(๑๖) มุนีนาถทีปนี: ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 27 กรกฎาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ๖. สมเด็จพระโสภิตะอุบัติ

    เมื่อศาสนาขององค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานนับได้ประมาณพุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่ง นับเป็นองค์สุดท้ายในสารมัณฑกัปนั้น ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ โสภิตะ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นบรมโลกนายกทรงพระยศและพระคุณหาที่สุดมิได้ ทรงยังพุทธเวไนยทั้งหลายให้ได้ดื่มอมตรสบรรลุอริยธรรมข้ามพ้นจากหัวงมหรรณพภพสงสารเป็นประมาณมิใช่น้อย ตามสมควรแก่อุปนิสัยแห่งตน

    กาลครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเินิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า อชิตมาณพ อยู่ในเมืองรัมมวดีนคร วันหนึ่งได้มีโอกาสสดับมธุรธรรมิกถาจากพระโอษฐสมเด็จพระโลกเชษฐโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมีจิตเลื่อมใสนักหนา มีศรัทธาตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์และศีล ต่อมาได้บำเพ็ญมหาทานการบริจาคอันยิ่งใหญ่แก่พระอริยสงฆ์ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน สละทรัพย์บริจาคทานมากมายในครั้งนี้อยู่นานถึงหนึ่งสัปดาห์

    คราที่นั้น จึงองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์โสภิตะบรมศาสดาจารย์ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
    "อชิตพราหมณ์ผู้นี้ นานไปในอนาคตจักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในกาลภัทรกัปป์อันจักมี ณ ที่สุด แห่ง ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัป"
    ครั้นได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ อชิตพราหมณ์ผู้โพธิสัตว์ก็มีจิตยินดีปลาบปลื้มเป็นที่ยิ่ง อุตสาหะบำเพ็ญกุศลสร้างพระบารมีต่อไป ในไม่ช้า ก็ถึงแก่ชีพิตักษัย ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐ ณ เทวโลก แดนสุขาวดี

    ๗. สมเด็จพระอโนมทัสสีอุบัติ

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ คือพระสุมังคลพุทธเจ้า ๑ พระสุมนะพุทธเจ้า ๑ พระเรวตะ พุทธเจ้า ๑ และพระโสภิตะพุทธเจ้า ๑ ได้เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรียงกันตามลำดับและได้ทรงกระทำพุทธพยากรณ์ทำนายพระบรมโพธิสัตว์ของเรามาทุกๆ พระองค์ดังกล่าวแล้วนั้น กาลต่อมา ครั้นสิ้นอายุศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สุดท้าย คือ พระโสภิตะพุทธเจ้า โลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาอยู่นาน จนสิ้นสารมัณฑกัปนั้น ครั้นขึ้นอสงไขยกัปใหม่ก็ยิ่งซ้ำร้าย เพราะอสงไขย หนึ่งต่อมานั้นเป็นสุญอสงไขยคือ ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสเลยสักพระองค์เดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้โลกเรามือบอดปลอดจากพระสัทธรรม ถูกอวิชชาเข้าครอบงำเพราะไม่มีผู้นำทางไปสู่ความสว่าง คือพระนฤพาน เมื่อโลกว่างเว้นห่างไกลจากพุทธกาลนานนักแล้ว คราที่นั้นจึงมี วรกัป หนึ่งบังเกิดขึ้น ก็คำว่าวรกัปนี้ ก็คงจะเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เป็นชื่อของกัปที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลก ๓ พระองค์ ใช่ไหมเล่า ก็วรกัปที่เรากำลังกล่าวถึงกันอยู่นี้ ก็มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ๓ พระองค์ คือ
    ๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า
    ๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปทุมะสัมพุทธเจ้า
    ๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎนารทะสัมพุทธเจ้า
    ในกาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเป็นองค์ปฐมในวรกัปนั้น พระองค์ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนา ยังศาสนธรรมได้แพร่หลาย นำความสว่างไสวให้เกิดขึ้นในดวงใจของเหล่าประชานิกร เพราะได้สดับคำสอนอันเป็นสัจธรรม นำตนให้พ้นภัย ได้บรรลุคุณวิเศษ ตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของตนๆ เป็นอันมากแล้ว

    กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราทั้งหลายได้สืบปฏิสนธิถือเอากำเนิดเกิดเป็น พญายักขเสนาบดี มีฤทธาศักดานุภาพมาก ได้เป็นใหญ่กว่ายักษ์บริษัทนับได้แสนโกฏิปกครองบริษัทบริวารของตนให้ได้รับความสุขโดยถ้วนหน้า กาลวันหนึ่ง ได้สดับข่าวว่า
    สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติตรัสในโลกแล้ว
    พอได้สดับกิติตศัพท์บันลือเช่นนี้ ก็มีจิตยินดีเต็มตื้นไปด้วยปิติเป็นที่ยิ่ง จึงนิรมติมณฑปใหญ่อันวิจิตร งดงามล้วนไปด้วยแก้วเจ็ดประการ แล้วอาราธนาสมเด็จพระพุทธองค์พร้อมกับพระอริยสงฆ์บริวารเข้าไปในมณฑปนั้น พร้อมด้วยยัขบริวาร บำเพ็ญมหาทานเป็นอันมาก ตลอดเจ็ดวัน ด้วยมีมนัสมุ่งพระโพธิญาณ

