เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 มิถุนายน 2025 at 19:21.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,263
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,647
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,263
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,647
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่เมืองจางเยว่อยู่ที่ ๑๔ องศาเซลเซียส ด้วยความที่อยู่ในห้องพัก จึงไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไร

    เมื่อจัดการกับธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เวลา ๖ โมงครึ่งกระผม/อาตมภาดก็ลงไปยังห้องอาหารข้างล่าง แต่ว่าเจ้าหน้าที่น่าจะเป็นลูกศิษย์ของ "ท่านเปา" ก็เลยไม่ยอมให้เข้าห้องอาหารก่อนเวลา ด้วยความที่ว่าห้องอาหารเปิดตอน ๗ โมงเช้า พวกเรานั่งรอจนห้องอาหารเปิด จึงเอาบัตรไปยื่นให้คุณเธอแล้วค่อยเข้าไปตักอาหาร แต่ด้วยความที่ว่าโรงแรมนี้มีนักท่องเที่ยวจีนพักอยู่เป็นจำนวนมาก ทันทีที่กระผม/อาตมภาพเข้าไปตักอาหาร ก็มีคนจีนทั้งหลายส่งเสียงล้งเล้งไล่หลังมาทันที เมื่อไปหาที่นั่งเสร็จ ทั้งห้องอาหารก็แน่นไปหมดแล้ว

    เรื่องของการรบราฆ่าฟันนี้ ประชากรจีนมีความชำนิชำนาญมาตั้งแต่โบราณ จึงสามารถสร้างอาณาจักรหัวเซี่ยได้ใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ พวกเราที่เป็นประเทศเล็ก ๆ อยู่ห่างไกลความเจริญ ย่อมไม่สามารถที่จะ "สู้รบปรบมือ" กับประเทศมหาอำนาจแบบนี้ได้..!

    เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็คืนกุญแจห้อง แล้วเดินออกไปทางด้านนอกพร้อมกระเป๋าเตรียมที่จะไปรอรถ แต่ปรากฏว่ารถของเรามาถึงแล้วอีกตามเคย จึงเอากระเป๋าไปไว้ยังที่นั่ง แล้วลงมาถ่ายรูปบรรดารถส่วนตัวสวย ๆ ของนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ดูแล้วดูอีกก็ยังสงสัยว่า คนจีนสมัยนี้ไม่ถือสาเลยหรืออย่างไร ? รถที่จอดอยู่นั้น ๗๐ - ๘๐ เปอร์เซ็นต์เป็นสีดำทั้งสิ้น..!

    เมื่อพวกเรามากันพร้อมแล้ว พลขับก็นำพวกเรามุ่งตรงไปยังอุทยานจางเยว่ คุณโบตั๋นจัดการให้ข้อมูลที่ท่องมาทั้งคืน บอกว่าเขาโหลดมาให้ เป็นตัวหนังสือโคตรจะเล็กเลย..! พวกเราฟังข้อมูลยังไม่ทันจะจบก็มาถึงอุทยานแล้ว ทำการซื้อตั๋วแล้วก็ตรงเข้าไปยังจุดที่ ๑ ซึ่งหนทางนอกจากจะค่อนข้างชันแล้ว ยังไกลอีกต่างหาก โดยที่เราถ่ายรูปหมู่กันก่อน พร้อมกับชี้จุดนัดพบบริเวณหน้าห้องน้ำ จากนั้นก็ปล่อยให้ฟรีสไตล์ ใครย้อนกลับลงมาก่อนก็กรุณารอคนอื่นอยู่ตรงนี้ด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,263
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,647
    แดดวันนี้จัดจ้าดีมาก กระผม/อาตมภาพอดไม่ได้ที่ต้องขอบคุณขอบใจ "ท่านอูฐ" และบริวาร ถ้าขืนให้ฝนกระหน่ำแบบเมื่อวานนี้ มีหวังงานกร่อยแน่นอน พวกเราเดินหามุมถ่ายรูป ซึ่งถ้าถ่ายรูปไม่เป็นก็มีช่างมีอาชีพที่มาตั้งบูธรอถ่ายรูปอยู่แล้ว ร้านของเขาก็เป็นรูปอูฐหมอบอยู่สองร้าน ดูแล้วน่ารักมาก ๆ เพียงแต่ว่าจุดที่ ๑ นี้ ความงามยังไม่ถึงที่สุด เพียงแต่เห็นภูเขาหินเป็นชั้นสารพัดสีที่ค่อนข้างจะจางเท่านั้น จุดที่เห็นชัดที่สุดคือบริเวณที่มีรั้วกระจกกั้น แต่อยู่ในจุดที่ย้อนแสงพอดี จึงไม่สามารถที่จะถ่ายรูปได้ถนัด

