หูยานจปร.พระผงจันทร์ลอยลป ละมัย จันทร์ลอยแร่บางไผ่ นครอินทร์เหรียญรุ่น ๓ ลป.เจี๊ยะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748193011086.jpg

    หลวงพ่อสง่า อนุปุพฺโพ อดีตเจ้าอาวาสแห่งวัดหนองม่วงจังหวัดราชบุรี มีนามเดิมว่า สง่า เล่ห์ปะสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 11มีนาคม 2459 เป็นบุตรของนายเขี้ยมและนางเม้า เล่ห์ปะสุวรรณ ณ บ้านหม้อ ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ชีวิตในวัยเยาว์ของท่านได้รับการศึกษาจากโรงเรียนวัดบ้านหม้อโดยมีบรรดาพระภิกษุสงฆ์ เป็นผู้อบรมสั่งสอนวิทยาวิชาการ อีกทั้งบางวันยังต้องนอนค้างที่วัดเพื่อช่วยปรนนิบัติรับใช้ พระสงฆ์อยู่เสมอๆ ดังนั้นชีวิตของหลวงพ่อสง่าจึงอยู่ใกล้ชิดกับพระและวัดมาโดยตลอดจนกระทั่ง ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา อุปนิสัยของท่านในวัยหนุ่มก็เหมือนกับวัยรุ่นในสมัยนั้นส่วนใหญ่ทั่วไป คือเมื่อเสร็จจากการทำงานก็มักไปเที่ยว เล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆไปตามเรื่อง บางครั้งท่านก็ไปเที่ยวยังหมู่บ้านอื่น เพื่อเสาะแสวงหาความรู้ด้านคาถาอาคมจากครูอาจารย์ที่เก่งๆ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจจนกระทั่งทราบมาว่าที่วัดไทรอารักษ์ มีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญคาถาอาคมอยู่รูปหนึ่ง ท่านจึงดั้นด้นไปพบเพื่อขอเรียนวิชาแต่หลวงพ่อวัดไทรอารักษ์ กลับตั้งคำถามว่ามาจากที่ใดและพอทราบว่ามาจากบ้านหม้อ ท่านจึงปรารภขึ้นว่า "หาหญ้ากินไกลคอกเหลือเกินนะเรา อย่าลืมหญ้าปากคอกดูบ้างว่าหญ้าปากคอกนั้นงามขนาดไหน" นายสง่าในขณะนั้นได้แต่คิดถึงถ้อยคำปริศนาที่หลวงพ่อวัดไทรฯได้พูดถึงแต่ก็คิดไม่ออก จนกระทั่งไม่นานท่านจึงไขปริศนาได้ว่า หญ้าปากคอกที่พูดถึงนั้นก็คือท่านพระครูเจ้าอาวาส วัดบ้านหม้อนั่นเอง ท่านจึงได้ปวารณาตัวเป็นศิษย์เพื่อเล่าเรียนวิชาอาคมนานนับปี จนมีความรู้แคล่วคล่องในบทสวด คาถาอาคม อักขระเลขยันต์พอควร ต่อมาในปี 2481 ท่านได้ตัดสินใจอุปสมบทที่วัดบ้านหม้อ จ.ราชบุรี ขณะมีอายุได้ 22 ปีโดยมี พระอธิการกลิ่น วัดคงคาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เกลี้ยง วัดเฉลิมอาสน์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เช้งและพระอาจารย์แป๊ะ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (สมัยนั้นใช้พระคู่สวดในพิธีกรรมถึง 3 รูป) ได้รับฉายาว่า อนุปุพฺโพ ครั้นอุปสมบทแล้วท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านหม้อ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจนสามารถ สอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทตามลำดับ รวมถึงวิชาอาคมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก พระอาจารย์แป๊ะ พระอาจารย์เปีย วัดบ้านหม้อและวิชาการแพทย์แผนโบราณ วิชาสมุนไพร จนกระทั่งเรียกได้ว่ามีความเชี่ยวชาญยากหาใครเทียบในเวลานั้น ต่อมาในปี 2484 ทางวัดหนองม่วง อ.บางแพ จ.ราชบุรี ขาดพระสงฆ์ผู้นำที่จะดูแลวัด ชาวบ้านและไวยาวัจกรจึงได้พร้อมใจนิมนต์ท่านให้มาดูแลและพัฒนาวัดหนองม่วง หลวงพ่อสง่าพิจารณาดูแล้วเห็นด้วยกับเจตนาอันบริสุทธิ์ของชาวบ้าน ท่านจึงได้ย้ายมาอยู่ ที่วัดหนองม่วงตามคำขอและได้พัฒนาวัดให้ดีขึ้น ตามที่ชาวบ้านต้องการดังที่เห็นในปัจจุบัน โดยได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์กับชาวบ้านอย่างสูงสุด
    การศึกษาพุทธาคม
    หลวงพ่อสง่าเริ่มศึกษาคาถาอาคมและอักขระเลขยันต์ มาตั้งแต่ตอนสมัยเป็นหนุ่ม ทั้งวิชาสักยันต์ รดน้ำมนต์ ครั้นเมื่อท่านได้อุปสมบท แล้วก็ยังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องด้วยว่า แม้ไม่ใช่กิจของสงฆ์แต่ก็เป็นความนิยมของคนสมัยนั้น เพื่อให้เกิดศรัทธายึดเหนี่ยวทางจิตใจ โดยหลวงพ่อท่านได้เป็นอาจารย์สักยันต์อยู่หลายปีจนกระทั่งได้ข่าวว่า ผู้ที่ท่านสักให้ส่วนมากไปกระทำความชั่ว เป็นนักเลงเพราะฮึกเหิมลำพองในความคงกระพันของรอยสักที่หลวงพ่อสักให้ ท่านจึงได้เลิกพิธีกรรมการสักทั้งหมด เพราะเห็นว่าสิ่งนี้ไม่เกิดแก่นสารที่แท้จริง หลังจากนั้นเมื่อมีเวลาว่างท่าน ท่านได้ไปขอต่อวิชากับ หลวงปู่ดี วัดบ้านยาง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งเก่งในด้านการสร้างพระปิดตามหาอุตม์ คงกระพันชาตรี, หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาลบผงอิทธิเจ ปถมัง และการเขียนยันต์ 108, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ได้วิชามหาอุตม์, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมได้ครอบครูนะเมตตาและได้รับการสอนวิชาเจริญวิปัสสนา และท่านยังมีครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย ปฏิปทากิตติคุณและคุณธรรมของหลวงพ่อสง่า หลวงพ่อท่านจะมีเมตตาธรรมสูงส่งยิ่งนัก ท่านได้พัฒนาวัดหนองม่วง และพัฒนาคนในชุมชนวัดหนองม่วง ให้รู้จักหลักการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข สอนให้ทุกคนรู้จักอดทน ให้หมั่นเพียรพยายามพึ่งตนเองเป็นหลัก เอาชนะใจตนเองให้ได้ ท่านจะเน้นวิถีชีวิตอย่างชาวบ้านดั่งที่ท่านพร่ำสอนศิษย์เสมอว่า "คนเราถ้าไม่รวยก็อย่าจน ให้มีหิริโอตัปปะ ให้มีความอดทนและเพียรพยายามจะไม่อดตาย ความจนความรวย เราไม่ได้เอามาตั้งแต่เกิด แต่เราทำตัวเราให้รวย ให้จนได้ทั้งนั้น เป็นหนี้ก็เอามาให้พระแก้ เราต้องแก้ที่ต้นเหตุคือตัวเราเอง หาได้ใช้เป็น ใช้ให้น้อย หาพอเพียงก็จะไม่จน" อนิจจัง วัตสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา หลวงพ่อสง่าท่านก็ไม่อาจพ้นจากพระพุทธพจน์บทนี้ได้ หลวงพ่อสง่าท่านได้ละสังขารลงอย่างสงบ เมื่อวังอังคาร แรม 4 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก ตรงกับวันที่ 29 เดือนมีนาคม ปี 2547 สิริอายุรวม 88 ปี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญรุ่นอาเสี่ยหลวงพ่อสง่าวัดบ้านหม้อ ราชบุรี
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท

    IMG_20250525_214746.jpg IMG_20250525_214823.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    _1_~3.JPG