    กาลครั้งนั้น จึงองค์สมเด็จพระอโนมทัสสีบรมศาสดา เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนาทาน จึงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
    ท่านพญายักขเสนาบดีนี้ นานไปในอนาคตกำหนดอีก ๑ อสงไขยแสนมหากัป จักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนโคดม ในกาลภัทรกัป อันจักมี ณ ที่สุดแห่ง ๑ อสงไขยแสนมหากัปนั้น
    ครั้นได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ พญายักขเสนาบดีก็มีจิตยินดีปรีดาปราโมทย์เป็นยิ่งนัก ตั้งจิตมั่นในอันที่จะสร้างพระบารมี เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณต่อไป

    ๘. สมเด็จพระปุทมะอุบัติ

    กาลเมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานาน นับได้พุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ปทุมะ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกนายก ทรงพระยศและพระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้บรรลุถึงความเกษมสวัสดีเป็นอันมากแล้ว

    กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าสืบปฏิสนธิถือกำเนิดในดิรัจฉานภูมิ ด้วยอำนาจวัฏสงสารความเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะชักพาให้องค์พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาไกรสรสีหราช อยู่ในอรัญญประเทศ วันหนึ่งได้พบสมเด็จพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับพระสงฆ์บริษัท กำลังทรงนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ณ รุกขมูลโคนต้นไม้ใหญ่

    พญาไกรสรสีหราช ได้เห็นภาพ อันควรแก่การเลื่อมใสที่ใครๆ จะมีโอกาสเห้นได้โดยยากเช่นนั้นแล้ว ก็มีจิตชื่นบานคิดว่า
    เราจักทำการพิทักษ์รักษาพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระอริยสงฆ์เหล่านี้ แม้จะสิ้นชีวีไปก็ตามที
    แล้วก็กระทำประทักษิณบริรักษ์เดินเวียนไปมาเฝ้าดูอยู่ หวังใจให้พระบรมครูกับพระอริยสงฆ์ปลอดอันตราย จนสรีระกายอิดโรยอ่อนเพลียนักหนา เพราะมิได้ขวนขวายแสวงหาภักษาหารตลอดกาลหนึ่งสัปดาห์

    ครั้นสมเด็จพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเสด็จยับยั้งเสวยวิมุติสุขอยู่ในนิโรธสมาบัติครบ ๗ วันแล้ว จึงทรงออกจากสมาบัติ ได้ทรงเห็นพญาสัตว์ไกรสรสีหราชกระทำอธิการ คือผู้สละชีวิตเฝ้าบริรักษ์อยู่เช่นนั้น จึงทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
    พญาไกรสรสีหราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดพอสิ้นอสงไขยนี้กับอีกแสนมหากัป จักได้ตรัสเป็นพระุพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่งอสงไขยกับอีกแสนมหากัป
    เมื่อสมเด็จพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำพุทธพยากรณ์ดังนี้แล้ว ก็พาพระภิกษุสงฆ์ออกจากอรัญราวป่าไป เพื่อทรงทำพุทธกิจเกื้อกูลพุทธเวไนย ถึงอวสานกาลแล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายพญาไกรสรสีหาชนั้น ครั้นสิ้นชีวิตกาลก็ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐเสวยทิพยสัมบัติเป็นสุขอยู่ ณ เทวโลก แดนสุขาวดี

    ๙. สมเด็จพระนารทะอุบัติ

    กาลเมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุำฎปทุมะพระพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลาช้านาน สิ้นกาลนับได้พุทธันดรหนึ่งแล้ว จึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าสมเด็จพระมิ่งมงกุฎนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกนาย ทรงพระยศและพระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้ลุถึงความเกษมสวัสดีเป็นอันมากแล้ว

    กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ หวังความบริสุทธิ์แห่งขันธสันดานจึงได้ไปสร้างอาศรมอยู่ในป่าใหย่ ออกบวชเป็นฤา๊ษี มีวิริยะบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ จนได้สำเร็จฌานสมาบัติและอภิญญาอันแกล้วกล้าชำนาญ วันหนึ่ง สมเด็จพระพุทธนารทะบรมครูแวดล้อมด้วยพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวิเศษชั้นพระอรหันต์และพระอนาคามีบุคคล กับอุบาสกอีกมากมายหลายท่าน ได้พากันเข้าไปในที่ใกล้อาศรมฤาษี คราที่นั้น องค์พระมหาฤาษีโพธิสัตว์ผู้ทรงอภิญญาได้ทอดทัศนาเห็น ก็ให้บังเกิดความเลื่อมใสจึงได้เนรมิตอาศรมมากมายให้มีจำนวนเพียงพอกับพระบรมครูเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ถวายให้นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    สมัยนั้น สมเด็จพระภควันต์นารทะศาสดาจารย์เจ้า จึงแสดงพระธรรมเทศนานิวาสนานุโมทนา และอานิสงส์แห่งการเจริญพระพุทธานุสติ ด้วยมธุรสวาทีของสมเด็จพระชินสีห์สัพพัญู ฤาษีโพธิสัตว์ได้สดับมีความปรีดาปราโมทย์เป็นที่สุด ในวันรุ่งขึ้น จึงเหาะไปยังอุตตรกุรุทวีปด้วยอำนาจฌานวิสัย เพื่อนำเอาภัตตาหารมาถวายพระพุทธองค์และพระอริยสงฆ์ พร้อมกับอุบาสกทั้งหมดอย่างพอเพียง กระทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์ ในวันสุดท้าย ได้ทำพุทธบูชาสักการะด้วยแก่นจันทร์แดงอันมีค่าสูง ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

    จึงในครั้งนั้น สมเด็จพระสรรเพชญนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระพุทธฎีกา ดำรัสพยากรณ์ว่า
    มหาฤาษีผู้ี้มีมหานุภาพนี้ นานไปในอนาคตกำหนดแต่นี้ไปในที่สุด ๑ อสงไขย แสนมหากัป จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม อย่างแม่นมั่น ในที่สุดแห่ง ๑ อสงไขยแสนมหากัปนั้น
    ครั้นได้สดับพระพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระชินสีห์เจ้าฉะนี้ ท่านมหาฤษีโพธิสัตว์ผู้ทรงอภิญญาก็มีจิตปลาบปลื้มปราโมทย์นักหนา อุตสาหะบำเพ็ญพระพุทธบารมีเมื่อถึงแก่ชีพิตักษัยแล้ว ก็ไปอุบัติบังเกิดเป็นพระพรหมวิเศษ ณ พรหมโลก

    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสมณโคดมบรมครูเจ้าของเราท่านทุกวันนี้ พระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีในตอนปลายเป็นนิยตโพธิสัตว์เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักของพระพุทธเจ้าเป็นลำดับมาทุกๆ พระองค์ นับตั้งแต่พระองค์ที่หนึ่ง คือสมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงสมเด็จพระมิ่งมงกุฎนารทะสัมพุทธเจ้า ที่เรากำลังกล่าวถึงกันอยู่ในบัดนี้ นับไปได้กี่พระองค์แล้วเล่า?
    "...อ๋อ ก็จะไปยากอะไร นับได้ทั้งหมดด้วยกัน รวม ๙ พระองค์ ใช่หรือไม่?"
    "ถูกต้องแล้ว..."
    "...อ้าว ก็ในเมื่อถูกต้องแล้ว ไฉนจึงมาเฉไฉให้เสียเวลาไปเปล่าๆ สะดดุหยุดเสียกลางคันเช่นนี้ มีเหตุผลอะไรรึ... หรือว่าพระองค์สร้างพระบารมีมาเพียงแค่นี้?"
    "เปล่า! ที่หยุดลงนี่ ไม่ใช่คิดจะกล่าวออกไปนอกเรื่องหรือว่าพระองค์สร้างพีระบารมีเพียงแค่นี้ ไม่ใช่ทั้งสิ้น แต่ต้องการที่จะบอกให้ทราบว่า บัดนี้ กาลเวลาก็ได้ล่วงเลยมาแล้ว..."
    "กาลเวลาอะไรกัน แล้วมันเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างไร?"
    "อ้าว...ก็กาลเวลาที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของทรงใช้ในการสร้างพระบารมีตอนปลายนี้นะซี นับตั้งแต่ได้พบพระุพุทธทีปังกรองค์ที่ ๑ เป็นต้นมา จนถึงพระพุทธนารทะองค์ที่ ๙ นี้นับเป็นเวลาได้ ๔ อสงไขยแล้ว ทีนี้ สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเรา ก็ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภท ปัญญาธิกะ ก็อันว่าพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระพุทธบารมีตอนปลายเป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องหยุดเรื่องการพรรณนาเรื่องไว้เสียสักนิดก่อนในตอนนี้ แล้วบอกให้ทราบว่า ในระยะเวลายาวนานถึง ๔ อสงไขยนี้ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราทรงได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้า เพียง ๙ พระองค์เท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือเศษอีกหนึ่งแสนมหากัปนั้น พระบรมโพธิสัตว์จะมีโอกาสพบพระพุทธเจ้าอีกกี่พระองค์ และทรงเสวยพระชาติเป็นอะไรบ้าง ก็จะได้พรรณาให้ฟังในกาลบัดนี้ ขอจงตั้งอกตั้งใจสดับด้วยดีต่อไปเถิด


    ;aa41

    พระเทพมุนี (วิลาส ญาณวโร)

    มุนีนาถทีปนี : ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า
    หน้า ๑๖๘-๑๗๕

     

แชร์หน้านี้

Loading...