    กระผม/อาตมภาพอาศัยการเดินทักษิณาวัตร วนขวาโดยตลอด จนกระทั่งขึ้นไปจุดสูงสุด ทำการถ่ายวิดีโอมาฝาก FC วัดท่าขนุน แล้วก็เห็นพี่วิไล (นางสาวณัฐรดา ภูมิธเนศ) กับคุณณรงค์ (นายฑนดล ภูมิธเนศ) ที่อุตส่าห์ขึ้นมา

    ปรากฏว่าคุณโบตั๋นประคับประคองพี่วิไลขึ้นไปจนเกือบถึงจุดสูงสุด เจอกระผม/อาตมภาพเดินลงมาจึงได้บอกว่า "กลับกันเถอะ ข้างบนไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก" แต่ว่าสิ่งที่เห็นน่าจะเป็นความลับของเขา ก็คือมีกล้องวงจรปิดซ่อนอยู่ทุกซอกทุกมุม แถมยังมีลำโพงสั่งการเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ของเขาให้ทำความสะอาดสถานที่ เก็บขยะ เช็ดถูขอบรั้วอีกด้วย

    เมื่อเดินลงมาแล้ว พวกเราก็ลงไปรอกันอยู่ที่ศาลาขอพร ก่อนที่จะเข้าห้องน้ำ แล้วก็ขึ้นรถยนต์ของทางอุทยาน เพื่อที่จะไปยังจุดต่อไป คุณโบตั๋นบอกพวกเราว่าให้ข้ามจุดที่ ๒ และจุดที่ ๓ ไปเลย เพราะว่าจุดที่สวยที่สุดอยู่ที่จุดที่ ๔ และเป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดด้วย

    เมื่อไปถึง "ท่านอูฐ" บอกว่าให้ถ่ายรูปกันบริเวณหัวกวางจะเป็นจุดที่สวยมาก เมื่อถามคุณโบตั๋น อีกฝ่ายหนึ่งก็งง ๆ บนพึมพำว่า "ลู่โถว..ลู่โถว" ประมาณว่า "หัวกวาง..หัวกวางอะไรวะ ?" กระผม/อาตมภาพจึงต้องให้ท่านเจ้าประคุณชี้ทาง แล้วนำพวกเราไปเอง ปรากฏว่ามีหัวกวางทำด้วยโลหะขนาดใหญ่อยู่จริง ๆ ทุกคนจึงเฮกันด้วยความชอบใจ ที่มัคคุเทศก์ซึ่งมองไม่เห็นตัว เก่งกว่ามัคคุเทศก์ท้องถิ่นเสียอีก..!

    เมื่อถ่ายรูปกันแล้วทางทัวร์ก็ปล่อยฟรีสไตล์ ให้เวลา ๑ ชั่วโมง แต่พวกเราต้องไปรบราฆ่าฟันกับลูกหลานของเจงกิสข่าน ตลอดจนกระทั่งบรรดาชาวหัวเซี่ยทั้งหลาย แทบจะหามุมถ่ายรูปไม่ได้ เพราะว่าเขาถ่ายกันแบบไม่เกรงใจ เราถ่ายรูปอยู่ เขาก็เดินเบียด เดินกระแทก เดินตัดหน้ากล้องหน้าตาเฉย..! กว่าที่พวกเราจะหาจุดถ่ายรูปกันได้ก็แทบจะท้อใจไปตาม ๆ กัน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,263
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,647
    ทางด้านบนยังมีภูเขาที่มีรูปลักษณะเหมือนเต่าทะเล มีช่วงภูเขาหินที่ลาย ๆ เหมือนอย่างกับหลังเต่ากระ และตรงยอดเขาที่ยื่นขึ้นมาเหมือนหัวเต่าอีกด้วย แต่บริเวณที่บอกว่าเป็น "มังกรพ่นไฟ" นั้น กระผม/อาตมภาพเห็นแต่พื้นสูง ๆ ต่ำ ๆ สีค่อนข้างแดงเท่านั้น และมีหมู่อูฐอยู่ไกลลิบ ๆ เมื่อตั้งใจจะเดินไปถ่ายรูปอูฐ เจ้าหน้าที่บอกว่า"ไกลมาก เวลาที่เหลือคุณเดินไม่ถึงหรอก" พวกเราจึงต้องเดินย้อนกลับมา แทนที่จะรออยู่บริเวณจุดนัดพบ ทุกคนก็ไปกระจายรายได้ ช่วยยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นเป็นการใหญ่..!