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อมหาวิบูลย์ได้ทำการจารพระอยู่ในห้องส่วนตัวด้านใน ในขณะนั้นก็มีลูกศิษย์เป็นนายทหารมากราบท่าน และนั่งรออยู่ด้านนอกห้องซักพักก็มีเสียง ดัง แก๊ก เหมือนเสียงเหรียหล่น
    ลงมากระทบพื้น คนที่นั่งรอก็หันไปมองตามเสียงปรากฏว่าเป็นเหรียญหันข้างรุ่นแรกของท่านกำลังกลิ้งอยู่ที่พื้นหน้าห้อง โดยที่ห้องนั้นก็ยัง
    ปิดสนิทเหมือนเดิม เมื่อเห็นดังนั้นเค้าจึงคว้าเหรียญดังกล่าว เก็บโดยไว เพราะคิดว่าเทวดาให้ศิษย์ทหารคนดังกล่าวเก็บเรื่องนี้มาเงียบๆจนวันหนึ่งได้กราบหลวงพ่อสุจินต์ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมหาวิบูลย์ศิษย์ทหารจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อสุจินต์ฟัง
    เมื่อหลวงพ่อสุจินต์ได้ฟังจึงไปสอบถามกับหลวงพ่อมหาวิบูลย์ หลวงพ่อมหาวิบูลย์จึงบอกว่า ในตอนนั้นกำลัง ลงจารวัตถุมงคลด้วยวิชา นะปัดตลอด ซึ่งท่านได้ร่ำเรียนมาจากหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเหรียญที่ทะลุจากผนังห้องออกมาอาจจะเป็นผลพลอยได้จากอานุภาพของวิชาที่ท่านกำลังใช้อยู่
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฮือฮามากในหมู่ศิษย์ครับ
    เหรียญแลกชีวิตเมื่อหลายปีก่อนมีโอกาศไปกราบหลวงมหาวิบูลย์ได้ไปฟังธรรมะหลายๆอย่างจากท่านท่านเมตตาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากมายทั้งที่เป็นธรรมะ
    และเรื่องตื่นเต้นเร้นลับ (หากมีเวลาจะเอามาเล่าให้ฟัง)
    ในวันนั้นผมได้นำเหรียญพระพุทธสิหิงค์ ปี 2537
    ไปให้ท่านเมตตาอธิษฐานจิตเพิ่มให้พร้อมๆกับของเพื่อนๆ
    เมื่อท่านอธิษฐานจิตเสร็จท่านก็หยิบเหรียญนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่าเหรียญนี้บางคนก็เรียกว่าเหรียญแลกชีวิตแล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีคนในแม่สอดมาเล่าให้ท่านฟังว่ามีชาวกระเหรี่ยงได้รับแจกเหรียญนี้ไปด้วยความศรัทธาท่านจึงนำไปห้อย แล้วเกิดการหักหลังกันในกลุ่มจึงโดนตามล่า หนีไปได้หลายครั้ง สุดท้ายก็ไปไม่รอดถูกจับได้ แล้วเค้าจับเอามือมัดไพล่หลัง เอาจ่อปืนยิงหัวแต่ยิงเท่าไรก็ไม่ได้ สุดท้ายคนยิงก็ล้วงเอาพระออกมาเมื่อเห็นเป็นพระท่านก็ได้สติและบอกกับคนที่ถูกยิงว่าจะให้โอกาศในครั้งนี้แต่จะต้องถอดเหรียญให้เค้า
    เพื่อแลกกับชิวิตในครั้งนี้และต้องหายไปอย่ามาให้เค้าเห็นหน้าอีกจึงเป็นที่มาของชื่อเหรียญแลกชีวิตท่านพระอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระ นิพพานแล้ว ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก และองค์ท่านอมชมพู มีรัศมี เหมือนพระอรหันต์จะนิพพานแล้ว และนิพพานอย่างสงบ ทรงสติสัมชญะสมบูรณ์มาก
    หลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก เป็นเจ้าอาวาส รูปแรกของวัดโพธิคุณ (วัดห้วยเตย) ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๑ หลวงพ่อท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัด มีระเบียบวินัยและอีกทั้งเป็นนักพัฒนาอีกด้วย ตลอดที่ท่านอยู่กับวัดโพธิคุณ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด โดยไม่ได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยใด ๆทั้งสิ้นและยังมีลูกศิษย์อีกมากมายพร้อมใจกันมาร่วมสร้างวัดให้เจริญให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลายรูป เช่น - หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต เจ้าอาวาสวัดอริยวงศาราม จังหวัดราชบุรี ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต - พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสอินทปญฺโญ) สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับโอวาทจากพระเดชพระคุณท่าน - พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ (หลวงพ่อเตียงเนกขมฺโม) วัดเขารูปช้าง จังหวัดพิจิตร ได้ศึกษาวิทยาคมที่ได้สืบทอดมาจากหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร และศึกษาการทำตะกรุดจากท่าน - หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ได้ศึกษาธรรมะและเข้าถึงสมาธิตลอดทุกอิริยาบถอย่างเคร่งครัด และยังได้ศึกษาจากพระครูสังฆรักษ์ (ชม อนํคโณ) วัดเขานันทาพาสุภาพ จังหวัดปราจีนบุรี) พระครูวิสุทธาจารเณร (เทียม สิริปญฺโญ) วัดกษัตราธิราช จังหวัดอยุธยา และพระโพธิญาณเถร (ชา สภทฺโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี , หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อเจ้าคุณทักษิณคณิสร วัดอินทาราม พระผู้สร้างพระเพชรหลีกเพชรกลับอันโด่งดัง พระ อาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระนิพพานแล้ว ในวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก มีลูกศิษย์หลายท่าน ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลจากหลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ แต่จะให้สร้างเฉพาะพระพุทธเท่านั้น และเหรียญพระพุทธ รุ่นแรกของท่าน (เหรียญรัตนรังสี) ก็เป็นที่นิยมและต้องการ ในเหล่าลูกศิษย์ที่เคารพรักท่าน ลพ.ฯจะไม่อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปของท่าน จนกระทั้ง ปี๒๕๓๘ ซึ่ง ลพ.ฯมีอายุครบ ๖๐ปี ท่านได้รับการขอร้องจากลูกศิษย์ ขอสร้างวัตถุมงคล ที่มีรูปของท่าน คือเหรียญ รูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน จัดทำโดย กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์วัตถุมงคลต่างๆหลายรุ่นของหลวงพ่อ มักจะถูกกำหนดให้ สร้างขึ้นเนื่องในงานพิธีต่างๆ เช่น งานทอดกฐินของวัดโพธิคุณ , เนื่องในงานวันเกิดของหลวงพ่อ ๕ มีนาคม ของทุกปี และในงานสำคัญอื่นๆครับ
    ชาติภูมิ
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เกิดที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (โพธิ์ทะเลเดิม) จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ บิดามารดาประกอบอาชีพด้วยการทำนาเช่นชาวนาชนบททั้งหลายในสมัยนั้น
    ท่านมีพี่น้องร่วมอุทร ๔ คน เป็นหญิง ๒ ชาย ๒ ท่านเป็นบุตรคนโต
    อยากบวชมาตั้งแต่เด็ก
    ท่านเปิดเผยว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ท่านอยากจะบวชเป็นสามเณร เป็นพระภิกษุมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ขัดที่เป็นลูกชายคนโตถ้าท่านออกบวชทางครอบครัวก็จะไม่มีคนช่วยทำงาน
    ความอยากที่จะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปยังวัดพระศรีมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในประเทศไทย โดยท่านบอกว่า
    “ อาตมาได้ไปเห็นพระพุทธชินราชในครั้งนั้นแล้ว เกิดความเลื่อมใสศรัทธามนพระศาสนามากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้หลวงพ่อพระพุทธชินราชช่วยให้อาตมาได้บวชเถิด ถ้าบวชแล้วจะไม่สึกตลอดชีวิต ”
    ...อย่างไม่คาดคิด
    ปีที่ท่านจะได้บวชเป็นสามเณร ทั้ง ๆ ที่มีอายุ ๒๐ แล้ว แต่ยังไม่ครบปีดี เพราะท่านเกิดปลายปี มีเหตุอยู่ว่า
    ในปีนั้นท่านไปทำนาอยู่กับโยมผู้ชายของท่าน และในขณะนั้นฝนตกชุก ปลาพล่านไปมา ก็เลยนึกอยากจะทำลอบดักปลาจึงไปเอาไม้ไผ่มาเหลาเป็นซี่ลอบ
    แต่เมื่อท่านกำลังนั่งเหลาซี่ลอบอยู่ดี ๆ นั้น เกิดเป็นตะคริวขึ้นที่มือ ทำให้ไม่สามารถจะเหลาไม้ไผ่ต่อไปได้ ท่านจึงเรียกน้องชายของท่านให้ช่วยมาบีบนวดมือให้
    “ แล้วอาตมาก็หมดความรู้สึกไปตั้งแต่เช้า มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเที่ยงคืน
    โยมแกก็ถามว่า อาตมาไปบนอะไรไว้บ้าง อาตมาก็บอกไปตามความจริง แกเลยพูดขึ้นว่า ถ้าอยากบวชถึงขนาดนี้ก็บวชไป อาตมาก็เลยได้บวชสมกับที่ปรารถนามาช้านาน ”
    แต่การบวชครั้งนั้นเป็นเพียงบรรพชาเป็นสามเณร โดยท่านได้ไปบรรพชาที่วัดไผ่ท่าโพธิ์มี พระครูธรรมาภิรัตน์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ครั้นบวชเณรได้พรรษาหนึ่งท่านก็เริ่มไปศึกษานักธรรมบาลีที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตร จนใกล้จะสอบก็ต้องสึกเพราะโยมผู้ชายของท่านเกิดเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน !
    ฝันประหลาด
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ เล่าถึงคืนที่โยมผู้ชายจะเสียชีวิตว่า
    ในคืนนั้นท่านซึ่งกำลังป่วยหนักด้วยไข้รากสาดได้เกิดไข้สูงกว่าทุกวัน ทั้งท้องเดิน ทั้งอาเจียนจนคล้ายจะสลบไป ก็มียมทูตจำนวนสี่นายล้วนนุ่งผ้าแดง ตัวเปล่าเปลือยรูปร่างกำยำสูงใหญ่ จะเข้ามาจับท่าน
    ท่านเห็นท่าไม่สู้จะดีก็ออกวิ่งหนีไปถึงหนองน้ำแห่งหนึ่งจึงกระโดดลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้กองผักตบชวา
    ยมทูตตามท่านมาถึงหนองน้ำก็กระโดดลงไปในหนองน้ำนั้น ๓ นาย เหลืออีกนายหนึ่งให้ยืนเฝ้าปากทางไว้ ซึ่งท่านเล่าถึงตอนนี้ว่า
    “ อาตมาคำนวณดูกำลังเห็นว่ายมทูตในน้ำมีถึง ๓ คน เห็นจะสู้ไม่ไหว ก็ตัดสินใจผละจากกองผักตบชวาขึ้นจากหนองน้ำไปสู้กับยมทูตที่เฝ้าปากทาง
    ยมทูตคว้าอาวุธจะมาทำร้ายอาตมาแย่งมาได้ ก็พอดีรู้สึกตัวแล้วก็หายป่วยแต่นั้นมา ”
    ในคืนเดียวกันนั้นเอง โยมผู้ชายของท่านก็ฝันไปว่า เห็นใครก็ไม่ทราบมีจำนวน ๔ คน ไล่จับสามเณรลูกชายของตน แล้วเอาโซ่เหล็กมามัดตัว พลางถามสามเณรว่า “ รับได้ไหม? รับได้ไหม? ”
    ฝ่ายโยมผู้ชายเมื่อเห็นเขาทรมานลูกชายเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ก็เลยหันมาถามลูกของตนว่า
    “ เณรรับเขาได้หรือไม่ได้ก็บอกเขาเถิด ”
    “ ในฝันของโยมผู้ชายนั้นแกบอกว่า อาตมาว่ารับได้
    พอบอกว่ารับได้เท่านั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่ทราบ มาจับตัวอาตมาพุ่งลงแม่น้ำไป
    โยมผู้ชายก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ปลุกโยมผู้หญิงแล้วเล่าให้ฟังไว้ พอวันรุ่งขึ้นโยมผู้ชายก็เสียเลย !” ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่า
    มันตรัย
    เป็นที่รู้จักกันดี
    อุปสมบท
    เมื่อจัดการฌาปนกิจศพบิดาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ช่วยมารดาของท่านเกี่ยวข้าว เพราะในปีนั้นทางบ้านทำนาไว้มากไม่มีกำลังคนจะเกี่ยวข้าวเพียงพอ ครั้นเกี่ยวข้าวเสร็จอายุท่านก็ครบเป็นพระได้
    ตามปกติธรรมดาของชาวชนบทในสมัยนั้น เมื่อบ้านใดจะบวชลูกชาย ก็จำต้องป่าวประกาศเชิญแขกเหรื่อมาในงานทำขวัญนาค และมารดาของท่านอาจารย์วิบูลย์ก็ต้องการที่จะจัดงานเช่นนั้น โดยเตรียมเครื่องอัฐบริขารไว้แล้วจะไปเชิญหมอทำขวัญนาค
    แต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้ชิงบอกแก่มารดาของท่านในตอนนั้นเสียก่อนว่า ท่านต้องการบวชเงียบ ๆ และจะไปบวชเองเพียงแต่ขอให้มารดาอนุญาตเท่านั้นมารดาท่านก็นิ่งอั้น
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ก็หอบเครื่องอัฐบริขารไปที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก โดยลำฟัง แต่มารดาของท่านได้ตามไปทันในวันรุ่งขึ้น
    ก่อนที่จะบวชในคืนนั้นท่านพักอยู่ที่ศาลา โกนศีรษะเรียบร้อยแล้ว ท่านหลับไปก็ฝันว่า ไปพบบิดาที่หน้าประตูโบสถ์
    ในความฝันนั้นท่านเป็นนาคแล้วโดยนุ่งขาวห่มขาวเป็นอันดี
    ท่านเห็นบิดาของท่านมายืนอยู่เช่นนั้น ก็กล่าวชวนว่า
    “ พ่อเข้าไปในโบสถ์ด้วยกันเถิด ” แต่บิดาไม่ยอมพูดด้วย ท่านก็นึกเสียใจว่าทำไมบิดาไม่ยอมพูดไม่ยอมเข้าไปในโบสถ์ร่วมบวชท่าน
    ในฝันนั้นท่านนึกเสียใจจนร้องไห้ออกมา ครั้นตื่นขึ้นหมอนหนุนศีรษะเปียกน้ำตาไปหมด
    รุ่งขึ้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๙ ท่านก็อุปสมบท ณ วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร มี ท่านพระครูวิเศษธัมมวินิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    มุ่งมั่นบุกบั่นเรียน
    ครั้นท่านอุปสมบทบทเป็นพระนวกะที่วัดชัยมงคลแล้ว ก็เรียนทั้งบาลีและนักธรรมควบคู่กันไป
    ตามธรรมดานั้นพระนวกะจะต้องเรียนถึง ๓ ปี จึงจะสมัครสอบบาลีได้ แต่ท่านอาจารย์วัดชัยมงคลเห็นท่านเรียนเก่ง พอเรียนได้ ๒ ปี ก็ให้ท่านเข้าสอบนักธรรมตรีกับเปรียญ ๓ ผลปรากฏว่าท่านสอบนักธรรมตรีได้ แต่สอบเปรียญ ๓ ตก ท่านเล่าว่า
    “ พอสอบตกอาตมาอายเขาก็หนีมาจำพรรษาที่วัดค้างคาวจังหวัดลพบุรี มาเรียนบาลีที่วัดบัวเรียนได้พรรษาหนึ่ง ก็เข้าสอบนักธรรมโทคู่กับเปรียญ ๓
    ผลออกมาสอบได้นักธรรมโทแต่ตกเปรียญ ๓ อีก อาตมาก็ลงมากรุงเทพฯ มาพำนักอยู่วัดอินทาราม ตลาดพลูนี้ เมื่อปี ๒๕๐๑ ตั้งใจว่าจะเรียนเปรียญให้จงได้ถ้าเรียนไม่ได้ก็ให้ตายหมดเรื่องไป
    จึงพยายามมุมานะดูหนังสือแต่เกิดป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบเสียอีก ต้องเข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัดไส้ติ่ง
    หลังจากผ่าตัดแล้วก็มุมานะเรียนบาลี ก็สอบได้เปรียญ ๓
    จากนั้นก็เรียนต่อจนถึงปี ๒๕๐๔ โดยเรียนนักธรรมเอกกับวิชาครูที่กรมฝึกหัดครู ซึ่งสมัยนั้นเขาเปิดรับพระเณรเข้าเรียนได้ ก็สอบได้นักธรรมเอกและวิชาครู จึงเลิกเรียน แล้วไปเรียนพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ของท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ อยู่พรรษาหนึ่ง ”
    ไม่เชื่อก็ต้องลอง
    ผู้เขียนได้นมัสการกราบเรียนถามท่านถึงสาเหตุที่มาปฏิบัติธรรมทั้ง ๆ ที่เป็นพระนักศึกษามาก่อน ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เปิดเผยว่า
    “ สาเหตุที่อาตมามาปฏิบัตินั้น เพราะเคยเข้าใจว่าธรรมะอยู่ที่การเรียน คือการศึกษาเล่าเรียนอาจจะทำให้เข้าใจธรรมะดี
    แต่เรียน ๆ ไปจนได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก และมหาเปรียญแล้วก็รู้สึกเหมือนเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดสุขก็ยังสุข ทุกข์ก็ยังทุกข์จิตใจไม่ดีขึ้น ก็เลยมาค้นหาธรรมะ ว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร
    ตอนนั้นอาตมาเกิดอคติต่อธรรมะ คือแทบไม่เชื่อว่าธรรมะนั้นมีจริง ! คิดว่าเป็นเพียงตัวหนังสือที่ชาวบ้านเขาเขียนกันขึ้นมาให้คนเรียนเท่านั้น
    อาตมาเข้าใจอย่างนั้น มีความเห็นผิดขนาดนั้น ! ต่อมาจึงได้ตัดสินใจ หลังจากได้ยินท่านพระครูประกาศพูดบ้าง ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ้าง
    ครูบาอาจารย์ที่รู้จักมักคุ้นโดยเฉพาะ “ หลวงพ่อใหญ่ ” (ท่านเจ้าคุณวิเชียรมุนี) เจ้าอาวาสวัดอินทารามสมัยโน้น ท่านเป็นพระภาวนาแต่เป็นพระสันโดษ ท่านไม่ค่อยพูด อยู่เงียบ ๆ ท่านเรียกไปพูดให้ฟังก็เลยลองตัดสินใจภาวนาจากตำรา
    มานั่งภาวนาอยู่ในกุฎิคืนหนึ่ง ผลก็คือรู้จักเหตุรู้จักผลดีขึ้น จิตใจสงบลง
    อาตมาภาวนาโดยใช้เพ่งกสิณเพ่งน้ำอยู่คืนหนึ่ง รู้สึกสบายดี ก็เลยตั้งใจจะลองภาวนาดูสัก ๖ เดือน ถ้า ๖ เดือน ไม่รู้อะไรเลยก็จะเลิกแล้ว ไม่เชื่อแล้วธรรมะนี้ ”
    ปฏิบัติกันขั้นอุกฤษฏ์
    เมื่อท่านอาจารย์มหาวิบูลย์พุทธญาโณ ตัดสินใจเช่นนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติและปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง โดยใช้คำภาวนา “ พุท-โธ ” บ้างใช้ภาวนา “ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ” บ้าง
    แต่ส่วนมากใช้ อาโปกสิณ หรือไม่ก็ เตโชกสิณ ท่านบอกว่าเป็นวิธีที่ง่ายหน่อย รวมจิตเร็ว
    การปฏิบัติของท่านอาจารย์มหาวิบูลย์นั้น ท่านปฏิบัติอยู่ในสามอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง ไม่มีการนอนตลอด ๖ เดือน !
    ยืนก็ภาวนา เดินก็ภาวน นั่งก็ภาวนา เพ่งกสิณบ้าง ถึงกระนั้นท่านยังบอกว่าสองเดือนแรกไม่เห็นผลอะไร พอเข้าเดือนที่สามจึงรู้สึกจะได้ผลดี จิตมีความรู้แปลก ๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็เกิดรู้ขึ้น อะไรที่แปลกปลอมเข้ามา จิตก็เริ่มรู้ทันเร็วขึ้น ธรรมะที่ไม่เคยเรียนรู้ก็ผุดขึ้นมาในใจ
    การปฏิบัติของท่านตอนนั้นทำให้สุขภาพทรุดโทรม ร่างกายผ่ายผอม แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ท่านต้องการเห็นธรรมะ ท่านต้องการรู้ธรรมะ แม้ตัวจะตายท่านก็ยอม
    “ พออาตมาปฏิบัติได้ครบ ๖ เดือนก็เข้าป่า ” ท่านบอก
    การธุดงค์ครั้งแรก
    ครั้งแรกที่ท่านแบกกลดสะพายบาตรออกจากวัดอินทารามตลาดพลูนั้น ท่านธุดงค์ไปอยู่ที่เกาะสีชัง โดยถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด
    เมื่อไปอยู่เกาะสีชังพักหนึ่งเห็นผู้คนชักจะพลุ่กพล่าน ท่านก็หนี ธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนือ ท่องเที่ยวหาวิเวกไปตั้งแต่พิษณุโลก แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่
    ท่านบอกว่า “ อาตมาไม่ได้ไปแต่แม่ฮ่องสอนเท่านั้น ”
    การธุดงค์ของท่านนั้นปฏิบัติเป็นประจำทุกปี นับแต่ พ.ศ.๒๕๐๖ ถึงปัจจุบันนี้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกหันข้าง ๖๐ ปี หลวงพ่อมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก
    เป็นเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกรุ่นเดียวที่ท่านอนุญาตให้สร้าง
    ( รุ่นอื่นจะเป็นพระพุทธรูปหรือ รูปเหมือน ด้านหลัง)

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ มี เหรียญครับ

    เหรียญที่ ๑ (ปิดรายการ)

    IMG_20250526_004115.jpg IMG_20250526_004134.jpg

    เหรียญที่ ๒(ปิดรายการ)

    IMG_20250526_004158.jpg IMG_20250526_004237.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2025 at 14:20
  3. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,212
    จองเหรียญที่ 2 ครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748249896037.jpg

    อาจารย์บุญหนา ทวีจิตร อาศรมแดนธรรมฆารวาสผู้สำเร็จวิชาปรอกหมอกหนาวศิษย์องค์ หลวงปู่เทพโลกอุดร พระผงที่มีอานุภาพป้องกันเชื้อโรคระบาดและดูดสารพิษต่างๆ สร้างจากผงว่านวิเศษกายสิทธิ์ในป่าลึก ตามคำสั่งของหลวงปู่เทพโลกอุดรเพื่อช่วยมนุษย์โลก พระสมเด็จผงว่านกายสิทธิ์ดูดสารพิษและเชื้อโรค หลังรูปหลวงปู่เทพโลกอุดรสร้างขึ้นตามคำสั่งของหลวงปู่เทพโลกอุดร เพื่อช่วยมนุษย์โลกให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ โดย อ.ปู่บุญหนา ทวีจิตร อาจารย์ฆราวาสผู้เฒ่าศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร)))
    สร้างขึ้นจากต้นว่าน ๑๒ ราศรี (ว่านกายสิทธิ์เทพรักษาในป่าลึก มีคุณวิเศษด้านดูดสารพิษและเชื้อโรคต่างๆ)
    -ผสมกับผงพุทธคุณ ๑๐๘
    -และมวลสารว่านยาต่างๆ
    พุทธาภิเษกใหญ่ภายในถ้ำที่หลวงปู่ใหญ่เคยจำพรรษา
    โดยอาราธนาบารมีหลวงปู่ใหญ่มาเป็นประธานประกอบพิธีโดย ท่านอาจารย์ปู่ บุญหนา ทวีจิตรผู้เคยอยู่ในป่ากับหลวงปู่ใหญ่ ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี*ปัจจุบันนี้..ท่านอาจารย์ปู่บุญหนามีอายุ ๗๒ ปี*พุทธคุณและอานุภาพ
    -ป้องกันโรคระบาดทุกชนิด
    -ใช้อาราธนาทำน้ำมนต์รักษาโรคต่างๆ
    -สามารถช่วยดูดสารพิษที่อยู่ในอาหารน้ำดื่ม
    -ป้องกันสารพิษและเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศ
    - ดูดสารในร่างกายของเรา - เมตตามหานิยม
    - แคล้วคลาดปลอดภัย
    - มีลาภมาหาไม่ขาดสาย
    อาจารย์ปู่บุญหนา ได้เมตตาพูดให้ฟังว่า
    หลวงปู่ใหญ่ท่านบอกว่า หากต่างประเทศเขาเกิดรบกันด้วยอาวุธต่างๆ ซึ่งต้องยิงข้ามประเทศ หรือเกิดระเบิดบนฟ้า ก็จะมีสารพิษ แก๊สพิษต่างๆ หรือเชื้อโรคปะปนมากับอากาศถ้าเรามีพระว่านดูดสารพิษอยู่ที่ตัวหรือที่บ้านก็จะสามารถช่วยไม่ให้สารพิษเข้ามาถึงเราได้
    ในระยะ 10 เมตร สารพิษจะเข้ามาไม่ได้เลย*การเลี่ยมบูชาติดตัว เราควรเจาะรูเล็กๆไว้ที่กรอบองค์พระด้วยครับเพื่อองค์พระจะสามารถดูดสารพิษได้ครับ*
    พระชุดนี้สร้างขึ้นตามคำสั่งของหลวงปู่ใหญ่เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานที่เคารพนับถือองค์ท่านถึงจะราคาไม่สูง แต่มีอานุภาพมากเกินประมาณเนื่องจากมวลสารพระสร้างจากผงว่านวิเศษ และว่านยาล้วนๆ กดพิมพ์ด้วยมือทุกองค์ พระบางองค์จึงมีรอยราน หรือบิ่นงอบ้าง แต่พุทธคุณสุดประมาณครับหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านได้จิตสื่อสาร อาจารย์บุญหนา ทวีจิตร ให้สร้างพระสมเด็จนี้ขึ้นเพื่อช่วยเหลือปกป้องมวลมนุษย์จากภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งภัยพิบัติจากสารพิษ มลภาวะต่างๆ ที่ไม่ดีต่อร่างกายมนุษย์
    องค์หลวงปู่ใหญ่บรมครูหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งท่านได้เตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นต่อมวลมนุษย์
    ซึ่งหลวงปู่เทพโลกอุดรปรากฏในนิมิตรให้อาจารย์บุญหนาสร้างเพื่อแจกให้ศิษยานุศิษย์ไปบูชา ให้หลวงปู่ได้ปกปักรักษาผู้ใดบูชาติดตัว ผู้นั้นจะรอดจากภยันตรายต่างๆ สารพิษ และโรคภัยไข้เจ็บ
    เนื้อมวลสารผงผสมว่าน มวลสารศักดิ์สิทธิ์มงคลอาถรรพ์ต่างๆ มากเข้มข้นที่สุด ซึ่งป้องกันปกปักรักษาได้สารพัด
    พระสมเด็จผงว่านกายสิทธิ์ดูดสารพิษและเชื้อโรค อ.ปู่บุญหนา ทวีจิตร ท่านสร้างขึ้นตามคำสั่งหลวงปู่เทพโลกอุดรเพื่อช่วยมนุษย์โลก สร้างจากว่านกายสิทธิ์ที่มีคุณวิเศษดูดเชื้อโรคและสารพิษต่างๆ ทั้งในน้ำ อากาศ อาหาร ฯลฯเหมาะกับการนำไว้ติดตัว ติดบ้าน เพื่อป้องกันโรคระบาดที่กำลังส่งผลในปัจจุบันนี้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จดูดพิษอาจารย์บุญหนา
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250524_204223.jpg IMG_20250524_204301.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    วันนี้ จัดส่ง
    1748262995948.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748253200361.jpg

