราช ให้ทรงบริหารคณะสงฆ์ ก็เท่ากับมอบหน้าที่บริหารการคณะสงฆ์ถวายสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์อย่างชัดแจ้ง ถ้าสังฆนายกไม่ประสงค์จะบริหารการคณะสงฆ์ ก็ควรจะพิจารณาตนด้วยตน ไม่ควรปัดความรับผิดชอบโดยไปฉุดสมเด็จพระสังฆราชให้มาทรงกระทำการอันขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์

    อาจจะอ้างว่า ในมาตรา ๔๖ แห่งสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการนี้ ผู้มีอำนาจแต่งตั้งเป็นผู้สอบสวลงโทษเจ้าอาวาสพระอารามหลวง สมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้ทรงแต่งตั้ง เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้มีอำนาจสอบสวนลงโทษ การอ้างเช่นนี้เป็นการอ้างเพื่อปัดความรับผิดชอบตามมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และขัดต่อมาตรา ๘ ด้วย เพราะเป็นการให้สมเด็จพระสังฆราชเข้ามาบริหารการคณะสงฆ์ จริงอยู่ตามมาตรา ๒๗ แห่งสังฆณัติระเบียบพระคณาธิการ สมเด็จพระสังฆราชทรงลงพระนามในการแต่งตั้งเจ้าอาวาส พระอารามหลวง แต่ในการนี้ คณะสังฆมนตรีต้องเป็นผู้ถวายคำแนะนำ หรือจัดทำขึ้นแล้วถวายให้ทรงลงพระนาม ไม่ใช่สมเด็จพระสังฆราชทรงกระทำขึ้นเอง ฉะนั้นผู้มีอำนาจแต่งตั้งในมาตรา ๔๖ จึงมิใช่สมเด็จพระสังฆราช ถ้าผู้มีอำนาจแต่งตั้งเ็นสมเด็จพระสังหราช สังฆาณัติก็จะเป็นโมฆะไปเพราะต่อมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ โดยให้สมเด็จพระสังฆราชมาบริหารคณะสงฆ์ แต่สังฆาณัติถูกต้องแล้ว ไม่มีทางขัดกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ได้เลย ดังนั้น การที่ให้แถลงแก้คำกล่าวโทษนั้น ไม่มีทางขัดกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ได้เลย ดังนั้น การที่ให้แถลงคำกล่าวโทษนั้น อาตมภาพจึงถือว่าเป็นคำสั่งของผู้มีอำนาจและรับผิดชอบในการบริหารการคณะสงฆ์มิใช่คำสั่งของสมเด็จพระสังฆราช

    ด้วยเหตุนี้ อาตมภาพจึงใคร่ของท่านนำความขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช ตามที่แจ้งมานี้ เพื่อให้ทรงทราบว่า พระองค์ดำรงอยู่ในฐานะเหนือการบริหารคณะสงฆ์ จะทรงมีคำสั่งลบล้างคำสั่งของฝ่ายบริหารการคณะสงฆ์นั้น ย่อมขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จะทรงมีคำสั่งลบล้างคำสั่งของฝ่ายบริหารการคณะสงฆ์นั้น ย่ิมขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ยิ่งกว่านั้น พระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชที่ให้อาตมภาพออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสนั้น ต้องเป็นคำสั่งของฝ่ายบริหารการคณะสงฆ์ ซึ่งสังฆนายกเป็นผู้รับผิดชอบ สมเด็จพระสังฆราชทรงลงพระนามตามความในมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เพื่อให้เป็นคำสั่งที่สมบูรณ์เท่านั้น ไม่ใช่ทรงพระบัญชามาแล้วให้สังฆมนตรีลงชื่อรับสนอง ตามนิตินัยต้องถือว่าคณะสังฆมนตรีถวายคำสั่งขึ้นไปให้ทรงลงพระนามตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์

