เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 กรกฎาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อครู่นี้ พวกเราก็ได้ตามประทีปถวายเป็นพุทธบูชาไปเรียบร้อยแล้ว อีกสักครู่จะเป็นการทำวัตรค่ำ หลังจากนั้นก็จะเป็นการเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชา

    คราวนี้ในช่วงนี้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ก็แปลว่าการเวียนเทียนอาจจะเจอฝนบ้าง ในเรื่องของเจ้าที่เจ้าทาง หรือว่าพรหมเทวดา ท่านพร้อมที่จะสงเคราะห์ในเรื่องของการบุญการกุศลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราทั้งหลายนั้นจะต้องเข้าใจว่า ท่านช่วยได้แค่ไม่เกินกฎของกรรมเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะช่วยได้ในทุกเรื่อง เพราะว่าการละเมิดกฎของกรรมนั้น บางทีท่านก็ต้องรับโทษเอง ในบางส่วนนั้นดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นโทษ แต่ท้ายสุดก็เป็นจนได้

    อย่างเทวดาชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้รับการขอร้องจากผู้ที่เป็นพ่อแม่ ให้ไปตามลูกสาวของตนที่โดนหลอกลวงไปคืนมา ปรากฏว่าต้องเข้าไปตามในสถานขายบริการ ซึ่งสมัยก่อนเรียกกันว่า "ซ่อง" ทั้ง ๆ ที่เข้าไปโดยเจตนาดี เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่ได้รับการขอร้องมา แต่กลายเป็นว่าโดนลงโทษกักบริเวณไป ๑๕ วัน..! เนื่องเพราะเทวดาที่เป็นผู้ปกครองบอกว่า ท่านเป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่แล้ว เข้าไปในสถานที่ต่ำทรามแบบนั้น จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เทวดาอื่น ๆ ดังนั้น..บางเรื่องถ้าหากว่าท่านช่วยเราจนกระทั่งตนเองเดือดร้อน แบบนั้นถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพก็ไม่กล้าขอร้องเหมือนกัน

    แต่ญาติโยมจะเห็นว่าส่วนใหญ่ถ้าเป็นงานของวัดท่าขนุน ต่อให้เป็นหน้าฝนขนาดไหนก็ตาม น้อยครั้งที่เราจะต้องหลบต้องหลีกกัน กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนมา ๑๖ ปี เป็นรองเจ้าอาวาสมาอีก ๔ ปี รวมแล้ว ๒๐ ปีเต็ม ย่างเข้าปีที่ ๒๑ เวลาจัดงานมีต้องหลีกให้ฝนแค่ ๒ ครั้ง ก็ประมาณ ๑๐ ปีต่อ ๑ ครั้ง นี่ถือว่าท่านช่วยเต็มที่แล้ว..!

    อีกส่วนหนึ่งก็คือวันนี้มีข่าวที่ออกมาเกี่ยวกับพระภิกษุรูปหนึ่ง สอนธรรมผิดเพี้ยนอีกตามเคย ก็คือสอนว่าการที่เราเข้าร้านกาแฟไปสั่งกาแฟมากินนั้น เท่ากับว่าเราปฏิบัติในรูป ในเมื่อเป็นการปฏิบัติในรูปก็แปลว่าเราต้องทรงรูปฌานได้ ซึ่งคำสอนเพี้ยน ๆ เหล่านี้ไปไกลเกินกว่าที่ครูบาอาจารย์ก็ดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตามได้สอนเอาไว้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    ในเรื่องของสัทธรรมปฏิรูป คือสิ่งที่ปลอมปนเข้ามาในพระพุทธศาสนานั้น มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เนื่องเพราะว่าปุถุชนเหล่านั้นที่เข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ยังนำเอาความเชื่อและแนวการปฏิบัติในศาสนาเก่าของตนมาสอน แต่ยังดีว่าสมัยนั้นองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ จึงสามารถที่จะแก้ไขผิดให้เป็นถูกได้

    แต่ครั้นพระองค์ท่านปรินิพพานไปแค่ประมาณ ๑๐๐ ปีเท่านั้น ก็มีคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นว่า "เหล้าที่มีรสอ่อน สีเหมือนเท้านกพิราบ พระภิกษุสามารถฉันได้" ถ้าหากว่าพิจารณาเข้ากับสมัยนี้ก็น่าจะเป็นไวน์แดง เพราะเขาใช้คำว่า "รสอ่อนและสีเหมือนเท้านกพิราบ"

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แค่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปประมาณ ๑๐๐ ปีเท่านั้น มีพระเถระหลายรูปที่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและยังมีชีวิตอยู่ อย่างเช่นพระเรวัตตะเถระ เนื่องเพราะว่าท่านอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี ขนาดนั้นคำสอนยังโดนตีความผิดเพี้ยนไปมากแล้ว หลังจากนั้นก็ยังมีการยึดมั่นถือมั่นตามที่ครูบาอาจารย์ของตนสอน จนกระทั่งเรียกกันว่า "อาจริยวาท" คือถือคำพูดของอาจารย์เป็นใหญ่ ทำให้มีการแตกแขนงออกไปถึง ๑๘ นิกายด้วยกัน

    ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าในประเทศไทยปัจจุบันนี้ของเรามีหลายนิกาย เอาหลัก ๆ ก็มีดั้งเดิมคือพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย พระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย แล้วก็มีภิกษุจีนนิกาย ภิกษุอนัมนิกาย แล้วก็ยังมีสายการปฏิบัติที่แยกออกไปต่างหาก เพราะว่าผิดกฎหมายไม่ได้รับการยอมรับบ้าง หรือว่าคำสอนผิดเพี้ยนจนกระทั่งโดนทางสายต้นกำเนิดของตนตัดออกจากกองมรดกไปบ้าง..!

    พวกนี้ก็มักจะมีคำสอนที่ผิด ๆ เพี้ยน ๆ เพราะยึดถือตามครูบาอาจารย์ของตนเช่นกัน แต่ประเทศไทยในปัจจุบันก็ยังไม่หนักเท่ากับสมัยก่อนนั้นที่แตกออกเป็นถึง ๑๘ นิกาย แต่ว่าบ้านเราก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะว่าปัจจุบันนี้
    ไปถือคำสอนของครูบาอาจารย์ มากกว่าถือคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    อย่างเช่นกล่าวว่าหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพงสอนอย่างนี้ หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาดสอนอย่างนี้ เป็นต้น ไม่ใช่ว่าทั้งสององค์ท่านสอนไม่ดี สอนไม่ถูก แต่กลายเป็นว่าในสิ่งที่ท่านสอนดีสอนถูกนั่นแหละ ถ้าลูกศิษย์ทำไม่ถึงแล้วนำไปอธิบายต่อแบบผิด ๆ ถ้าเนิ่นนานไปก็อาจจะเป็นอาจริยวาท ก็คือยึดถือคำหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพงเป็นหลัก ยึดถือคำหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาดเป็นหลัก แต่เป็นการยึดที่ผิดไปจากการสอนที่แท้จริงของทั้งสองท่าน เป็นการยึดเพราะว่าบรรดาลูกศิษย์ที่ทำไม่ถึงที่สุดแบบครูบาอาจารย์ ไปตีความผิดเพี้ยนกันไปเอง

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลา ดังเช่นเมื่อเช้า ถ้าหากว่าญาติโยมสังเกตจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพก่อนที่จะแสดงพระธรรมเทศนาได้มีการบอกศักราชเสียก่อน ซึ่งเป็นการบอกศักราชแค่ครึ่งเดียวอีกด้วย

    ถ้าเป็นสมัยก่อน เขาจะบอกอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันนี้เป็นวันใด เดือนใด ปีใด พระพุทธศาสนาของเรามีอายุกาลล่วงไปแล้วนานเท่าไร ยังเหลืออายุพระพุทธศาสนาอยู่เท่าใด
    เพื่อเป็นการเตือนสติ ไม่ให้ญาติโยมทั้งหลายประมาท เพราะว่าเวลาลดน้อยถอยลงไปทุกวัน ถ้าเรายังไม่เร่งการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา จนเกิดประโยชน์แก่ตนอย่างแท้จริงแล้ว เราอาจจะตายเปล่าไปอีกชาติหนึ่ง อยู่ในลักษณะของการ "เสียชาติเกิด" แล้วการตายของเราก็อาจจะอยู่ในลักษณะว่าตกสู่อบายภูมิ ต้องเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์นับกัปกัลป์อนันตชาติ

    ดังนั้น..เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมและน้อมนำไปปฏิบัติ ก็ต้องเร่งรัดเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประมาทมัวเมาว่าเราอายุยังน้อย เรายังแข็งแรง เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ปุบปับเป็นอะไรขึ้นมา เราจะคว้าหลักธรรมอะไรไม่ติดเลย

    เนื่องเพราะว่าจิตนั้นมีสภาพจำ เราต้องป้อนข้อมูลดี ๆ เข้าไปทุกวัน จิตถึงจะยึดจะเกาะ ไม่ใช่ไม่เคยมีอะไรให้จิตได้กระทำจนเคยชิน ถึงเวลาแล้วจิตจะไปยึดไปเกาะในสิ่งที่ดีเองนั้น เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง

    สภาพจิตของเรานั้นมีการไหลลงต่ำเป็นปกติ ก็แปลว่าเราจะไปยึดเกาะในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ละเมิดศีลละเมิดธรรมเสียมากกว่า แล้วก็จะพาให้ตัวเราเดือดร้อน เพราะว่าในเมื่อจิตจดจำในสิ่งที่ไม่ดี เราก็ต้องไปสู่ทุคติ วินิบาต ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คือนรกนั่นเอง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...