    หลวงพ่อมี เขมธัมโม ผู้สำเร็จอสุภกรรมฐานหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แล้วยังสำเร็จเตโชกสิณ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และสืบทอดวิทยาคมมาจากหลวงพ่อเขียน พระอาจารย์ชาวรามัญ วัดบ้านพร้าวนอก จนได้สมาธิจิตและ “ฌาน” ขั้นสูง ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมอิทธิมงคลที่ผ่านการปลุกเสกจากหลวงพ่อมี จึงล้วนใช้ได้ผลประสิทธิภาพเข้าขลัง และความมีวิทยาคมเก่งกล้ารักษาโรค แก้คุณไสยกระทำย่ำยีต่าง ๆ ขับไล่คุณไสยด้วยพระเวทวิทยาคม สมกับสมญานามที่ว่า
    “พระเถราจารย์จอมขมังเวท แห่งวัดมารวิชัย ทุกประการ
    พระสมเด็จสิงห์ป้อนเหยื่อ
    มวลสารประกอบด้วยดินโป่ง 7 โป่ง ดินท่า 7 ท่าดินเสาหลักเมือง 7 หลักเมือง ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธานพระอุโบสถ ดอกกาหลง ยอดสวาท ยอดรักซ้อน ขี้ไคลเสมา ขี้ไคลประตูวัง ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ พลูร่วมใจ พลูสองหาง กระแจะตะนาว จ้ำมัน 7 รส และดินสอพอง มาผสมกัน ป่นละเอียด เจือน้ำ ปั้นเป็นแท่งดินสอ หลังจากนั้น ท่านก็จะทำการเขียนยันต์แล้วลบเป็นผงวิเศษ 5 ประการ หลวงปู่มี ท่านจะกระทำในพระอุโบสถ เตรียมเครื่องสักการะ หน้าพระประธาน กล่าวคาถาอัญเชิญครู ประกาศอัญเชิญเทพยดา ทำประสะน้ำมนต์พรมตัว เรียกอักขระเข้าตัว และอัญเชิญครูเข้าตัว แล้วเริ่มนำแท่งผงดินสอที่ผสมไว้มาเขียนสูตรยันต์ลงบนกระดานชนวนแล้วลบเป็น “ผงปถมัง” มีอานุภาพ หลายด้าน แต่หนักไปทาง คงกระพันชาตรี มหาอุตม์ แคล้วคลาด กำบังล่องหนและป้องกันภูตผีปีศาจและคุณไสย เสร็จแล้วก็นำผงปถมังที่ลบแล้วมาปั้นเป็นดินสอแล้วเขียนสูตร ลบผงเป็น ”ผงอิธะเจ” มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยมอย่างสูงรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วยเสร็จแล้วก็ นำผงอิธะเจ ที่ลบแล้วมาปั้นเป็นดินสอแล้วเขียนสูตร ลบผง เป็น”ผงมหาราช” มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยมอย่าสูงป้องกันและถอนคุณไสย และแคล้วคลาด เสร็จแล้วก็นำผงมหาราช ที่ลบแล้วมาปั้นเป็นดินสอแล้วเขียนสูตร ลบเป็น”ผงพุทธคุณ” ให้อานุภาพด้านเมตตามหานิยมอย่างสูง กำบัง สะเดาะ และล่องหน เสร็จแล้วก็นำผงมหาราช ที่ลบแล้วมาปั้นเป็นดินสออีกครั้ง แล้วก็เขียนสูตร ลบเป็น”ผงยันต์ตรีนิสิงเห” หรือ “ยันต์นารายณ์ถอดรูป” แล้วยังมี”ยันต์พระควัมบดี” และ”ยันต์ตราพระสีห์” อานุภาพด้าน เมตตามหานิยมป้องกันถอนคุณไสย และภูตผี ป้องกันสัตว์เขี้ยวเล็บงา รักษาโรค อุบัติภัยอันตรายทั้งปวง..เป็นอันเสร็จสิ้นกรรมวิธีตามโบราณครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่มี ม่านได้ร่ำเรียนมา จึงบังเกิดเป็นผงวิเศษ ๕ ประการ อันวิเศษสุดขลังพุทธคุณครอบจักรวาล
    ผมสีดำคือแร่เหล็กน้ำพี้
    ความกตัญญูเป็นเลิศ
    ในการออกธุดงค์ครั้งแรกของหลวงพ่อมีนี้ แทนที่จิตใจของท่านจะบังเกิดความสงบต่อความสงัดงดงามของธรรมชาติภายในป่าเขาลำเนาไพร แต่ดวงจิตของท่านกลับร้อนรุ่มวุ่นวาย หาความสงบสบาย ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากท่านมีความเป็นห่วงเป็นใยในโยมมารดาของท่านเป็นอย่างมาก เกรงว่าเมื่อหนีท่านมาอย่างนี้แล้วจะไม่มีผู้ช่วยเหลือโยมมารดาทำไร่ไถนา แต่ถ้าจะกลับไปท่านต้องขอร้องให้สึก ไปช่วยทำนาอย่างแน่นอน แล้วการที่ตนจะบวชอุทิศส่วนกุศลไปให้กับโยมบิดาที่เพิ่งถึงแก่กรรมไปนาน ๆ คงจะไม่สมกับความตั้งใจเป็นแน่

    เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่ความสับสนวุ่นวายใจ เรียกว่าตลอดเวลา 2 เดือนเศษ ที่ออกธุดงค์มานั้นหาความสุขใจไม่ได้เลยแม้แต่เพียงวันเดียว แต่พอได้จากโยมมารดามานานจึงทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า ควรจะกลับไปช่วยโยมที่มีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยท่านทำไร่ไถนาและเลี้ยงดูท่านเป็นการทดแทนพระคุณจะดีกว่า แม้ว่าท่านจะให้ลาสิกขาก็ยอม
    ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงตัดสินใจบอกความจำเป็นกับหลวงตาปลั่ง และพระภิกษุที่ร่วมธุดงค์ไปด้วยกัน ซึ่งทุกท่านก็มีความเห็นใจจึงพร้อมใจกันถอนกลด เดินทางกลับสู่วัดมารวิชัยในเช้าวันรุ่งขึ้น

    ดีใจสุดชีวิต
    คณะธุดงค์กลับถึงวัดเมื่อปลายเดือน 3 ในปี พ.ศ. 2476 โยมมารดาของหลวงพ่อมีดีใจมากที่ท่านจะกลับมาช่วยทำงาน แต่ท่านก็มีความเข้าใจในกุศลและเจตนาของหลวงพ่อมีอย่างลึกซึ้งว่า ท่านตั้งใจอยู่ในสมณะเพศ โดยไม่ใช่บวชหนีงาน แต่เป็นการบวชอุทิศเพื่อต้องการแผ่กุศลผลบุญให้กับโยมบิดา ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่จะมีบุตรกตัญญูเช่นหลวงพ่อมีภายในหมู่บ้านนี้ โยมมารดาจึงมีความยินดีอนุโมทนาสาธุ อนุญาตให้หลวงพ่อมีครองเพศบรรพชิตต่อไป โดยกล่าวว่า
    “เมื่ออยู่ได้ ก็อยู่ไปนาน ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไร่นาแม่จะทำแต่น้อยให้พอกินพอใช้เท่านั้น”
    จากคำพูดเพียงสั้น ๆ ของโยมมารดา ทำให้หลวงพ่อมีบังเกิดความปิติตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งท่านบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวตน ไม่เคยมีความดีใจอย่างใหญ่หลวงเท่ากับความดีใจ ครั้งกระนั้นเลย ดังนั้นหลวงพ่อมี จึงตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยด้วยตนเอง พร้อมกับไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อปานวัดบางนมโค เพื่อศึกษาพระเวทวิทยาคม การรักษาโรค ตลอดทั้งการปฏิบัติสมถะ และวิปัสสนากรรมฐานอยู่ 5 ปี ซึ่งในระหว่างเข้าพรรษาก็กลับมาเข้าพรรษาที่วัดมารวิชัยตามเดิม
    ส่วนเวลากลางวันก็มาช่วยหลวงพ่อปานรักษาโรคคนไข้บ้าง ติดตามท่านไปสร้างกุฏิวิหารยังวัดอื่นๆ บ้าง ช่วยสร้างเขื่อนที่หน้าวัดบางนมโคบ้าง เพราะระยะทางจากวัดบางนมโคและวัดมารวิชัยไม่ไกลเท่าใดนัก การเดินทางไปกลับก็สะดวกพอสมควร และเมื่อถึงคราวออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ก็กราบลาหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อจงก่อนออกธุดงค์ทุกปี

    การธุดงค์ครั้งที่ 2
    ปลายปี พ.ศ. 2476 หลวงพ่อมีติดตามหลวงตาปลั่งออกธุดงค์ไปเขาวงพระจันทร์ ลพบุรี เป็นการออกธุดงค์ครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้ภายในดวงจิตของท่านไม่มีสิ่งใดต้องคอยห่วงกังวลอีกแล้ว การออกจาริกแสวงบุญ เพื่อหาความสงัดวิเวกของท่านจึงเป็นการค้นหาสัจจะธรรมอันแท้จริงของมนุษย์ เพื่อให้ดวงจิตบังเกิดมีศีล คือรู้จักการละซึ่งอาสวะแห่งกิเลสให้เบาบางลง จนบริสุทธิ์หลุดพ้นจาก วัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป อีกทั้งยังเป็นการบำเพ็ญตบะให้สมาธิจิตมีพลังกล้าแข็งแก่กล้ายิ่งขึ้น
    ดังนั้น การที่จิตใจของหลวงพ่อมี ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงกังวล ท่านจึงปฏิบัติธรรมทางจิตใจได้ผลก้าวหน้าดีอย่างเกินคาด ประกอบกับท่านสำเร็จอสุภกรรมฐานมาใหม่ ๆ ท่านจึงใช้เวลาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นขณะที่กำลังเดิน นั่งพักผ่อน หรือจำวัด ภายในกลดยามค่ำคืน หลวงพ่อมี ได้กำหนดอารมณ์ภาวนาอานาปานา นุสสติกรรมฐาน คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับภาวนาว่า “พุท-โธ” อยู่ตลอดเวลา ควบคู่กับการพิจารณาขันธ์ 5 และกำหนดนิมิตเทียบเคียง แห่งซากอสุภ มาเป็นกสิณ เปรียบเทียบกับร่างกายของตนเองอยู่ทุกขณะจิต

    เป็นพระอาจารย์นำธุดงค์
    ในปลายปี พ.ศ. 2477 หลวงพ่อมีออกธุดงค์เป็นครั้งที่ 3 มาคราวนี้หลวงตาปลั่ง ไม่ได้เป็นผู้นำทางเพราะท่านชราภาพมาก เนื่องจากมีอายุถึง 70 ปีแล้ว หลวงพ่อมีจึงต้องเป็นอาจารย์นำคณะธุดงค์ไปยังเขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรีอีกครั้ง การได้เป็นผู้นำไปธุดงค์คราวแรกของหลวงพ่อมี พระภิกษุร่วมคณะยังไม่ค่อยจะเชื่อใจท่านเท่าใดนัก เพราะมีพรรษาวัยแค่ 3 พรรษาเท่านั้น รวมพระภิกษุในคณะธุดงค์ครั้งนั้น 5 องค์ด้วยกัน
    เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติ

    ผจญช้างแม่ลูกอ่อน
    แต่แล้วเหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อคณะธุดงค์กำลังเข้าสู่แนวป่าทึบก็ประจันหน้าเข้ากับช้างแม่ลูกอ่อนอย่างกระชั้นชิด
    ช้างซึ่งมีลูกอ่อนตามมาด้วย หยุดชะงักชูงวงขึ้นพุ่งตัวสู่พระธุดงค์ทั้ง 5 ด้วยความประสงค์ร้าย จึงทำให้พระธุดงค์ที่ร่วมคณะหลวงพ่อเผ่นหนีเข้าข้างทางด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ส่วนหลวงพ่อมีจะเลี่ยงหลบเข้าข้างทางก็ไม่ทัน เพราะยืนใกล้ช้างมากที่สุด ท่านจึงยืนสำรวมจิต เผชิญหน้ากับช้างแม่ลูกอ่อน นิ่งอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 นาที พลังจิตและเวทวิทยาคมที่ร่ำเรียนมาใช้ได้ผล ช้างแม่ลูกอ่อนซึ่งธรรมชาติวิสัยอันดุร้ายก็ค่อย ๆ ถอยกลับไปทางริมป่า ไม่ทำอันตรายหลวงพ่อมีที่ยืนบริกรรมพระคาถา เป็นการเปิดทางให้พระธุดงค์ไปกันก่อน แล้วจึงพาลูกน้อยค่อย ๆ เดินทางไปภายหลัง

    เริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่พรรษา 3
    พระธุดงค์ไปถึงจุดหมายปลายทาง คือ เขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรีแล้วกก็เดินธุดงค์กลับวัดมารวิชัย โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นอีก เมื่อเดือน 5 ของต้นปี พ.ศ. 2478
    ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กิตติศัพท์การมีวิทยาคมแก่กล้าของหลวงพ่อมีที่สามารถปราบช้างแม่ลูกอ่อนให้เกรงกลัว จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อมีอุปสมบทเป็นพระภิกษุมาได้แค่ 3 พรรษาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว พอหลวงพ่อมีประกาศว่าปีนี้จะธุดงค์ไปกราบนมัสการ พระบรมสารีริกธาตุที่ดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ จึงมีพระภิกษุทั้งภายในวัดมารวิชัยและวัดที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งมีความเชื่อถือในวิทยาคมของหลวงพ่อมี ขอติดตามท่านไปด้วยเป็นจำนวนมากถึง 25 องค์ด้วยกัน
    ก่อนที่หลวงพ่อมีจะเป็นอาจารย์นำพระภิกษุทั้งหลายออกธุดงค์ หลวงพ่อปาน ได้ถ่ายทอดวิชา “ร่มโพธิ์” ให้ใช้คุ้มคน ตลอดทั้งพระเวทวิทยาคมและเคล็ดลับอันสำคัญในการถือรุกขมูลต่าง ๆ ภายในป่าเขาลำเนาไพร แก่หลวงพ่อมีจนหมดสิ้นความรู้ เมื่อพระธุดงค์ทั้ง 25 องค์ ได้รับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์จากหลวงพ่อปาน และ หลวงพ่อจงแล้ว คณะธุดงค์ก็เริ่มออกเดินด้วยเท้าเปล่าไป จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีระยะทางเกือบพันกิโลเมตร ในปลายปี พ.ศ. 2478

    พบเสือโคร่งเฝ้าศาล
    คณะธุดงค์เดินทางออกจากอยุธยามุ่งตรงไปยังจังหวัดสระบุรี เมื่อนมัสการ พระพุทธฉาย แล้วก็เลยไปนมัสการพระพุทธบาท จากนั้นก็เข้าเมืองลพบุรีสู่เทือกเขาวงพระจันทร์ ที่อำเภอโคกสำโรง โดยไม่พบกับเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นใด ๆ ตลอดทางมาจนถึงเชิงเขาสาริกา ณ อำเภอบ้านหมี่ ชาวบ้านในละแวกนั้นเห็นพระธุดงค์พากันมาปักกลดที่เชิงเขาอยู่ที่หน้าศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณกว้างขวาง จึงมาตักเตือนพระธุดงค์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำและท่าทีที่มีความเคารพ เกรงกลัวขึ้นว่า
    ม้าขาว ของเจ้าพ่อที่เฝ้าศาลนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ในตอนกลางคืนมักปรากฏตัวออกมาเดินหน้าศาลอยู่เสมอ พระธุดงค์ที่ผ่านมาปักกลดหน้าศาลนี้ต้องทิ้งกลดเผ่นหนีในกลางดึกมามากแล้ว ขนาดชาวบ้านละแวกนี้ ยังไม่กล้าออกมาเดินหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินแล้ว หลวงพ่อมีทราบเรื่องจึงกล่าวเตือนบรรดาพระภิกษุทั้งหลายว่า คืนนี้ต้องมีความสำรวมให้มากและต้องเจริญภาวนาพระกรรมฐานให้หนัก เพราะว่าท่านจะขอชมบารมี
    ดังนั้นพระธุดงค์ทุกองค์จึงใจคอไม่ค่อยดีนัก เมื่อรู้ว่าคืนนี้จะต้องพบกับเสือโคร่งที่เฝ้าศาล จึงเข้ากลดไปนั่งสมาธิภาวนากันเงียบกริบด้วยความสำรวมตั้งแต่ยังหัวค่ำ
    ตกดึกของคืนวันนั้น สภาพบริเวณศาลเจ้าเงียบสงัดปราศจากเสียงร้องของสัตว์ใด ๆ นอกจากเสียงจักจั่น เรไร และเสียงจิ้งหรีดร้อง แล้วนาน ๆ ถึงจะได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนมาแต่ไกล ประกอบอากาศอันหนาวเย็นยะเยือกยามหน้าหนาว ยิ่งทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นเพิ่มความวังเวงอย่างน่าสะพรึงกลัวจนจับขั้วหัวใจพระธุดงค์ ที่กำลังเจริญภาวนาอยู่ภายในกลด
    โฮก...!
    ทันใดนั้น เสียงคำรามของเสือ ก็ดังกึกก้องขึ้นทำลายความเงียบ ทำให้พระธุดงค์ทุกองค์สะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน หลวงพ่อมีนั่งทำสมาธิภาวนานิ่งเฉยโดยปราศจากอารมณ์หวั่นไหว มองลอดกลดออกไปที่หน้าศาลก็เห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ค่อย ๆ เดินปรากฏตัวออกมา
    ร่างพญาเสือโคร่งกระทบกับแสงเดือนที่ขึ้นเหนือยอดต้นไผ่ จนตัวขาวโพลน แลดูแล้วคล้ายกับม้าขาวตัวใหญ่ไม่ผิดจากคำเล่าลือของชาวบ้าน พญาเสือโคร่งเดินวนไปมาที่ลานกว้างหน้ากลดหลวงพ่อมี อยู่ 3 รอบ จึงค่อย ๆ ย่างเดินอย่างน่าเกรงขามเข้าไปในศาล สักครู่หนึ่งต่อมาเสียงคำรามก็ค่อย ๆ เงียบหายไปในที่สุด
    หลวงพ่อมี เล่าเหตุการณ์ที่ท่านนำพระภิกษุออกธุดงค์มาพบเสือโคร่งที่เชิงเขาสาลิกามาถึงตอนนี้แล้ว ก็หัวเราะก่อนเล่าต่อไปว่า “พอ เสือเดินหายเงียบเข้าไปในศาลแล้ว ฉันก็หันไปมองข้างหลัง...พระที่ตามฉันไปถอดกลดกันเกือบหมด...บางองค์ตั้งท่า เตรียมสู้...บางองค์ก็เตรียมเผ่นหนีหน้าตื่นกันไปหมด...ฉันก็เลยหัวเราะบอก ว่า ปัดโธ่เอ๊ย หลวงพ่อเจ้าพ่อท่านมาให้ชมบารมีท่านไม่ทำร้ายเราหรอก จะไปสู้อะไรกับท่านได้”