    อันที่จริงในการยื่นคำแถลงแก้นั้น อาตมภาพก็ได้เตรียมไว้แล้ว พอควรแก่การที่จะชี้แจงให้เห็นว่าคำกล่าวโทษนั้นล้วนเป็นเท็จและพร้อมที่จะยื่นได้ภายในกำหนด คือวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ แต่ขอเลื่อนเวลายื่นคำแถลงแก้ออกไปจนถึงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ ก็เพื่อประสงค์จะให้คำแถลงแก้นั้นมีข้อความละเีอียดพิศดาร ถี่ถ้วนสะดวกแก่การที่จะพิจารณาของผู้สอบสวนหาใช่เพื่อประวิงเวลา หรือเพื่อที่จะใช้อุบายบิดเบือนพยานหลักฐานของผู้กล่าวโทษที่อยู่ในบังคับบัญชา ตามที่มีผู้เพ่งเล็งอาตมภาพด้วยโมหเจตนาไม่ การบิดเบือนความจริงก็ดี หรือการไม่สู้กับความจริงก็ดี ไม่ใช่วิสัยของอาตมภาพ ซึ่งเป็นพระเถระคงแก่เรียน อยู่มาจนเข้าเขตปัจฉิมวัยแล้ว อาตมภาพยึดมั่นอยู่ในสัจธรรมพระธรรมวินัยและกฎหมายเท่านั้นเป็นสรณะ แต่ในวันที่ ๒๕ ตุลาคมนั่นเอง ซึ่งถ้าฝ่ายบริหารคณะสงฆ์ซึ่งมีสังฆนายกเป็นผู้รับผิดชอบตามความในมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ประสงค์ดังนั้นโดยไม่เคารพต่อสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการแล้ว จะให้อาตมภาพแถลงแก้เพื่อประโยชน์อันใด ออกคำสั่งลงโทษไปเสียเลย ผลก็เท่านั้น คือแสดงให้โลกเห็นว่า ในศาสนจักรนี้เหมือนไม่มีขื่อไม่มีแป แม้จะมีกฎหมายสังฆาณัติและพระธรรมวินัยเป็นหลักปฏิบัติ ก็ไม่จำเป็นที่ผู้มีอำนาจในการบริหารจะต้องเคารพเอื้อเฟื้อ เพราะถืออำนาจเป็นธรรม ไม่ใช่ถือธรรมเป็นอำนาจ ทั้งที่พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้สั่งสอนธรรม แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามธรรมวินัย เป็นที่น่าสังเวชใจอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อที่สมเด็จพระสังฆราชจะได้เป็นที่เคารพสักการะแห่งคณะสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล ขอได้โปรดกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชให้ทรงดำเนินการให้ผู้มีอำนาจและรับผิดชอบในการบริหารคณะสงฆ์ ถอนคำสั่งปลดอาตมภาพออกจากตำแหน่งเสีย เพื่ออาตมภาพจะได้ืยื่นคำแถลงแก้คำกล่าวโทษ และผู้มีอำนาจได้ทำการสอบสวนตามมาตรา ๔๖ แห่งสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ อันชอบด้วยพระธรรมวินัยกฎหมายและสังฆาณัติต่อไป

    ฉะนั้น เมื่อการสั่งลงโทษขั้นอุกฤษฏ์อุกฉกรรจ์มหันตโืทษของพระคณาธิการขั้นสูงสุด ยังไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัยกฎหมายและสังฆาณัติเช่นนี้ อาตมภาพจึงขอยืนยันตามบันทึกตอบของอาตมภาพ ลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ โดยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้จนกว่าจะได้สั่งการให้ชอบด้วยพระธรรมวินัย กฎหมายและสังฆาณัติ หวังว่าพระคณาธิการชั้นผู้ใหญ่คงเห็นใจผู้ถูกปรับปรำอย่างร้ายแรงด้วยเมตตาธรรม ขอท่านได้นำความกราบเรียนพระคณาธิการ ผู้มีอำนาจทั้งหลายตามลำดับ เพื่อรับทราบด้วย

    ขอเจริญพร
    พระพิมลธรรม
    เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2009
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ขอบคุณค่ะทีนำมาเล่าให้ฟังค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...