    พบปาฏิหาริย์หลวงพ่อกบ
    ในเวลาเช้า ณ เขาสาริกา พระธุดงค์ที่นำโดยหลวงพ่อมีได้เตรียมตัวที่จะออกบิณฑบาตกันตามปกติ ขณะนั้นมีชายชราผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดขาวล้วน ๆ มาบอกว่า หลวงพ่อกบให้มานิมนต์พระคุณเจ้าทุกองค์ขึ้นไปฉันเช้าบนถ้ำเขาสาริกา หลวงพ่อมีจึงนำพระภิกษุทั้งหลายติดตามตาผ้าขาวขึ้นเขาในทันที เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อกบ ทั้งยังมีความตั้งใจจะขึ้นไปกราบนมัสการท่านอยู่ก่อนแล้ว
    เมื่อพระธุดงค์ทั้งหมดขึ้นไปถึงก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาพที่เห็นหลวงพ่อกบ ท่านได้จัดสำรับข้าวและแกงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ทราบว่าท่านไปหามาจากไหนในเวลาอันเช้าตรู่เช่นนี้ พอฉันเสร็จก็พากันไปนมัสการหลวงพ่อกบ ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าอังสะ กำลังนั่งยอง ๆ เอาสิ่งของโยนใส่กองไฟ เมื่อเข้าไปกราบหลวงพ่อกบ ท่านก็นั่งเฉยไม่เป็นธุระเอาแต่เผาไฟอยู่อย่างเดียว... ฉันจึงกราบท่านหลวงพ่อครับผมขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำทางธรรมบ้าง ท่านจึงหันมายิ้มแล้วพูดว่า.. “เรียนมากับหลวงพ่อปานนั่นดีแล้ว...ถูกแล้วปฏิบัติตามพระพุทธองค์ท่านไว้”...ดูซิฉันยังไม่ทันได้บอกท่านเลยว่าเป็นศิษย์ของหลวงพ่อปาน ท่านก็สามารถรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว... ต่อจากนั้น ท่านก็แนะนำหลักปฏิบัติธรรมบางอย่างให้และพูดถึงเรื่องการ เผาไฟของท่านว่า...
    “มันเป็นการเผากิเลสนะ...อ้ายพวกนั้นมันไม่เคยเห็นก็เลยตื่นกันใหญ่...เราจะทำยังไง ที่ไหน มันก็เหมือน ๆ กันทั้งนั้น มันอยู่ที่ใจ...” พอท่านพูดจบก็นั่งเฉยนิ่งไม่พูดไม่จากับใครอีก ฉันไม่อยากรบกวนการปฏิบัติธรรมของท่านก็เลยกราบลาท่านลงจากเขาไป หลวงพ่อมีเล่าเหตุการณ์ในระหว่างการเดินธุดงค์ไปพบหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา และโชคดีได้ศึกษาหลักปฏิบัติธรรมบางประการจากท่านมาโดยบังเอิญ

    เมื่อพระธุดงค์หลงป่า
    “พอออกจากจังหวัดลพบุรีแล้ว ก็เข้าจังหวัดนครสวรรค์เดินขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ...คราวนี้ไปถึงไหนก็ไม่รู้ เพราะเกิดหลงป่าไม่รู้ทางไป ก็ได้อาศัยถามชาวบ้านบ้าง แต่ก็เดินมุ่งขึ้นเหนือเรื่อยไป... บางวันก็ไม่พบเห็นแสงเดือนแสงตะวัน เพราะมันเป็นป่าทึบไปหมด...แต่เพราะบารมี หลวงพ่อปานและหลวงพ่อจง คอยคุ้มครอง จึงไม่มีพระธุดงค์องค์ใดพบกับอันตรายใด ๆ เลย นอกจากบางครั้งจะผิดข้า
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จสิงห์ป้อนเหยื่อหลวงพ่อมีวัดมารวิชัย อ.เสนา ๒ องค์ คู่

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250526_161014.jpg IMG_20250526_161038.jpg IMG_20250526_161121.jpg IMG_20250526_161149.jpg IMG_20250526_161208.jpg IMG_20250526_161234.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    วันนี้ จัดส่ง
    1748359770310.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748346421820.jpg

    "องค์เชยนี่...บินได้นะ"
    หลวงปู่เชย อมโร...อาศรมเขาเจ้าหลาว จ.จันทบุรี
    เป็นพระที่ หลวงปู่พิศดู...กล่าวยกย่อง ในคุณธรรมอันสูง ว่า
    " ท่านเป็น...พระอนาคามี "
    " องค์เชย...เขามีวิชาสูง...รู้ไหม...องค์เชยนี่...บินได้นะ "
    คุณอาของผม เคยถาม ท่านพ่อเชย อาศรมเขาเจ้าหลาว ว่า
    ถ้าหากท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ท่านพ่อจะไปชั้นไหน แล้วจะลงมาเกิดอีกไหม ?
    ท่านพ่อเชย ตอบว่า
    " เรา จะไปชั้นพรหม ไม่ลงมาเกิดแล้ว เราจะไปปฏิบัติต่อข้างบน แล้วไป(นิพพาน)เลย"
    เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่คุ้นเคย และศรัทธาด้วยใจจริงแล้ว ท่านคงจะไม่พูดให้ฟังกัน เพราะเป็นเรื่องอจิณไตย
    ***ภาพ...สุดท้าย***
    หลวงปู่เชย อมโร...ถ่ายภาพนี้...ก่อนละสังขาร...ประมาณ 5 ชั่วโมง
    หลวงปู่ฯ...ละสังขาร ในอิริยาบถ นั่งสมาธิ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 เวลา 17.00 น. รวมสิริอายุได้ 77 ปี 57 พรรษา
    Cr.Sira pop
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสงบครับ
    เทพเจ้าแห่งอ่าวคุ้งกระเบน หลวงปู่เชย อมโร อาศรมเขาเจ้าหลาว(วิเวกไพรสน) จ.จันทบุรี
    ประวัติ โดยสังเขป
    ชื่อเดิม: เชย ชุมศิริ
    เกิด: เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2466 ปีกุน ณ.บ้านคลองขุด ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
    อุปนิสัย: เป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจ พูดน้อย รักสงบ และฝักใฝ่ในทางธรรม
    อุปสมบท: เมื่ออายุได้ 20 ปี ณ วัดหมูดุด วันที่ 8 กรกฎาคม 2486 โดยมีพระครูแจง วัดโขมง เป็นพระอุปปัชฌาย์ หลวงพ่ออ่ำ วัดโขมง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูญานวรกิจ(หลวงพ่อกล้วย)วัดหมูดุด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า อมโร แปลว่า ไม่ตาย
    อยู่จำพรรษา ณ วัดหมูดุด 15 พรรษา ต่อมา ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองหงส์ อยู่วัดหนองหงส์ ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่ เป็นเวลาทั้งหมด 25 พรรษา ปฏิบัติกิจทางพระศาสนาด้วยดีเสมอมา ควบคู่กับการปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้น มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดการติดขัดในกรรมฐานบางอย่าง ไม่อาจที่จะแก้ไขเองได้ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้พบครูบาอาจารย์องค์ที่มีความเชี่ยวชาญ ในพระกรรมฐาน ที่จะแก้ไขให้ตรงจุดนี้ได้ ต่อมาจึงได้รับนิมิตรบางอย่าง ว่าให้ไปหาหลวงพ่อฤษีลิงดำ ที่วัดท่าซุง จึงได้เดินทางไปพบ และหลวงพ่อฤษีลิงดำก็แนะนำวิธีแก้ข้อติดขัดในพระกรรมฐานนั้นๆ ให้ได้รับความกระจ่าง สว่างไสว อยู่ปฏิบัติกับหลวงพ่อฤษีลิงดำได้ประมาณ 1เดือน ได้รู้ได้เห็นอะไรต่างๆมากมาย จึงได้กราบลาหลวงพ่อฤษีลิงดำกลับมาที่วัดหนองหงษ์ได้สักระยะหนึ่ง จากนั้นจึงลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองหงส์ เนื่องด้วยเป็นผู้รักการปฏิบัติ บำเพ็ญแบบสันโดษ ไม่ชอบคลุกคลีกับหมูคณะ และย้ายขึ้นมาปักกลดบำเพ็ญ สมถะ วิปัสนากรรมฐาน อยู่บนเขาเจ้าหลาว ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ เพียงรูปเดียว เป็นเวลา 17 พรรษา ตอนสมัยที่ย้ายมาอยู่แรกๆนั้น มีความเป็นอยู่ลำบากมาก ไม่มีที่พักกันแดด-ฝนมีเพียงกรดเล็กๆเพียงหลังเดียวเท่านั้น การเลี้ยงชีพก็อาศรัยบิณฑบาต กับชาวบ้านระแวกนั้น ซึ่งก็อยู่ใกลกันมาก เพราะในอดีตยังมีแต่ป่า-เขา ท่านต้องเดินด้วยเท้าเปล่าเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร กว่าจะได้ข้าวมาเพียงหนึ่งทัพพี ฉันกับกุ้งแห้งแช่น้ำปลา เป็นประจำทุกวัน และฉันเพียงเมื้อเดียว ต่อมามีชาวบ้านที่ทราบข่าว เกิดเลื่อมใสพร้อมใจกันสร้างที่พักสงฆ์ถวายให้ เพื่อกันแดด-ฝน ในระหว่างนั้นท่านก็สร้างวัตถุมงคลบ้าง อาทิ พระปิดตาบ้าง ตะกรุดบ้างตามตำราที่ได้เล่าเรียน และตกทอดมาจากสำนักวัดวังเวียนอันโด่งดัง เพื่อมอบให้กับผู้ที่มาช่วยงาน และผู้ที่มากราบทำบุญ..ฯลฯ ซึ่งสร้างประสบการณ์ให้เกิดขึ้นมากมาย คนพื้นที่ต่างรู้กันดี มีทุกรูปแบบ
    ท่านเป็นยอดเกจิอาจารย์องค์หนึ่งของจันทบุรีที่สามารถกราบได้อย่างบริสุทธิ์ใจ และท่านสามารถล่วงรู้วันมรณภาพของตัวท่านเอง ในช่วงเช้าของวันที่ 23 เมษายน 2544 ท่านได้ขึ้นไปวางศิลาฤกษ์บนเขาเจ้าหลาว หลังจากนั้นประมาณ 10.00น ท่านได้กลับมาที่กุฏิท่านได้พูดคุยและสั่งเสียแก่ลูกศิษย์ว่า ให้นำอัฐิของท่านมาไว้ที่เจดีย์นี้ หลังจากนั้น ในวันเดียวกัน ท่านได้มรณภาพด้วยท่านั่งสมาธิอย่างสงบในเวลา 17.00 น รวมอายุได้ 77 ปี 57 พรรษา
    ท่านทัตเป็นหลานของท่านได้เล่าว่าก่อนหลวงปู่จะละสังขารท่านได้ฉันน้ำชาและนั่งสมาธิ หลังจากนั้น มีเสียง เฮือกๆ ๆ ท่านก็ได้ละสังขาร ลูกศิษย์ที่ได้ไปเจอท่านในวันนั้นต่างไม่มีใครเชื่อว่าหลวงปู่จะมรณะเพราะท่านไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด
    ด้วยความเคารพเเละศรัทธา
    รูปถ่ายนี้เป็นรูปสุดท้ายของหลวงปู่

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสมครับ

    เหรียญหลวงปู่เชยออกวัดท่าใต้ที่ระลึกสร้างศาลาการเปรียญปี๒๕๔๓

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20250527_184829.jpg IMG_20250527_184903.jpg IMG_20250527_184805.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2025 at 10:11
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748343785001.jpg

    ..วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันที่หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ละขันธ์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน รำลึก ๒๐ ปี อาจาริยบูชาคุณ..
    ..ปฏิปทาของหลวงปู่เจี๊ยะ อาจจะแตกต่างจากพระกรรมฐานรูปอื่นในแง่ปลีกย่อย แต่โดยหลักใหญ่แล้วเป็นเอกเทศ ท่านไม่กว้างขวางเรื่องธรรมะภายนอก รอบรู้เฉพาะเรื่องธรรมะภายใน ท่านปฏิบัติลำบาก แต่รู้เร็ว คำสอนของท่านก็เป็นประเภทปัจเจกธรรม เพราะท่านมุ่งเน้นทางด้านจิตใจเป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับท่านมีบารมีธรรมที่บ่มบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน เป็นสิ่งที่ช่วยเกื้อหนุนอยู่อย่างลึกลับ การปฏิบัติของท่านจึงนับว่ารู้เร็วในยุคปัจจุบันสมัย ที่มนุษย์มีกิเลสหนาขึ้นโดยลำดับ ผลงานที่สำคัญที่หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านทำถวายพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นอาจาริยบูชา คือ พระภูริทัตตเจดีย์ เจดีย์สำหรับบรรจุพระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโตผู้เป็นพระอาจารย์ของท่าน เจดีย์นี้เป็นผลงานที่ท่านภูมิใจเป็นที่สุด
    .." ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่ว แล้วก็ให้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละ จะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า มันมีค่าอยู่ที่หัวใจที่มีธรรม รูปธรรมทุกๆ อย่างจึงเป็นผ้าขี้ริ้ว นามธรรมคือหัวใจ ที่ฝึกปฏิบัติจนได้เห็นธรรมตามความสามารถ นั่นแหละเป็นทอง คือธรรมสมบัติอันล้นค่า ปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน ”.. โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
    ..ประวัติและปฏิปทาพระครูสุทธิธรรมรังสี หลวงปู่เจี้ยะ จุนโท พระอริยเจ้าแห่งวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี พระผู้เป็นดังผ้าขี้ริ้วห่อทอง ตามคำกล่าวของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต คัดลอกจากหนังสือ “หลวงปู่เจี้ยะ จุนโท พระผู้เป็นดังผ้าขี้ริ้วห่อทอง” จัดทำและเรียบเรียงประวัติโดยพระมหาธีรนาถ อัคคธีโร
    ๑. ปฏิบัติลำบาก รู้เร็ว
    ..“เดิมจริง ๆ ชื่อว่า โอเจี๊ยะ แปลว่าหินดำ เพราะเรามีปานดำที่แผ่นหลัง ต่อมาภายหลังเรียกสั้นๆ ว่า “เจี๊ยะ” คำว่าโอเจี๊ยะ มีความหมายในทางธรรมอีกอย่างหนึ่งคือ คนที่มีปานประเภทนี้ จะต้องเป็นคนมีจิตใจแข็งแกร่งดุจศิลาแลง ทนร้อนทนหนาว ทนทุกข์ทนสุข อดทนได้ รับได้ แก้ไขได้ทุกสภาวการณ์ เหมือนจะเป็นธรรมเตือนเราว่า จงทำจิตใจให้เป็นดั่งแผ่นหิน..
    ..ในวัยหนุ่มทำมาค้าขาย ขายเงาะ ขายทุเรียน นิสัยออกจะติดทางนักเลง เป็นคนจริงจังในหน้าที่การงาน ไม่เกเร พูดจาโฮกฮาก ไม่กลัวคน ต้นตระกูลเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชอบโกหก จึงเป็นมรดกทางอุปนิสัยติดต่อกันมาเรื่อย ๆ จนถึงผู้เป็นลูกหลาน เราเป็นคนทำอะไรต้องทำให้ได้ดั่งใจ เวลาไปบรรทุกผลไม้ที่ท่าแฉลบ เรือลำไหนมันขึ้นฝั่งไม่ได้ เรือเขาขึ้นไม่ได้ทั้งหมด แต่สำหรับเรือเราแล้วต้องขึ้นได้ คือเอาขึ้นจนได้ เราเป็นคนแข็งแรง สู้ทุกรูปแบบ เป็นคนจริงจัง ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ…..และไม่เคยยอมแพ้ใครในหน้าที่การงานทั้งปวง”…
    ..ขณะที่หลวงปู่เจี๊ยะท่านกำลังเป็นผ้าขาวอยู่ที่สำนักวัดทรายงาม เพื่อเตรียมตัวอุปสมบท ท่านเล่าว่า..“คืนหนึ่งตอนเป็นนาคฟังเทศน์ท่านอาจารย์กงมา พอนั่งภาวนาฟังเทศน์ไป จิตอยู่กับคำบริกรรม หูก็ได้ยินเสียงเทศน์ไป คือจิตก็ทำหน้าที่ของมัน หูก็ทำหน้าที่ของมันจนเกิดเป็นสมาธิ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันเป็นสมาธิ รวมจนกระทั่งว่าไม่มีตัวตน ตัวตนหายหมดแล้วมาปรากฏภาพนิมิต เห็นตนเองหมอบไปฟุบกับกองทรายอย่างชัดเจน ตัวนี้อ่อนไปหมด ปรากฏว่าในขณะนั้นตัวตนไม่มี จนกระทั่งท่านพระอาจารย์กงมาแสดงธรรมจบลง จึงรู้สึกตัว”..
    ..ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๘๐ ที่วัดจันทนาราม ต.จันทนิมิตร อ.เมือง จ.จันทบุรี โดยมีพระครูครุนาถสมาจาร (เศียร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพัฒน์วิหารการ(เชย) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านพ่อลี ธัมมธโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในระหว่างที่จำพรรษาที่วัดทรายงาม ได้ฝึกปฏิบัติกรรมฐานกับท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ในบางคราวได้เดินทางไปศึกษาวัตรปฏิบัติกับท่านพ่อลี ธัมมธโร ที่วัดป่าคลองกุ้ง อ.เมือง จ.จันทบุรี ในพรรษาที่สองท่านถือเนสัชชิ โดยการไม่นอนตลอดพรรษา
    ..ท่านเล่าว่า..เพราะความที่เป็นผู้รักษาสัจจะ สัจจะนั้น จึงเป็นเหมือนโซ่ตรวนคอยรึงรัด กาย จิต เอาไว้ ตายเป็นตาย แต่จะให้สัจจะที่ตั้งไว้ขาดไม่ได้ แม้ร่างกายนี้อะไรจะเสียผุพังไปก็ตาม แต่สัจจะ จะเสียไปไม่ได้ เพราะสัจจะที่เราให้ไว้กับตัวเรา เรายังรักษาไม่ได้แล้ว เรายังหวังจะพบธรรมอันประเสริฐ ซึ่งอยู่เหนือสัจจะนั้นได้อย่างไรกัน เมื่อตั้งสัจจะแล้ว เริ่มภาวนาทั้งกลางวันกลางคืน จนในที่สุดเมื่อภาวนาอยู่ไม่หยุดไม่ถอย
    ..อยู่มาวันหนึ่งในพรรษาที่ ๓ มานั่งภาวนาอยู่ใต้ต้นกระบก จิตรวมใหญ่ด้วยกัน หยั่งสติปัญญาลงในกายานุปัสสนา แยกแยะส่วนต่าง ๆ ของธาตุขันธ์ออกพิจารณาด้วยปัญญาไม่ลดละ คือยกทั้งส่วนรูปกาย ทั้งส่วนเวทนาคือทุกข์ภายใน ทั้งส่วนสัญญาที่หมายกายส่วนต่าง ๆ ว่าเป็นทุกข์ ทั้งส่วนสังขารตัวปรุงแต่งว่าส่วนนี้เป็นทุกข์ส่วนนั้นเป็นทุกข์ ขึ้นสู่เป้าหมายแห่งการพิจารณาของสติปัญญาผู้ดำเนินงานทำการขุดค้นคลี่คลายอย่างไม่หยุดยั้ง จิตมีกำลังขึ้นมาอย่างประจักษ์ สามารถคลี่คลายธาตุขันธ์จนรู้แจ้ง ตลอดทั่วถึงด้วยอำนาจแห่งการพิจารณา
    ..การพิจารณากายครั้งนี้ปรากฏประหนึ่งว่าแผ่นดินแผ่นฟ้าละลายหมด กายกับใจนี้มันขาดออกจากกัน เหมือนว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเลย เหลือแต่ความบริสุทธิ์ของใจทีเดียว เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว จิตนี้มันอาจหาญรื่นเริงในธรรม ไม่กลัวใคร คือว่าไม่กลัวต่อความจริงที่จะต่อสู้และพิจารณา เรียกว่าธรรมทำให้กล้าหาญ เมื่อเป็นสันทิฏฐิกธรรม คือรู้เองเห็นเองโดยเฉพาะตนแล้ว จึงไม่นำไปพูดกับใคร..จึงนึกถึงแต่กิตติศัพท์และกิตติคุณของท่านพระอาจารย์มั่น เมื่อภาวนาจิตลงได้อย่างนั้นแล้ว สมบัติใด ๆ ในโลกนี้ที่เขานิยมว่ามีค่ามากไม่ได้มีความหมายเลย
    ..ธรรมที่ปรากฏขึ้นในคืนวันนั้นเป็นธรรมสมบัติเหนือรัตนะเงินทองโดยประการทั้งปวง อัศจรรย์ในธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นที่ยิ่ง จิตนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกามคุณเลย ถึงกับได้พูดกับคนรักที่เคยได้สัญญากันไว้ก่อนบวชว่าบวชแล้วจะสึกมาแต่งงานกัน แต่เมื่อจิตมันเป็นเช่นนี้ วันหนึ่งออกบิณฑบาต เจอคนที่เคยรักมาใส่บาตร จึงพูดอย่างเด็ดขาดกับเขาว่า “แป้งเอ๋ย ต่อแต่นี้ไปเราจะไม่สึกแล้วนะ”
    ๒. มุ่งหน้าสู่พ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่มั่น ด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
    หลังจากออกพรรษาประมาณเดือนธันวาคม ปี พ.ศ.๒๔๘๒ ท่านจึงตัดสินใจเข้าไปลาท่าน พระอาจารย์กงมา เพื่อเดินทางไปหาท่านพระอาจารย์มั่นที่เชียงใหม่ ท่านพระอาจารย์กงมาจึงพูดขึ้นว่า “ท่านเจี๊ยะ พระอย่างท่านจะไปอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ยังไง” “ครูอาจารย์ เราตอบขึ้นทันที หลวงปู่มั่นเป็นคน ผมก็เป็นคน ทำไมผมจะไปอยู่กับหลวงปู่มั่นไม่ได้ ถ้าท่านเป็นพระดี ผมไปหาของดีมันจะผิดตรงไหน ก็คนไม่ดีนั่นแหละต้องให้คนดี ๆ สอน ถ้าคนอยู่กับคนไม่ได้แล้วคนจะไปอยู่กับใคร” เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว ท่านพระอาจารย์กงมาท่านก็นั่งนิ่ง หลวงปู่เจี๊ยะได้เล่าถึงเรื่องการจากบ้านเกิดเพื่อไปตามท่านพระอาจารย์มั่นต่อว่า หลังจากกราบลาท่านพระอาจารย์กงมาแล้ว จึงไปบอกลาโยมพ่อโยมแม่ และพี่สาว ตลอดจนญาติ ๆ โยมแม่จึงพูดขึ้นว่า “กินก็เป็นคนกินยาก จะไปได้อย่างไรลูก โยมแม่พูดขึ้นพร้อมทั้งน้ำตา” เพราะในบรรดาลูก ๆ พ่อแม่รักเราเป็นที่สุด เราจึงตอบโยมแม่ว่า “โยมแม่ก็มันกินยากฮิ จึงต้องไปแก้ไขให้กินง่าย ๆ โอ๊ย! ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะโยม อาตมาไม่ตายหรอก พูดปลอบเพื่อให้ท่านสบายใจ”..
    ..ท่านเดินทางไปเชียงใหม่กับท่านพระอาจารย์เฟื่อง เดินธุดงค์ไปทางอำเภอเชียงดาว แล้วออกเดินทางต่อไปจนถึงปางแดง อันเป็นป่าอยู่ในกลางหุบเขา ออกเดินทางไปตามหุบผาป่าอันสลับซับซ้อน ทะลุถึงอำเภอพร้าว วัดร้างป่าแดง บ้านแม่กลอย นึกรำพึงรำพันถึงท่านพระอาจารย์มั่นเป็นหมื่น ๆ ครั้งว่า หลวงปู่มั่นช่วยหน่อย หลวงปู่มั่นช่วยหน่อย เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ได้ยินว่า ใคร ๆ เขาก็พูดว่าท่านพระอาจารย์มั่นรู้วาระจิตคนหมด ตอนนี้ผมพระเจี๊ยะ เดินทางมาหา เหนื่อยยากลำบากจะตายอยู่แล้ว ทางก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนมาทางไหน หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหน ถ้ารู้ได้ด้วยใจด้วยญาณก็ส่งคนมารับหน่อยเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
    ..เมื่อเดินทางเข้าไปในวัดร้างป่าแดงมีพระรูปหนึ่ง ลักษณะองอาจเป็นเถระ มีรูปร่างเล็ก ๆ สันฐานสันทัด ผิวดำแดง นั่งห่มจีวรแสดงอาการให้เห็นว่า รอใครบางคนอย่างเห็นได้ชัด นั่งอยู่บนแคร่น้อย ๆ ใช้ไม้ไผ่ขัดแตะ เอาหญ้าคามุงกั้นฝาเป็นฟาก หันมาทางที่จะเดินเข้าไป แสดงอาการว่าสนใจในคนที่จะมา แต่ไม่แสดงออกทางคำพูด สังเกตได้ว่าเป็นกริยาที่รับกัน ใจในขณะนั้นน้อมนึกขึ้นมาทันทีว่า นี่แหละหลวงปู่มั่น นึกต่อไปอีกว่าท่านคงรู้วาระจิตของเราเป็นแน่แท้ จึงมานั่งรอ แต่ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บเข้าไปภายในนั้น ทำให้เนื้อตัวสั่นเทา เพราะมีแต่เพียงจีวรบาง ๆ เป็นที่ห่อหุ้มร่างกาย เมื่อตกดึก ๆ นอนไม่หลับ จึงเดินเข้าไปหาท่านเฟื่อง ผู้เป็นสหธรรมิก อันเป็นการหยั่งเชิงหมู่เพื่อนว่าจะเป็นไปอย่างไร คิดอย่างไร ด้วยการกระซิบเบา ๆ ว่า “เฟื่องโว๊ย! หนาวโว๊ย! กลับบ้านเราดีกว่า” ฝ่ายท่านเฟื่องก็นิ่งเฉย ไม่ตอบแต่อย่างไร พอรุ่งเช้าวันใหม่ จึงเดินออกจากกระท่อมน้อยมาทางหอฉัน เพื่อจะไปจัดแจงศาลาฉัน พอท่านพระอาจารย์มั่นพบเท่านั้นแหละ เหมือนดังว่าสายฟ้าฟาดลงบนกระหม่อมทันที “คนทะลงทะเลไม่มีความอดทน ไป ๆ ไม่มีใครอาราธนามาที่นี่“ ท่านพระอาจารย์พูดเสียงดุดัง นัยตาก็กราดกร้าวเหมือนพญาเสือโคร่งตัวใหญ่ อันเป็นกริยาที่หมู่แมว ๆ อย่างพวกเราต้องหมอบคลานก้าวขาไม่ออก เรื่องวาระจิตนี่ครูบาอาจารย์มั่นท่านรู้ทุกอย่าง จะพูดจะคิดอะไรอยู่กับท่านต้องระวัง ประมาทไม่ได้เป็นบาปใหญ่ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์
    ..อยู่ต่อมาอีก สองสามวัน ฟันข้าง ๆ ของท่านพระอาจารย์มั่นจึงหลุด แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า “เอ้า! ท่านเจี๊ยะ เอาไป” การที่ท่านพระอาจารย์มั่นมอบฟันให้ ท่านคงรู้ด้วยอนาคตังสญาณว่า เราจะต้องเป็นผู้สร้างเจดีย์บูชาคุณของท่านเป็นแน่แท้”…
    ..“ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ..
    …”ท่านพระอาจารย์มั่นจึงได้มอบให้เราไปควบคุมการก่อสร้างเสนาสนะจนแล้วเสร็จ และได้จำพรรษาที่ป่าบ้านโคก ร่วมกับท่านพระอาจารย์มั่นในปีนั้น ท่านพระอาจารย์มหาบัวก็ได้มาร่วมจำพรรษาในปีนั้นด้วย ในระหว่างพรรษาท่านพระอาจารย์มั่นชอบเรียกเราว่าเฒ่าขาเป๋ หรือบางทีท่านก็เรียกว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ตามแต่ท่านจะพูดจะสอนเพื่อเป็นคติ อยู่มาวันหนึ่งท่านพระอาจารย์มั่นได้พูดถึงหลวงปู่ขาวว่า “หมู่เอ๊ย! ให้รู้จักท่านขาวไว้นะ ท่านขาวนี่เธอได้พิจารณาถึงที่สุดแล้ว”
    ..หลังจากท่านกล่าวชมหลวงปู่ขาวแล้ว ท่านก็หันมาพูดเรื่องเราว่า “เออ! หมู่เอ๊ย! มีหมู่มาเล่าให้เราฟังเรื่องการภาวนาที่เชียงใหม่โว๊ย! เธอปฏิบัติของเธอสามสี่ปี เหมือนเราลงที่นครนายก มันลงเหมือนกันเลย”
    ท่านพระอาจารย์มั่นท่านกล่าวย้ำอย่างนั้น “ท่านองค์นี่ภาวนา ๓ ปี เท่ากับเราภาวนา ๒๒ ปี อันนี้มันเกี่ยวเนื่องกับนิสัยวาสนาของคนมันต่างกัน ”
    ..การที่นำสิ่งที่ครูบาอาจารย์ชมมาเล่า ไม่ได้หมายความว่ายกตนเทียมท่าน แต่การฝึกที่ปฏิบัติเร็วหรือช้านี้ แล้วแต่บุญกรรมและความเพียรของใครของมัน ที่พูดให้ฟังมิได้เทียบกับท่าน แต่นำสิ่งที่ท่านพูดมาพูดให้ฟัง จะได้รู้ว่าเบื้องหลังเราปฏิบัติมายังไง” เมื่อออกพรรษาปี๒๔๘๕ แล้วท่านก็กราบลาท่านพระอาจารย์มั่น ออกเที่ยวธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ช่วงแรก ๆ ท่านวนเวียนอยู่ในรัศมีของท่านพระอาจารย์มั่น พักอยู่ที่ป่าช้าบ้านนาสีนวลบ้าง ดอยธรรมเจดีย์บ้าง หนองน้ำเค็มบ้าง เข้าไปทางอุดร อุบล มุกดาหาร บางทีก็เที่ยววิเวกไปตามเทือกเขาภูพาน หรือบางทีท่านก็ข้ามไปฝั่งลาวชั่วระยะกาลที่สะดวก ตามปกตินิสัยของท่านที่ชอบอิสระ และเป็นอิสระเต็มตัวแล้ว ไม่กังวลกับสิ่งใดในโลกแล้ว แต่จะไปที่ใดก็ตามมักจะวนเวียนเข้ามากราบท่านพระอาจารย์มั่น ผู้เป็นเจ้าชีวิต และเป็นผู้ให้ประทีปธรรมแก่ท่าน
    ..เนื่องจากท่านจากภาคตะวันออกอันเป็นบ้านเกิดของท่านมานานเป็นเวลา ๘ ปีแล้ว เฝ้านึกถึงบุญคุณของบิดามารดาอยู่ อยากจะทดแทนคุณของท่านด้วยอรรถด้วยธรรม แทนข้าวน้ำปลาอาหาร ทรัพย์สินเงินทอง ประกอบกับทราบว่าโยมมารดาป่วย จึงเป็นโอกาสดีที่จะกราบโยมมารดา ท่านจึงย้อนกลับมา จ.จันทบุรี
    ..“หลวงตามหาบัว กับหลวงปู่เจี๊ยะ”..
    “ผู้ที่ละนิสัยวาสนาได้ขาดมีตถาคตองค์เดียว ฟังซินะ ตถาคตองค์เดียว นอกนั้นเป็นนิสัยของตัวเองทุกคน” ปี พ.ศ.๒๕๐๔-๒๕๐๖ ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะได้ไปจำพรรษากับหลวงตามหาบัวที่วัดป่าบ้านตาด ไปช่วยหลวงตาปลูกต้นไม้ ดูแลเรื่องป่า ตลอดจนสร้างเสนาสนะในยุคแรกเริ่ม ท่านหลวงตามหาบัวได้เล่าความตอนหนึ่งถึงหลวงปู่เจี๊ยะไว้ว่า “ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะเป็นพระดีมากนะ บริขารของหลวงปู่มั่น ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะนี่เองเป็นผู้รักษาเป็นประจำนะ ตั้งแต่ไหนแต่ไรนะ อุ๊ย! ท่านละเอียดละออมากนะ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ๆ ของหลวงปู่มั่นแล้ว ใครไปแตะไม่ได้นะ ท่านเรียบร้อยหมดทุกอย่าง ท่านเป็นพระที่ละเอียดละออมาก พูดเรื่องภายในเป็น “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” คือกริยาภายนอกของท่านไม่น่าดูนะ แต่กริยาภายในของท่านน่าดูมากนะ คนเราแต่ละคน ๆ นิสัยไม่เหมือนกัน แม้มาบวชแล้ว นิสัยนั้น ไม่ได้บวชด้วยนะ บวชแต่เพศ เช่น โกนผม ครองผ้า ครองกริยาการเคลื่อนไหวไปมาตามหลักธรรม หลักวินัย อันนี้ตายตัวเหมือนกัน เคลื่อนอย่างอื่นไม่ได้นะ เคลื่อนไปตามหลักธรรม หลักวินัย ให้ถูกต้อง ถูกต้องไปตามหลักธรรม หลักวินัย แต่กริยานิสัยที่เป็นไปตามนิสัยเดิมของตนซึ่งไม่ผิดธรรมวินัย อย่างนี้ แล้วแต่ใครจะใช้ไปตามนิสัยของตน อันนี้แก้ไม่ได้
    ..พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงแสดงไว้ว่า ผู้ที่ละนิสัยวาสนาได้ขาดมีตถาคตองค์เดียว ฟังซินะ ตถาคตองค์เดียว นอกนั้นเป็นนิสัยของตัวเองทุกคน จำไว้ว่านิสัยคือไม่ได้กระเทือนถึงธรรมถึงวินัย เป็นกริยาความเคยชินของแต่ละราย ๆ แสดงออกเองไม่ผิดธรรมผิดวินัยนั้น เรียกว่านิสัยอย่างหลวงปู่เจี๊ยะ นี่ ท่านก็เป็นนิสัยบ๊ง ๆ เบ๊ง ๆ นี่เรียกว่าเป็นนิสัย อันนี้อันหนึ่งนะ แต่ภายในของท่านดีนะ เพราะเคยอยู่ด้วยกันมาแล้วนี่ ภายในของท่านดี ภายนอกของท่านเป็นอย่างนี้แหละ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง ใครจะไปยึดกริยามารยาทภายนอก มากกว่าภายใน ซึ่งเป็นของสำคัญ จะทำให้เสีย เสียได้ในหัวใจของผู้ไปคิดนั่นแหละ ภายในของท่านดี นิสัยของท่าน บ๊ง ๆ เบ๊ง ๆ อย่างงั้น ดีภายใน
    ..นี่แหละ เราถึงได้เตือนเสมอ เรื่องภายในกับภายนอกมันไม่เหมือนกัน คือนิสัยท่านละเอียดภายในนะ แต่กริยาภายนอกของท่านเป็นอย่างนั้น คือท่านเคยอยู่ร่วมกับเรามานาน มันรู้เรื่องกันดี อาจารย์เจี๊ยะนี่ เพราะฉะนั้นจึงว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” เราจึงบอกว่าภายในท่านละเอียดละออตรงไปตรงมานี่ หนึ่ง และละเอียดละออทุกอย่าง ไม่งั้นแล้วท่านจะเข้าไปหาพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นไม่ได้ง่าย ๆ นะ กริยาอย่างนี้จะเข้าไปหาท่านไม่ได้ พูดง่าย ๆ นะ แต่ทำไมถึงสนิทกันเหมือนพ่อกับลูกเลย
    ..อาจารย์เจี๊ยะกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เวลาเข้าหากันนี้เหมือนพ่อกับลูก กริยา บ๊งเบ๊ง ๆ อย่างนี้ ธรรมดาเข้าหาท่านไม่ได้นะ แต่ทำไมท่านอาจารย์เจี๊ยะ จึงเข้ากับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นได้สนิทนัก”
    “..ก่อนละสังขารและปัจฉิมทัศนาการ...การเห็นกันครั้งสุดท้าย..”
    ในบั้นปลายชีวิตของท่านอาจารย์เจี๊ยะ จุนฺโท นั้น ท่านมีร่างกายที่งอมระงมด้วยอาพาธ จวบจนเมื่อใกล้ถึงระยะสุดท้ายที่ท่านจะลาสังสารนี้ไป วันที่หลวงปู่เจี๊ยะจะเข้าโรงพยาบาลศิริราชเป็นครั้งสุดท้ายนั้น หลวงตามหาบัว ท่านได้เดินทางไปเยี่ยมดูอาการป่วยของท่านที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ในวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ท่านได้เข้าไปดูภายในภูริทัตตเจดีย์ ได้เทศนาถึงความรักความเมตตาที่ท่านพระอาจารย์มั่นมีต่อหลวงปู่เจี๊ยะ และกล่าวชมสรรเสริญภูมิจิตภูมิธรรมของหลวงปู่เจี๊ยะเป็นอเนกปริยาย หลังจากท่านเข้าชมภูริทัตตเจดีย์แล้ว ท่านจึงเดินทางมาที่กุฏิที่หลวงปู่เจี๊ยะ พักอาพาธอยู่ ได้ทักทายพร้อมกับลูบที่มือกล่าวว่า “หลวงตาบัวมาเยี่ยม” “..เราไม่พูดอะไรมากแหละ เพราะจะเป็นการรบกวนท่าน” แล้วท่านอาจารย์บัวจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงและได้เทศนาธรรมให้ประชาชนญาติโยมที่ติดตามมาเป็นจำนวนมาก ในหัวข้อเรื่องว่า “พระอรหันต์ละสังขาร”ประหนึ่งจะเป็นเครื่องหมายเตือนสานุศิษย์ให้ได้ทราบล่วงหน้าว่า คราวนี้เป็นคราวสุดท้ายของหลวงปู่เจี๊ยะแล้ว สังขารที่แบกหามมานานถึงกาลที่จะต้องทิ้งกันไปแล้ว เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหลวงตาจะมา หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านจะมีอาการไอไม่หยุด เมื่อหลวงตามาถึงเท่านั้นแหละอาการไอที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงนั้น ประหนึ่งว่าไม่เคยไอเลย หลวงปู่ท่านนอนนิ่งแสดงคารวะธรรมที่หลวงตามาเยี่ยมเป็นกิริยาแสดงความเคารพยิ่งแม้ในขณะที่ป่วย แม้หลวงตาจะเทศน์นานเท่าใด ท่านก็ไม่ไอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
    ..ธรรมเทศนาที่พระอาจารย์บัวแสดง มีเรื่องพระสารีบุตรปรินิพพาน และท่านสรุปด้วยเรื่องพระอรหันต์ละสังขาร ใจความโดยย่อว่า “..พระอรหันต์ท่านหมดกิเลสทุกอย่างแล้ว ก็มีแต่ความรับผิดชอบในธาตุขันธ์ ไม่ได้เป็นในหัวใจท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว เรียกว่าท่านรับผิดชอบตั้งแต่ท่านบรรลุธรรมตรัสรู้ธรรมแล้ว จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของลมหายใจขาด ท่านก็ปล่อยเลย พระอรหันต์กับธาตุขันธ์มีความรับผิดชอบเสมอกันกับโลกทั่วๆไป เป็นแต่เพียงท่านไม่ยึด เช่นเดินไปกำลังจะเหยียบรากไม้แต่คิดว่านั่นเป็นงู ท่านก็ต้องมีการกระโดดข้ามหรือหลบเป็นธรรมดา หรือท่านจะลื่นหกล้ม ท่านก็พยายามช่วยตัวเองไม่ให้ล้ม ต่างกันกับคนทั่วๆ ไปตรงที่ว่า คนทั่วไปจิตใจร้อนวูบๆ เพราะอุปาทานยึดมั่น ส่วนจิตพระอรหันต์ท่านเพียงแต่แย็บเท่านั้น ต่างกันตรงนั้น..”
    ..เมื่อท่านอาจารย์บัวเทศนาธรรมจบเวลา ๑๔.๐๐ น. ท่านจึงลุกขึ้นมองหลวงปูเจี๊ยะอย่างเพ่งพินิจสุขุม กล่าวคำบอกลาว่า “ผมกลับก่อนนะ” คำนี้เป็นคำสั่งลากันครั้งสุดท้ายของพระมหาเถระทั้งสอง หลังจากหลวงตากลับไป ๒ ชั่วโมง อาการป่วยของหลวงปู่เจี๊ยะก็กำเริบทรุดหนัก มีไข้สูง หอบเหนื่อย พระคิลานุปัฏฐากได้ติดต่อพระอาจารย์เขียวเพื่อติดต่อรถพยาบาลโดยด่วน เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. แพทย์ผู้ดูแลได้ช่วยกันดำเนินการรับหลวงปู่ไว้ในหอผู้ป่วยวิกฤต ผลเอ็กซ์เรย์ปอดพบมีสารน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา แพทย์ที่หอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจได้ทำการใส่ท่อช่วยระบายเลือดออกจากช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา ได้น้ำปนเลือดประมาณ ๑,๔๐๐ ซีซี และได้ตรวจพบเซลล์มะเร็งในน้ำปนเลือดจากช่องเยื่อหุ้มปอด คณะแพทย์ผู้รักษาได้ตัดสินใจไม่ถวายยาต้านมะเร็งเนื่องจากประเมินแล้วว่า สภาพร่างกายของท่านคงรับกับภาวะแทรกซ้อนของยาไม่ได้ จึงถวายการรักษาตามอาการเพื่อให้ท่านมีทุกขเวทนาทางกายน้อยที่สุด
    ..ในอดีตแม้พระพุทธเจ้าก็ทรงเข้าสู่มหาปรินิพพานสังขารอันเหมือนเกวียนเก่าชำรุดที่ต้องใช้ไม้กระหนาบค้ำไว้เพื่อให้ทรงตัวอยู่ได้นั้น บัดนี้ถึงวาระต้องปล่อยไป ทุกอย่างมีเกิดขึ้นย่อมมีสิ้นสุดลง ท่านพระอาจารย์บัว ญาณสัมปันโน ได้มาเยี่ยมพระอาจารย์เจี๊ยะ จุนฺโท เป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในร่างสมมติของดอกบัวคู่งามแห่งวงศ์กรรมฐาน
    “..การลาสังสาร..”
    ..วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ก่อนมรณภาพเพียง ๓ วัน เกิดเหตุอัศจรรย์ที่ควรนำมาพิจารณาเป็นอย่างมาก หลวงปู่เจี๊ยะ มีฉวีวรรณผ่องใส แสดงท่าทางอาจหาญ พูดจาเสียงดังฟังชัดเป็นประหนึ่งว่า ไม่เคยป่วยเป็นเวลามานานปี วันนั้นท่านเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต ตั้งแต่เริ่มต้นจนวาระสุดท้าย แม้เรื่องเบ็ดเตล็ดเล็กน้อย เช่น เรื่องแฟนสาวที่เคยรักสมัยเป็นหนุ่ม เรื่องญาติพี่น้อง บิดามารดา ฯลฯ สรุปท้ายสุด ท่านพูดสั้นๆ แต่ตะโกนด้วยเสียงดังลั่นว่า “พระเจี๊ยะตายแล้วๆ ๆ”ตายจากสมมุติบัญญัติ เป็นประหนึ่งวาจาศักดิ์สิทธิ์ ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวลาโลก ซึ่งระงมปนเปื้อนเต็มไปด้วยความทุกข์เดือดร้อนนานาประการ พูดอย่างเป็นภาษาธรรมะก็คือ ปลงอายุสังขาร ที่แบกหามทุกข์ทรมานมานานปี บัดนี้ อีก ๓ วันข้างหน้า ภาระทั้งปวงจะต้องถูกทอดทิ้งแล้ว เหลือแต่ธรรมะที่เลิศเลอภายในใจเพียงเท่านั้น
    ..วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ หลวงปู่เจี๊ยะ เริ่มมีอาการเหนื่อยมากและออกซิเจนในเลือดลดลง ได้ทำการเอ็กซ์เรย์ปอดพบว่า มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดจำนวนมากทั้งสองข้าง แพทย์ได้ทำการเจาะช่องเยื่อหุ้มปอด และดูดน้ำปนเลือดออกมาข้างละประมาณ ๘๐๐ ซีซี หลังจากนั้นอาการเหนื่อยของท่านลดลง ต่อมาเวลาประมาณ ๒๒.๕๕ น. หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ก็ได้ละขันธ์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานด้วยความสงบและอาจหาญในธรรม สิริอายุรวมได้ ๘๘ ปี ๒ เดือน ๑๗ วัน ๖๘ พรรษา
    #บรรณานุกรมอ้างอิง คัดลอกจากหนังสือ "หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง" ; รวบรวมเรียบเรียงโดย พระมหาธีรนาถ อัคคธีโร วัดป่าภูผาสูง ; พิมพ์ปี ๒๕๔๗ กราบขออนุญาตพิมพ์คัดลอกเพื่อเผยแผ่เป็นธรรมทานและกราบขออนุโมทนาบุญมา ณ โอกาสนี้ครับ ส า ธุ
    ..ฟังธรรมเทศนาเกร็ดประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ได้ที่ลิ้งค์

    .."ประวัติปฏิปทาหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท" ฉบับเต็ม จัดทำโดยพระมหาธีรนาถ อัคคธีโร วัดป่าภูผาสูง ชมใน YouTube ได้ที่ลิ้งค์ครับ

    ..อนุโมทนาบุญข้อมูล : ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน..
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่น ๓ หลวงปู่เจี๊ยะ
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ


    IMG_20250527_175255.jpg IMG_20250527_175322.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748409034663.jpg FB_IMG_1748409061889.jpg FB_IMG_1748409067087.jpg

    อริยสงฆ์ที่กล่าวถึงหลวงปู่ละมัย
    "พระของท่านมีค่ามากกว่าทองและมีพุทธคุณครอบจักรวาล"
    หลวงพ่อรวย วัดตะโก อยุธยา
    "ท่านใหญ่ ท่านมีบารมีมาก ทุกพิธีเกี่ยวกับฉันต้องอาราธนาท่านทุกครั้ง"
    หลวงปู่หมุนวัดบ้านจาน
    "หลวงปู่ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก เพียงแค่เศษชานหมาก หรือก้อนหินที่หลวงปู่ลูบคลำ ล้วนทรงคุณค่ามากล้น"
    หลวงพ่อบุญลือ พระทรงอภิญญาใหญ่แห่งวัดคำหยาดอ่างทอง
    "ฉันยังต้องไปกราบท่านเลย และขอบารมีจากท่าน"
    หลวงปู่นะ วัดหนองบัว
    "จะหาพระแบบหลวงปู่ละมัย ไม่ได้แล้วนะ"
    หลวงปู่สุภา
    "พระแบบนี้ นานๆ จะออกมาโปรดพวกเราสักที ท่านเป็นผู้ใหญ่ พระโบราณ ตักตวงเข้านะ"
    หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน
    "ท่านเป็นพระโบราณ มีความศักดิ์สิทธิ์มากนะ"
    หลวงปู่จิต
    "ท่านเป็นอาจารย์ของฉันตั้งแต่สมัยฉันเป็นเณร ท่านเก่งมาก ถ้าฉันตายไปแล้ว ให้ไปหาไปกราบเอาธรรมจากท่านให้ได้ ท่านอยู่ที่เพชรบูรณ์"
    หลวงปู่บุญมา วัดแดนคงคาราม สั่งศิษย์ไว้ให้ไปหาหลวงปู่ละมัย
    "จิตท่านไปไกลมาก นั่นคือดวงธรรมแห่งพุทธะที่หนึ่งเดียว"
    หลวงปู่เที่ยงธรรม
    "ท่านใหญ่ ท่านบารมีมากหลายเด้อ"
    หลวงปู่คำน้อย
    "ท่านยังอยู่หรือนี่ ท่านเคยเป็นอาจารย์ฉันมาก่อน ท่านเก่งรอบด้าน ทุกอย่างเลย ฉันยังต้องเรียนจากท่านเลย"
    หลวงปู่กลอย เขาหิน
    ประวัติหลวงปู่ละมัย ฐิตมโน
    สำนักสวนป่าสมุนไพร จ.เพชรบูรณ์
    เป็นพระอริยะสงฆ์ที่ควรเคารพบูชาอย่างสูงยิ่ง ไม่สามารถหาหลักฐานใดๆของทางราชการมายืนยันได้ว่าท่านเกิดปีใด พบเพียงข้อมูลจากหนังสือบทสวดมนต์ของวัดคีรีบัววนาราม ตำบลเขาน้อย อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี โดยพระครูปัญญาวุธากร(เจ้าอาวาส) ท่านได้บันทึกไว้ว่า ในหนังสือสุทธิของหลวงปู่ละมัย ท่านเกิดปี พ.ศ. ๒๔๐๓ ที่บ้านกระสัง ตำบลเย้ยปราสาท อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์(ปัจจุบันเป็นอำเภอหนองกี่) อายุ ๔ ขวบ โยมบิดามารดาพาอพยพไปอยู่ที่จังหวัดพระตระบอง ประเทศกัมพูชา เมื่ออายุ ๑๔ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร
    จากนั้นมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ท่านก็ได้บวชเป็นพระในจังหวัดพระตระบอง ประเทศกัมพูชา และในช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๓ - ๒๕๐๔ หลวงปู่ละมัยท่านได้ย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทย ที่จังหวัดจันทบุรี ในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ท่านได้บรรจุเป็นพระไทย ซึ่งตอนนั้นท่านอายุได้ ๑๐๑ ปี
    หลวงปู่ละมัยท่านเป็นพระผู้ทรงอภิญญาองค์หนึ่ง ในดินแดนพระพุทธศาสนาไม่มีที่ไหนที่ท่านไม่เคยไป หลวงปู่ท่านเคยบอกว่า ท่านอยู่ในประเทศเขมร ๓๐ ปี ประเทศลาว ๓๐ ปี และในประเทศไทยมากกว่า ๓๐ ปี เคยเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าไปถึงประเทศศรีลังกา ได้สรรพวิชาต่างๆมามากมาย
    หลวงปู่ละมัยท่านสำเร็จวิชาการหุงปรอท อานุภาพปรอทสำเร็จของท่าน พระเกจิอาจารย์หลายองค์ต่างยกย่องว่ามีพลังงานมหาศาล พุทธานุภาพของพระปรอทของท่านนั้นมีประสบการณ์มากมาย ทั้งด้านแคล้วคลาด คงกระพันและเมตตามหานิยม หลวงปู่ท่านมีเมตตามาก ช่วยเหลือลูกศิษย์ลูกหาด้วยปรอทและยาสมุนไพรต่างๆ
    หลวงปู่ละมัยท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล พระอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญาแห่งวัดบ้านจาน จ.ศรีสะเกษ โดยท่านได้ร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลหลายๆรุ่นของหลวงปู่หมุน อาทิ รุ่นเสาร์ห้าบูชาครู รุ่นไตรมาสรวยทันใจ เป็นต้น หลวงปู่หมุนจะเรียกหลวงปู่ละมัยว่า "ท่านใหญ่" และทุกครั้งที่ทำพิธีเดียวกัน ท่านจะอาราธนาท่านใหญ่ก่อนเสมอ
    หลวงปู่ละมัยท่านมีคุณธรรมขั้นสูง เปี่ยมล้นด้วยเมตตา บารมี พระเกจิดังหลายองค์เดินทางไปกราบท่าน เช่น หลวงพ่อรวย วัดตะโก,หลวงปู่นะ วัดหนองบัว,หลวงพ่อบุญลือ วัดคำหยาด,หลวงปู่เปรี่ยม วัดกำแพง เป็นต้น
    หลวงปู่ละมัยท่านได้เป็นองค์อุปภัมป์และสร้างวัดขึ้นหลายแห่ง เช่น สร้างพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี วัดแดนคงคาวนาราม จ.ชัยภูมิ วัดโคกว่านใหม่ อ.ละหารทราย จ.บุรีรัมย์ ที่ อ.มะขาม อ.โป่งน้ำร้อน วัดป่าตง วัดตามูล วัดเขาสะงอ ที่ อ.คลองหาด วัดเขาฉกรรจ์ ที่ จ.ปราจีนบุรี สร้างวัดทุ่งกบินท์ จันตคาม วัดทุ่งโพธิ์ วัดนาคี ที่ อ.ปากช่อง วัดถ้ำพระธาตุ วัดถ้ำไก่แจ้
    ในบั้นปลายหลวงปู่ท่านย้ายมาอยู่วัดโพธิ์เย็น อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ได้ ๖ - ๗ ปี แล้วจึงมาสร้าง "สำนักสวนป่าสมุนไพรคีรีนามทาสุขาวดี" เพื่อปลูกสมุนไพรและเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
    หลวงปู่ละมัยท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ สิริรวมอายุได้ ๑๕๑ ปี เวลาประมาณ ๐๑.๕๐ น. ระหว่างเข้าสมาธิจิต
    ที่มา : หนังสือรวมวัตถุมงคลหลวงปู่ละมัย
    : เอกสารวัดบ้านโคกว่านใหม่
    วัดแดนคงคาวนาราม นี้หลวงปู่บุญมา เจ้าอาวาส ท่านได้เคยธุดงค์ไปในประเทศต่างๆของแหลมอินโดจีนนี้มาอย่างทะลุปรุโปร่ง และได้พบกับหลวงปู่ละมัยในป่า ได้รับการสั่งสอนอบรมสมาธิจิต วิชา คาถาอาคมต่างๆพอสมควร จึงกราบลาหลวงปู่ออกธดงค์ต่อไป และเมื่อผ่านไปยังประเทศอินเดีย ก็ได้รับพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย และท่านก็ได้นำมาเก็บรักษาไว้ ณ วัดแดนคงคาวนาราม ลุถึงปีพ.ศ.๒๕๔๕ หลวงปู่บุญมา อายุได้ ๑๐๘ ปี มีความต้องการที่จะสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้น เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่ก็เกรงว่าจะไม่สำเร็จ จึงปรึกษากับเหล่าศิษยานุศิษย์ และได้ทราบว่า หลวงปู่ละมัย ยังดำรงขันธ์อยู่ จึงให้คณะศิษย์ ไปกราบอาราธนานิมนต์
    พระเดชพระคุณหลวงปู่ละมัยมาเป็นประธาน ซึ่งท่านก็รับนิมนต์จนการก่อสร้างสำเร็จ และยกฉัตรไปแล้วเมื่อปีพ.ศ.2552
    หลวงปู่บุญมาได้บอกกับลูกศิษย์ว่า "หลวงปู่(ละมัย)เป็นครูบาอาจารย์ของหลวงปู่(บุญมา)นะ เคยพบกับท่านตอนธุดงค์ ตอนนั้นเราอายุ 15 ปีได้ ท่านจะเป็นผู้ที่สร้างพระธาตุสำเร็จ เพราะท่านมีบารมีมาก" หลังจากหลวงปู่ละมัยรับนิมนต์ได้ไม่นาน หลวงปู่บุญมาก็มรณภาพลง
    วัตถุมงคลของหลวงปู่ละมัย ที่เด่นๆคือพระปรอท และแม่ซื้อประจำวันครับ
    ที่มา : ข้อความบางตอนจากเพื่อนสมาชิกเว็ปจี
    #บางคำจากพระอริยสงฆ์ที่กล่าวถึงหลวงปู่ละมัย
    "พระของท่านมีค่ามากกว่าทองและมีพุทธคุณครอบจักรวาล"
    ที่มา : เว็ปกาหลง.คอม ขอขอบคุณท่าเจ้าของบทความข้อมุลทุกที่มาอย่างสูงครับ
    ขอขอบคุณท่าเจ้าของบทความข้อมุลทุกที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนจันทร์ลอยทาทอง
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250528_120845.jpg IMG_20250528_120906.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748407939156.jpg get_auc1_img (12).jpeg get_auc1_img (14).jpeg get_auc1_img (8).jpeg

    แร่ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ในตัว
    พระผงจันทร์ลอยผสมแร่บางไผ่ พิมพ์สมาธิ วัดนครอินทร์ หมู่6 ต.สวนใหญ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี พ.ศ.๒๕๓๙(ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง1.8 เซ็นติเมตร)
    (ด้านหน้าเสาหงส์2ข้าง เอกลักษณ์ของวัดนครอินทร์)
    หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ (ปลุกเสกเดี่ยว ณ วัดบ้านไร่)
    และพุทธภิเษกที่วัดนครอินทร์ ในวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๓๙
    โดยมีพระที่นั่งปรก ปลุกเสกดังนี้
    1.หลวงพ่อเฮ็น วัดดอนทอง
    2. หลวงพ่อทิม วัดพระขาว
    3. หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา
    4. หลวงพ่อสร้อย วัดเลียบ
    5. หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ
    6. หลวงพ่ออินทร์ วัดบ้านบัว
    7.หลวงพ่อผล วัดเชิงหวาย
    8. หลวงพ่อทองใบ วัดสายไหม
    และ9.พระอาจารย์สมศักดิ์ ฐตสกโข วัดนครอินทร์
    พระวัดชนะสงคราม 4 รูปสวดเจริญพระพุทธมนต์ตลอดพิธี
    หลวงพ่อสมศักดิ์วัดนครอินทร์ สร้าง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูง
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250528_114754.jpg IMG_20250528_114828.jpg IMG_20250528_114726.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    วันนี้จัดส่ง
    1748428262946.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748428843048.jpg

    ประวัติหลวงพ่อ
    หลวงพ่อคำ ชาตสุโข พื้นเพเป็นชาวจังหวัดอ่างทอง เกิดเมื่อวันอังคาร เดือนสาม(กุมภาพันธ์) ปีมะเส็ง พุทธศักราช 2436 เป็นบุตรของคุณพ่อแสง แสงศรี และคุณแม่กลิ่น แสงศรีครอบครัวของท่านประกอบอาชีพทำนามาแต่เดิม มีพี่น้องร่วมกัน 5 คนคือ 1.นางขลิบ 2.นางเล็ก 3.นายหาด 4.นางหนู 5. คือหลวงพ่อคำ ซึ่งท่านเป็นคนสุดท้อง ต่อมาโยมพ่อของหลวงพ่อได้ออกบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดอัมพวัน อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ส่วนท่านเองก็ได้เป็นลูกศิษย์วัดปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อท่านมาตั้งแต่อายุ ได้ 8 ขวบ วันหนึ่งหลวงพ่อของท่านเตรียมอัฐบริขารเพื่อออกธุดงค์ ก่อนไปหลวงพ่อของท่านได้บอกกับท่านว่า “พ่อไปนะลูก” สิ้นคำเท่านั้นแล้วหลวงพ่อของท่านก็เดินดุ่มลงกุฏิ ท่านถามหลวงพ่อของท่านว่า “หลวงพ่อจะไปไหน” หลวงพ่อของท่านไม่ตอบยังคงมุ่งหน้าเดินออกจากวัดไป ท่านวิ่งตามและตะโกนถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายหลวงพ่อของท่านจึงหันมาพูดว่า “ถ้าพ่อไม่เจออาจารย์ดี พ่อจะกลับมาภายใน 1ปี แต่ถ้าพ่อเจออาจารย์ดี ก็อย่าคอยพ่อเลยนะลูก” แล้วท่านก็เดินออกจากวัดไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
    เมื่อหลวงพ่อคำโตเป็นหนุ่ม จึงได้ข่าวว่า บิดาของท่านรุกขมูลไปอยู่ถ้ำ ทางภาคเหนือชื่อบ้านสระหนองแว้ง บิดาของท่านนอนอาพาธอยู่คนเดียวในถ้ำแต่บ้างก็ว่านอนอาพาธอยู่กลางป่าสัก ชาวบ้านไปพบเข้าจึงนำท่านมารักษาตัวที่วัดอ้อมแก้ว อ.สวรรคโลก จนกระทั่งมรณภาพ ก่อนมรณภาพชาวบ้านได้สอบถาม ชื่อ นามสกุล และชื่อญาติพี่น้องของท่านไว้ หลวงพ่อคำจึงทราบข่าวได้ในภายหลัง
    ครั้งหนึ่งแม่ของหลวงพ่อคำ จะไปขอผู้หญิงมาเป็นภรรยาให้ท่าน แต่หลวงพ่อแอบไปได้ยินผู้หญิงคนนั้นใช้คำพูดรุนแรงขึ้นเสียงกับแม่ของตนเอง หลวงพ่อคำจึงบอกกับแม่ของท่านว่า “หญิงคนนี้ไม่ดี อย่าได้เอามาเป็นเมียเลย” ด้วยอุปนิสัยโน้มเอียงไปสู่การถือเพศพรหมจรรย์ ท่านก็เลยไม่มีภรรยาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
    หลังจากบิดาของหลวงพ่อออกรุกขมูลแล้วหายสาบสูญไป หลวงพ่อคำได้ทำหน้าที่ของความเป็นบุตรผู้รู้กตัญญูกตเวทิตาคุณ ปรนนิบัติเลี้ยงดูผู้เป็นแม่มาโดยตลอด จนกระทั่งแม่ของหลวงพ่อถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 82 ปี ขณะนั้นหลวงพ่ออายุ 41 ปี ท่านได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณครั้งสำคัญอีกครั้งโดยการโกนหัวบวชเณร หน้าไฟให้แก่แม่ของท่านที่วัดขุมทรัพย์ อ.เมือง จ.อุทัยธานี แล้วได้ไปหาอาจารย์บุตร ให้พาไปบวชพระที่วัดใหญ่ ต.ท่าฉนวน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท โดยมีหลวงพ่อปั้น วัดหาดทะนง เป็นพระอุปัชฌาย์ในปี 2482 หลังอุปสมบทแล้วท่านได้ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อทิมวัดบ้านบน ต.ท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะ จ.นครสวรรค์
    ต่อมาในปี 2475 หลวงพ่อได้ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือมุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศพม่าเพื่อเสาะหา ศึกษาวิทยาความรู้ต่างๆ และกระทำบำเพ็ญความเพียรทางจิตอย่างจริงจัง
    ประมาณปี 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบ ท่านได้กลับมาจำพรรษาปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อทิม วัดบ้านบน ผู้เป็นอาจารย์ตามเดิม
    และในปีเดียวกันนั้นเองได้มีผู้ใจบุญผู้หนึ่งชื่อนายรัตน์ นุ่มทองคำ ได้มานิมนต์หลวงพ่อให้ไปช่วยสร้างวัดหัวทะเล ต.น้ำทรง อ.พยุหะ จ.นครสวรรค์
    ที่ดินของวัดหัวทะเล เดิมเป็นที่ของนายถนอม นุ่มทองคำ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายรัตน์ นุ่มทองคำ มีเนื้อที่ 10 ไร่ 1งาน แต่เดิมนั้นเป็นพื้นที่รกร้างเต็มไปด้วยป่าหญ้าคาและป่ายางหนาทึบจนแดดส่อง ไม่ถึง หลวงพ่อและลุงรัตน์ ได้เป็นกำลังสำคัญในการชักชวนชาวบ้านบ้าง พระจากวัดบ้านบนบ้าง ร่วมกันหักร้างถางพงบุกเบิกพื้นที่จนเป็นพื้นที่โล่งเตียน หลังจากนั้นลุงรัตน์จึงเริ่มนำวัตถุมงคลของหลวงพ่อคำ บอกหาเงินสร้างกุฏิถวายหลวงพ่อไว้จำพรรษาได้ 1 หลัง และต่อมาลุงรัตน์ก็ยังได้นำวัตถุมงคลของหลวงพ่อบอกบุญหาเงินเพื่อสร้าง ศาสนสถาน ศาสนวัตถุต่างๆขึ้นมา จนกระทั่งมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจบุญญาบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อและวัตถุมงคล ของท่านโดยแท้ (หากพิจารณาตามนี้จึงจะพอสันนิษฐานได้ว่าได้มีการริเริ่มสร้างวัตถุมงคลขึ้น มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2489 – 2490 เรื่อยมาตามลำดับ )
    บุคลิกของหลวงพ่อนั้นหากมองจากหน้าตาท่าทางท่านดูเหมือนท่านจะเป็นคนดุ แต่แท้ที่จริงแล้วหลวงพ่อท่านมีอุปนิสัยอ่อนโยน เยือกเย็น มีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สร้างความเชื่อถือศรัทธาและความซาบซึ้งตรึงใจ ให้กับผู้ที่เข้าไปพบปะกราบไหว้ได้อย่างดียิ่ง มีคุณลุงท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าสมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่แกไปกราบหลวงพ่อซึ่ง เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกแล้ว แต่หลวงพ่อท่านก็ยังกล่าวทักทายต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีมิได้บ่ายเบี่ยง ด้วยเรื่องเวลาแต่อย่างไร และที่สำคัญหลวงพ่อท่านยังมีน้ำใจชงโอวัลตินให้ลุงดื่มด้วยตัวท่านเอง สร้างความปลาบปลื้มปีติใจให้แก่คุณลุงยิ่งนัก ใครมาใครไปท่านจะบอกให้ทานนู่นทานนี่เท่าที่จะมีอยู่ใกล้ๆตัวท่านอยู่เป็น ประจำ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในกุฏิท่านใครจะขอเอาไปใช้ทำประโยชน์อย่างไรท่านให้ โดยที่ไม่มีแสดงอาการห่วงหวงเลย ท่านมีอัธยาศัยต้อนรับขับสู้เสมอภาคกันหมดไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านจะทรงไว้ซึ่งพรหมวิหารธรรมอยู่เป็นนิจ และองค์ท่านก็มีจิตวิทยาในการโน้มน้าวจูงใจคนสูง ใครจะมีอุปนิสัยมาอย่างไร ท่านก็คุยเข้ากันได้กับทุกอุปนิสัย ท่านเข้าใจสนทนาหว่านล้อมจนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องยอมลงให้แก่ท่าน ท่านก็ได้โอกาสสอดแทรกธรรมมะ หรือคติเตือนใจเข้าไปได้ ญาติโยมเข้ามาหาเครื่องรางของขลัง ท่านก็มักจะสอนให้ปฏิบัติที่ตัวเองมากกว่า เช่นมาหานางกวัก ท่านก็ว่า “จะมาหานางกวักอะไรที่นี่หล่ะ ไปหานางกวักที่บ้านซิดีกว่าเยอะ”โยมก็ไม่เข้าใจว่านางกวักจะมีที่บ้านของเขา ได้อย่างไรก็เลยถามหลวงพ่อว่านางกวักที่บ้านเป็นยังไง หลวงพ่อท่านก็เฉลยให้ฟังว่า “ก็หัวจอบซิจ๊ะ ยิ่งใช้เท่าไรก็ยิ่งรวยเท่านั้น” แม้แต่เรื่องทำบุญท่านก็ว่า “บุญน่ะไม่ใช่จะมาทำที่วัดกันอย่างเดียว กลับไปก็ต้องไปทำที่บ้านด้วย ขยัน อดทน ประหยัด ไม่สุรุ่ยสุร่าย ขยันให้เป็นหลัก ยกตัวอย่างโยมขยันทำนาได้ข้าวมาก ชาวบ้านเขาก็ว่า เอ้อ..ปีนี้มันได้ข้าวเยอะบุญของมันเน๊อะ นี่ไงเล่าบุญ” และโดยเฉพาะเด็กๆท่านจะเอ็นดูมากถ้าท่านเห็น ท่านก็มักจะเรียกมาแจกพระบ้าง แจกขนมนมเนยบ้าง สังเกตได้ว่าเหรียญของท่านจะทำเป็นเหรียญเล็กๆขนาดกะทัดรัดสำหรับคล้องคอ เด็กๆได้เหมาะสม และเหรียญของท่านก็สร้างปาฏิหาริย์ให้กับเด็กๆมามากต่อมากด้วยเช่นกัน ในคอเด็กๆในละแวกนั้นส่วนใหญ่จะมีเหรียญหรือไม่ก็ล๊อคเก๊ตของท่านเกือบทุกคน เด็กๆก็รักและเคารพนับถือท่านมาก บ้างก็ไปปัดกวาดเช็ดถู บ้างก็ไปบีบนวดให้ท่านท่านก็ได้โอกาสอบรมสั่งสอนคุณธรรมให้แก่เด็กๆไปในตัว

    ในสมัยที่ท่านอยู่พวกหมา พวกไก่ใครมาปล่อยไว้หรือพัดหลงมาเองท่านก็มีเมตตารับเลี้ยงไว้หมด คำพูดคำจาของท่านออกจะนุ่มนวลและเป็นกันเองตามแบบฉบับลูกทุ่งโดยแท้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะดีร้ายอย่างไร ท่านจะว่า “ ดีจ๊ะดี ” หมด เคยมีโยมท่านหนึ่งมาบอกหลวงพ่อว่าไฟไหม้บ้านเขา หลวงพ่อก็บอกว่า “ไฟไหม้ก็ดีซิจ๊ะ ก็จะได้บ้านใหม่ล่ะซิหว่า” น้ำท่วมอ้อยท่วมข้าวท่านก็ว่าดี “น้ำท่วมก็ดีซิจ๊ะ ก็จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาดูแลมันอีกไงล่ะ” อย่างนี้เป็นต้น เรื่องขันติธรรมท่านก็เป็นหนึ่งตลอดอายุสังขารในเวลาที่ท่านเจ็บป่วย ท่านไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่เคยแสดงอาการให้ใครเห็น เคยมีลูกศิษย์จะพาไปหาหมอ ท่านไม่ยอมไป ท่านว่าของท่านว่า “เป็นเองก็หายเองซิหว่า” ในด้านการขบฉัน ด้วยนิสสัยของพระปฏิบัติที่เคยถือธุดงค์เป็นวัตรทำให้ท่านมีปกติที่จะฉันแบบ เอกา คือการฉันในบาตรแต่อย่างเดียวไม่ใช้ภาชนะอื่น และฉันมื้อเดียว แต่เพื่อไม่ให้ขัดศรัทธาญาติโยมท่านก็ผ่อนปรนลงบ้างในกรณีที่มีกิจนิมนต์ฉัน เพลท่านก็สามารถฉลองศรัทธาได้ไม่ให้เสียกำลังใจญาติโยม เวลาท่านออกบิณฑบาต ท่านจะมีบาตรของท่านติดตัวไปเพียงใบเดียวเท่านั้น ใครจะใส่หวาน ใส่คาว ก็เทใส่รวมลงไปในนั้น บางคนหวังดีไม่อยากให้กับข้าวปนกันเกรงว่าท่านจะฉันไม่ได้รส พอท่านรับบิณฑบาตแล้วลับหลังท่านก็แก้ถุงออกแล้วเทรวมลงไปตามเดิม ท่านบอกของท่านว่า “ อย่างนี้ฉันง่ายดีจ๊ะ ไม่ต้องไปคลุกเคล้า เดี๋ยวก็ลงไปเคล้ากันในท้องอยู่ดีแหละจ๊ะ” เส้นทางที่ท่านใช้บิณฑบาตก็แปลกเช่นกันพอได้เวลาสักประมาณ 4 -5 เย็นท่านจะพาพระลูกวัดปัดกวาดทำความสะอาดทุกวันตั้งแต่ออกจากวัดจนกระทั่ง สุดเส้นทางบิณฑบาตทั้งขาไปและขากลับอยู่เป็นประจำ ท่านเป็นพระขยัน นอกเสียจากเวลาปฏิบัติของท่านแล้ว ท่านมักจะทำนู่นทำนี่อยู่เสมอ กว่าจะเข้ากุฏิจำวัดได้ก็ค่อนข้างดึกบางคราวท่านก็นั่งปฏิบัติทั้งคืน หากจำวัดท่านก็ตื่นแต่เช้าประมาณตี 3 ทำกิจวัตรส่วนตัวทำวัตรสวดมนต์ตามปกติของท่าน สักประมาณตี 4 ท่านก็จะออกปัดกวาดบริเวณวัด พระลูกวัดรูปไหนยังไม่ตื่นท่านก็ไม่ดุไม่ว่าแต่ท่านจะไปเที่ยวกวาดอยู่ใน บริเวณใกล้ๆกุฏิของพระรูปนั้นนั่นเอง นับว่าเป็นอุบายวิธีที่แยบคาย การจำวัดของท่านท่านจะจำวัดในท่าสีหไสยาสน์เสมอ จะเห็นได้จากรูปอิริยาบถต่างๆของท่านที่วัดสุวรรณรัตนาราม และด้วยปฏิปทาจริยาวัตรที่ท่านถือปฏิบัติบ่มเพาะบำเพ็ญเพียรมาอย่างอุกฤษฏ์ นี้เอง จึงเป็นผลให้วัตถุมงคลของท่านทรงอานุภาพศักด์สิทธิ์ แม้แค่เสกเป่าเพียงพ่วงเดียวก็ก่อให้เกิดความเข้มขลังมีประสบการณ์เป็นพยาน ยืนยันมาหลายต่อหลายราย เมื่อจิตของท่านยังทรงกำลังฌานอยู่ ท่านจะกำหนดที่อะไรกะแสจิตก็ยิ่งไวต่อสิ่งนั้น ดังที่ชาวบ้านเกรงบารมีท่านกันนักหนาในเรื่องวาจาสิทธิ์ของท่าน ท่านพูดอย่างไรย่อมเป็นไปอย่างนั้นไม่มีพลาดเลย ยกตัวอย่าง ท่านเห็นญาติโยมที่กราบลากลับไปขึ้นรถกันหมดแล้วแต่ยังไม่ทันได้สตาร์ท เครื่อง ท่านจึงทักว่า “ เอ้า..มันยังไม่ไปกันหรือหว่าน่ะ” ทีนี้เองเจ้าของรถจะสตาร์ทรถอย่างไรก็ไม่ติด พอท่านเห็นท่าไม่ค่อยดีท่านจึงกล่าวว่า “เออ..ไปกันได้แล้ว” เท่านั้นแหละรถก็สตาร์ทติดชึ่ง ได้อย่างง่ายดาย ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เล่ากันว่าหากไม่ขออนุญาตท่านแล้วจะถ่ายรูปท่าน อย่างไรก็ถ่ายไม่ติด การล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความพิศวงงงงวยให้ กับบุคคลใกล้ชิดอยู่เสมอ เช่น เรื่องของคุณหมอในตลาดพยุหะท่านหนึ่งมากราบหลวงพ่อเมื่อเสร็จธุระแล้วก่อน กลับคุณหมอก็กราบขอพรหลวงพ่อ แต่คราวนี้แทนที่หลวงพ่อจะให้พรตามปกติ หลวงพ่อกลับกล่าวทักขึ้นมาว่า เออ..ไปเถอะอย่างหมอเนี่ยถึงชนกันก็ไม่ตาย คุณหมอก็งงๆกับพรของหลวงพ่อเช่นกัน แต่เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกพยุหะปรากฏว่ามีรถวิ่งเข้ามาชนรถคุณหมอจริงๆ สภาพรถยับเยินแต่คุณหมอไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างไร

    ในเรื่องโชคลาภนั้นมีอยู่มากมายเช่นกัน อย่างเช่นคราวหนึ่งเมื่อนายโย มากราบหลวงพ่อแต่การกราบคราวนี้ต่างจากการเข้ามากราบทุกๆครั้ง เนื่องจากเมื่อนายโยก้มกราบหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อกลับใช้เท้าเหยียบลงไปบนหัวของนายโย สร้างความประหลาดใจให้กับนายโยเป็นอย่างมาก และในงวดนั้นนั่นเองปรากฏว่านายโยถูกล๊อตตารี่รางวัลที่ 1 อย่างไม่คาดคิด คราวนี้เองนายโยจึงเข้าใจพระคุณรอยเท้าหลวงพ่อที่ประทับลงมาบนศรีษะว่ามี ความหมายและเป็นศิริมงคลต่อตนอย่างไร
    มีโยมคนหนึ่งมาขอหวยจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็ปฏิเสธบ่ายเบี่ยงว่าท่านไม่รู้หรอกว่าหวยมันจะออกเลขอะไรถ้า อยากรู้ก็ให้ไปถามกองสลากกินแบ่งโน่น โยมบอกว่าไปไม่ถูกแต่เขาได้เลข 82 มาจากหลวงพ่ออื่น หลวงพ่อก็เลยควักแบงค์ 20 ฝากโยมซื้อหวยเลขนั้นด้วย “งั้นข้าฝากซื้อ 20 นะ” ชาวบ้านเห็นหลวงพ่อซื้อเลข 82 ก็พากันซื้อเลข 82 กันยกใหญ่ ปรากฏว่าหวยงวดนั้นออก 20 ชาวบ้านได้ยินแล้วหงายท้องตามๆกันที่สำคัญความหมายของหลวงพ่อผิด
    คุณลุงอีกท่านบ้านอยู่ทางวัดดงขวาง จ.อุทัยธานีเล่าว่า ตอนแกบวชแกไปสึกกับหลวงพ่อคำ(แกเล่าว่าตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ที่วัดอีเติ่ง) แกแลเห็นกุฏิหลวงพ่อจุดเทียนสว่างจนดึกจนดื่นด้วยความสงสัยแกจึงแอบดู ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านนั่งสมาธิตลอดทั้งคืน เมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่พระลูกวัดแยกย้ายกันไปจำวัดแล้วแกก็เห็นหลวงพ่อ เดินไปเดินมา เหมือนกับเดินจงกรมแต่แกก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่อเมื่อฟ้าสว่างท่านเดินผ่านกุฏิหลวงพ่ออีกครั้ง ทำให้ลุงแกถึงกับอึ้ง..เพราะปรากฎว่าหลังกุฏิหลวงพ่อเป็นลำคลองที่มีน้ำอยู่ เต็มตลิ่ง นอกจากนั้นลุงท่านนี้ยังเล่าว่าหลวงพ่อท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ ปั๋ง เหมือนกับท่านไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทั้งๆที่หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลยสำหรับข้อห้ามในการใช้เครื่องรางของขลังของหลวงพ่อ ท่านไม่มีข้อห้ามยุ่งยากเหมือนหลวงปู่หลวงพ่อท่านอื่นๆเลย ท่านห้ามผิดศีลข้อ 3 เป็นหลัก และก็ห้ามด่าพ่อด่าแม่ เท่านั้นเอง ท่านว่า ทองคำอย่างไรก็เป็นทองคำ ตกน้ำก็เป็นทองคำ ตกไฟละลายแล้วก็ยังเป็นทองคำ อยู่วันยันค่ำ
    ความมหัศจรรย์ในองค์ท่านผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่าเล่าวันนึงก็ไม่หมด ด้วยเหตุที่หลวงพ่อเป็นพระผู้นั่งอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของชาวบ้านทุก เพศทุกวัยจึงพูดได้เต็มปากว่าท่านเป็นเสมือนหนึ่ง “เทพเจ้าแห่งน้ำทรง”
    ขอบคุณข้อมูลดีๆจากคุณฝุ่นดิน (สูญญากาศ) และคุณสิทธิ์พยุหะ
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่คำหลังสิงห์ ปี๒๕๒๗
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250528_163137.jpg IMG_20250528_163246.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,200
    ค่าพลัง:
    +21,388
    3-wm.jpg

    พระหูยานรุ่นปืนแตก ๒๕๑๓
    วัดราชบพิธ
    “พระพิมพ์หูยานลพบุรี” โดยสร้างล้อพิมพ์จาก “พระหูยานศิลปะลพบุรี” โดยแกะแม่พิมพ์ขึ้นใหม่มีความสวยงามขนาดพอเหมาะคือไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป ด้านหลังประดิษฐานพระปรมาภิไธยย่อ “จ.ป.ร.” จัดสร้างเป็น 2 เนื้อ “นวโลหะ” และ “เนื้อทองแดง” ออกแบบและแกะแม่พิมพ์โดย นายช่างเกษม มงคลเจริญ
    จำนวนสร้างที่ระบุในใบสูจิบัตรของวัดราชบพิธฯที่จัดพิมพ์ในปี ๒๕๑๓ ระบุว่า
    - เนื้อนวโลหะ ๕,๐๐๐ องค์
    - เนื้อทองผสมที่มีทองแดงเป็นส่วนผสมหลัก ๑๐๐,๐๐๐ องค์
    “การจัดสร้างวัตถุมงคลฉลอง 100 ปีของวัดราชบพิธฯครั้งนั้น มีความพิถีพิถันมากโดยกำชับให้ช่างทำการเจือ “เนื้อโลหะ” ทั้งหมดที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จฯเททองวัตถุมงคลเป็นปฐมฤกษ์ ผสมกับแผ่นยันต์ลงอักขระของบรรดา “คณาจารย์” ผู้ทรงวิทยาคุณจากทั่วประเทศ “108รูป” พร้อมทั้งชนวนโลหะวัตถุมงคลรุ่นเก่า ๆ ทุกรุ่นของวัดราชบพิธฯลงในวัตถุมงคล “ทุกแบบทุกเนื้อและทุกพิมพ์” ให้ทั่วถึงกัน
    ในหลวงเสด็จพระราชดำเนิน ประกอบพิธีถึง 3 ครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯเททอง ผสมกับ ชนวนโลหะวัตถุมงคลรุ่นเก่า ๆ ของวัดราชบพิธฯ รวมกับ แผ่นยันต์ลงอักขระของพระเกจิ ผู้ทรงพุทธาคม จากทั่วประเทศ ๑๐๘รูป ในวัตถุมงคล ทั้งเนื้อนวโลหะ และเนื้อทองแดงโดยทั่วถึงกันอย่างพิถีพิถันพิธีมหาพุทธาภิเษก 3 วัน 3 คืน ''''''โดยพระคณาจารย์ 108 รูป ซึ่งล้วนเเต่เป็นพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านพุทธคมในยุคนั้นทั้ง สิ้นที่รับนิมนต์มานั่งปรกปริกรรมเจริญภาวนาโดยผลัดเปลี่ยนกันมาร่วมพิธีใน เเต่ละวันดังนี้
    O.....วันศุกร์ที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ระหว่างเวลา ๑๖.๓๐-๒๐.๐๐ น. คือ
    ๑.) พระเทพสังวรวิมล (เจียง) วัดเจริญสุขาราม จ.สมุทรสงคราม
    ๒.) พระราชธปรมากรณ์ (เงิน) วัดดอนยายหอม จ.นคร ปฐม
    ๓.) พระศูพิพิธวิหารการ (หลวงพ่อเทียม) วัดกษัตราธิราช จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๔.) หลวงพ่อกี วัดหูช้าง จ.นนทบุรี
    ๕.) พระครูโสภณพัฒนกิจ วัดอัมพวา บางกอกน้อย ธนบุรี กรุงเทพฯ
    ๖.) พระครูสุทธิการี (หลวงพ่อทองอยู่) วัดใหม่หนองพะอง จ.สมุทรสาคร
    ๗.) พระครูโพธิสารประสาธน์ (บุญมี) วัดโพธิ์สัมพันธ์ จ.ชลบุรี
    ๘.) พระครูอุภัยภาดาทร (หลวงพ่อขอม) วัดโพธาราม (วัดไผ่โรงวัว) จ.สุพรรณบุรี
    ๙.) พระครูนนทกิจวิมล (หลวงพ่อชื่น) วัดตำหนักเหนือ จ.นนท บุรี
    ๑๐.) พระครูสมุห์อำพล วัดประสาทบุญญาวาส กรุงเทพฯ
    ๑๑.) พระอาจารย์อรุณ วัดตะล่อม ธนบุรี กรุงเทพฯ
    ๑๒.) พระครูสมุห์สำรวย วัดกษัตราธิราช จ.พระนครศรีอยุธยา
    O.....เวลา ๒๐.๐๐-๒๒.๐๐ น.
    ๑.) พระราชสุทธาจารย์ (โชติ ระลึกชาติ) วัดวชิราลงกรณ์จ.นครราชสีมา
    ๒.) พระนิโรธรังสีคัมภีร์เมธาจารย์ (หลวงปู่เทสก์ เทสโก) วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
    ๓.) พระอินทสมาจารย์ (เงิน อินทสโร) วัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ
    ๔.) พระครูสภาพรพุทธมนต์ (สำเนียง อยู่สถาพร) วัดเวฬุวนาราม จ.นครปฐม ๕.) พระครูกัลป์ยานุกูล (เฮง) วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี กรุงเทพฯ
    ๖.) พระครูภาวนาภิรม วัดปากน้ำภาษีเจริญ ธนบุรี กรุงเทพ
    ๗.) พระครูประภัสสรศีลคุณ (เอก) วัดไผ่ดำ จ.สิงห์บุรี
    ๘.) พระครูสมุห์หิน วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ
    ๙.) หลวง พ่อใหญ่อภินันโท (จุล) วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี
    ๑๐.) พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโศธาราม จ.อุดรธานี
    ๑๑.) พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน (พระธรรมวิสุทธิมงคล) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ๑๒.) พระครูใบฎีกาสมาน (หลวงพ่อเณร) วัดพรพระร่วง กรุงเทพฯ,
    O.....เวลา ๒๒.๐๐-๒๔.๐๐ น.
    ๑.) พระราชวตาจารย์ วัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพฯ
    ๒.) พระญาณโพธิ (เข็ม) วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ
    ๓.) พระวิเชียรมุนี วัดอินทราม กรุงเทพฯ
    ๔.) พระพุทธมนต์วราจารย์ (สุพจน์) วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ
    ๕.) พระโสภณมหาจารย์ วัดดาวดึงนาราม กรุงเทพฯ
    ๖.) พระครูพิบูลมงคล วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ
    ๗.) พระมงคลสุรี วัดนาคกลาง กรุงเทพฯ
    ๘.) พระครูปลัดสงัด วัดโพธิ์ท่าเตียน กรุงเทพฯ
    ๙.) พระครูวินัยธร (เดช) วัดสระเกศฯ กรุงเทพฯ
    ๑๐.) พระปลัดมานพ วัดชิโนรสราม กรุงเทพฯ
    ๑๑.) พระมหาวาส วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ
    ๑๒.) พระอาจารย์ผ่อง จินดา วัดจักรวรรดิ (สามปลื้ม) กรุง เทพฯ,
    ....พระสวดพุทธาภิเษก.....
    ......ระหว่างเวลา ๑๖.๓๐-๒๑.๐๐น. จำนวน ๔ รูป จากวัดสุทัศนเทพวราราม
    ......ระหว่าง เวลา ๒๑.๐๐-๒๔.๐๐ น. จำนวน ๔ รูป จากวัดบวรนิเวศวิหาร ๒ วัน
    ......เสาร์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ เวลา ๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น.
    ๑.) พระธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม ธนบุรี กรุงเทพฯ,
    ๒.) พระโพธิวรคุณ (ไพฑูรย์) วัดโพธิ์นิมิต กรุงเทพฯ,
    ๓.) พระครูสีลวิสุทธาจารย์ วัดสง่างาม จ.ปราจีนบุรี
    ๔.) พระครูประภัศระธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อแต้ม) วัดพระลอย จ.สุพรรณบุรี
    ๕.) พระครูประสิทธิสารคุณ (พ้น) วัดอุบลวรรณาราม จ.ราชบุรี
    ๖.) พระครูสังฆวฒาจารย์ (หลวงปู่เย่อ) วัดอาฬาสงคราม จ.สมุทรปราการ ๗.) พระอาจารย์หนู วัดบางกะดี่ กรุงเทพฯ
    ๘.) พระอาจารย์มงคล (กิมไซ) วัดป่าเกตุ จ.สมุทรปราการ
    ๙.) พระครูสมุห์ทองคำ วัดเสาธงทอง จ.ลพบุรี
    ๑๐.) พระอาจารย์สมภพ เตชบุญโญ วัดสาลีโขภิรตาราม จ.นนทบุรี
    ๑๑.) พระอาจารย์ยาน วัดถ้ำเขาหลักไก่ จ.ราชบุรี,
    ๑๒.) พระอาจารย์บุญกู้ วัดอโศกตาราม จ.สมุทรปราการ
    ......เวลา ๒๐.๐๐-๒๒.๐๐ น.
    ๑.) พระสุนทรธรรมภาณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
    ๒.) พระครูโสภณกัลป์นาณวัตร (เส่ง) วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ
    ๓.) พระครูวรพรตศีลขันธ์ (แฟ้ม) วัดป่าอรัญศิกาวาส จ.ชลบุรี
    ๔.) พระครูปสาธน์วิทยาคม (หลวงพ่อนอ) วัดกลางท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
    ๕.) พระอาจารย์บุญเพ็ง วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
    ๖.) พระอาจารย์สุวัจน์ วัดป่าภูธรพิทักษ์ จ.สกลนคร
    ๗.) พระอาจารย์วัน วัดป่าอภัยวัน (ภูเหล็ก) จ.สกลนคร
    ๘.) พระอาจารย์สุพัฒน์ วัดบ้านใต้ จ.สกลนคร
    ๙.) พระอาจารย์ทองสุข วัดถ้ำเจ้าภูเขา จ.สกลนคร
    ๑๐.) พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโม วัดเขาน้อยสามผา จ.จันทบุรี
    ๑๑.) พระอาจารย์ดวน วัดมเหยงค์ จ.นครศรีธรรมราช
    ๑๒.) พระอาจารย์สอาด วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
    .....เวลา ๒๒.๐๐-๒๔.๐๐ น.
    ๑.)พระเทพเมธากร วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ
    ๒.) พระราชวรญาณมุนี นุภพศิริมาตราม กรุงเทพฯ
    ๓.) พระปัญญาพิศาลเถระ วัดราชประดิษฐ์ กรุงเทพฯ
    ๔.) พระครูโสภณสมาธิวัตร วัดเจ้ามูล ธนบุรี กรุงเทพฯ
    ๕.) พระครูวิริยะกิตติ (หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี) ธนบุรี กรุงเทพฯ
    ๖.) พระครูพิชัย ณรงค์ฤทธิ์ วัดสิตาราม กรุงเทพฯ
    ๗.) พระครูปลัดถวิล วัดยางระหงษ์ จ.จันทบุรี
    ๘.) พระอธิการพัตน์ วัดเเสนเกษม กรุงเทพฯ
    ๙.) พระอาจารย์เชื้อ หนูเพชร วัดสะพานสูง กรุงเทพฯ
    ๑๐.) พระอาจารย์รัตน์ วัดปทุมคงคา กรุเทพฯ
    ๑๑.) พระครูสังฆรักษ์ (กาวงค์) วัดป่าดาราภิรมย์ จ.เชียงใหม่
    ๑๒.) พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา จ.พัทลุง โดยมีพระสวดพุทธาภิเษก
    ......เวลา ๑๘.๐๐-๒๑.๐๐ น. พระภิกษุ ๔ รูป จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเเละจากวัดราชประดิษฐ์
    ......เวลา ๒๑.๐๐-๒๔.๐๐น. ๓.
    .....วันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ก็ล้วนเเต่เป็น “พระคณาจารย์” ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาคมแห่งยุคซึ่งส่วนใหญ่ได้ “มรณภาพ” แล้วรวม ๓ วัน “ครบถ้วน ๑๐๘ รูป”
    หลังพิธีพุทธาภิเษก ได้มีบรรดานายทหารจาก กรมรักษาดินแดน และ กระทรวงกลาโหม ซึ่งอยู่ใกล้กับ วัดราชบพิธฯ ได้ มาบูชาไปเป็นจำนวนมาก โดยนายทหารที่บูชาไปในสมัยนั้น ได้มีการนำพระรุ่นนี้ไป เลี่ยมพลาสติกแล้วไปแขวนกับ ธงชาติ จากนั้นจึงได้ชักธงชาติระดับเหนือศีรษะ แล้วทำการ “ทดลองยิง”'''''''''''''''' ปรากฏว่า ปืนยิงไม่ออกในนัดแรก บรรดาผู้ทดลอง จึงทำการตรวจสอบปืนใหม่แล้วยิงอีกนัด คราวนี้ปรากฏว่าเกิดเสียงระเบิด ดังขึ้น และพอสิ้นเสียงระเบิด ปรากฏ ปากกระบอกปืนที่ใช้ทดลองยิงแตกเป็นรอยร้าว จึงเรียก พระรุ่นนี้ว่ารุ่น “ปืนแตก”'''''''''''''''''''' นอกจากนี้ พระหูยานรุ่นปืนแตกนี้ ได้ปรากฏปาฏิหาริย์ ช่วยเหลือ บรรดาทหารที่อาสาสมัครไปร่วมรบ ในสมรภูมิเวียดนามรอดชีวิตกลับมาเป็นที่ร่ำลือว่า บรรดาเซียนพระหลายราย ก็มีการบอกเล่ากันต่อ ๆ มาว่า พระหูยาน จ.ป.ร. นี้ มีพุทธคุณเข้มขลังมาก ๆ ครับ
    จำนวนสร้างที่ระบุในใบสูจิบัตรของวัดราชบพิธฯที่จัดพิมพ์ในปี ๒๕๑๓ ระบุว่าสร้างด้วยเนื้อนวโลหะ ๕,๐๐๐ องค์ เนื้อทองผสมที่มีทองแดงเป็นส่วนผสมหลัก ๑๐๐,๐๐๐ องค์ ครับ แต่เมื่อคราวที่ผมกำลังรวบรวมข้อมูลจัดทำหนังสือมหามงคลแห่งแผ่นดิน ได้มีโอกาสติดตามคุณสมชาย จันทวังโส อดีตเลขาส่วนพระองค์เสด็จองค์ชายใหญ่พล.ต.พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และคุณเสรี ชยามฤต นายกสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยไปสนทนากับท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี(เจ้าคุณชิน อัคคชิโน)วัดราชบพิธฯ จึงได้ทราบว่าจำนวนสร้างเนื้อทองแดงมีถึง ๒๐๐,๐๐๐ องค์ เหตุเพราะนายช่างเกษม มงคลเจริญ ผู้ออกแบบจัดสร้าง ได้รับมอบโลหะแผ่นทองแดงจารของพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศไว้เป็นจำนวนมากและได้ประเคนใส่ไปในรุ่นนี้อย่างเต็มที่ และมีความเสียดายโลหะจึงนำมาจัดสร้างพระหูยานรุ่นนี้หมดครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 800 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20250304_211909.jpg IMG_20250304_211933.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...