    จนกระทั่งพร้อมแล้ว คุณโบตั๋น อาเหมย และคังคัง ได้พาพวกเรานั่งรถยนต์ขาออก ทำให้ได้เห็นการท่องเที่ยวแบบคนรวย ก็คือเขามีการขี่เฮลิคอปเตอร์ขึ้นไปชมบริเวณจุดที่ ๒ ด้วย พวกเรามีเวลาถ่ายรูปกันตรงจุดที่ ๒ แค่ ๑๐ นาที ซึ่งต้องรบราฆ่าฟันกับชาวจีนไป ๘ นาทีเป็นอย่างน้อย..!

    จากนั้นก็เดินตรงไปยังทางออก ซึ่งผ่านบรรดาร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ แต่ว่าพวกเราไม่สนใจแล้ว เนื่องเพราะว่าเป็นเวลา ๑๑ โมงกว่า จึงมุ่งตรงไปยังร้านอาหารที่ได้จองเอาไว้ แทนที่เขาจะให้อยู่ทางด้านนอก กลายเป็นห้องพิเศษหมายเลข ๙ เลขมงคลเสียด้วย..!

    พวกเราเข้าไปคุยกันสารพัดเรื่องที่ตบมุกหลอกน้องพอร์ช (เด็กชายเสฏฐ์ ชาครวิโรจน์) ลูกของคุณดาหวัน (นางสาวเพชรดาวัลย์ พัสลุผล) ซึ่งเรียนโรงเรียนนานาชาติแล้วพูดภาษาไทยไม่แข็งแรง คุณโบตั๋นยังพูดภาษาไทยเก่งกว่าเสียอีก ถึงเวลาเล่นมุกอะไรที่เป็นภาษาไทย คุณน้องก็ไม่เข้าใจเลยว่านี่คือ "แก๊ก" ของภาษาอังกฤษ ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาซักถามแบบเอาจริงเอาจังมาก ทำเอาบรรดาลุงป้าน้าอาหัวเราะกันกลิ้งอยู่ตรงนั้นเอง..!

    เมื่อถึงเวลาอาหารก็ทยอยกันมา จานแรกก็ทำเอาหมอมุก (นางสาวรุจิรา งามพฤกษ์วานิชย์) กระพริบตาปริบ ๆ เพราะว่ามันก็คือ "หมูน้ำแดงซูตงโป" ที่พวกเราทุกคนเฮเข้าไปลุยกันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่กระผม/อาตมภาพทำการประเดิมแล้ว แต่ว่าคุณหมอมุกอยู่ในช่วงที่ลดน้ำหนัก อาจจะทำตาปริบ ๆ แอบชิมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้ากินเต็มที่นัก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,263
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,647
    กับข้าววันนี้มี ๑๐ อย่างเช่นเคย แล้วก็อร่อยไปเสียทุกอย่าง มีอยู่อย่างเดียวก็คือน้ำแกงผักกาดขาวใส่หมูสับ ที่เขาเรียกว่า "ลูกชิ้นหัวสิงโต" เจ้าหัวสิงโตดันไปซ่อนอยู่ข้างล่าง แล้วทัพพีที่ตักก็ใหญ่เหลือเกิน ไม่สามารถจะคุ้ยลงไปถึงด้านล่างได้ เมื่อวนผ่านตรงหน้า กระผม/อาตมภาพก็เลยใช้ตะเกียบคีบเอาลูกชิ้นหัวสิงโตขึ้นมากินเองเสียเกือบหมด..!

    เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว ก็ไปเข้าห้องน้ำแล้วก็กลับมาขึ้นรถของเราที่รออยู่ พลขับพาพวกเราวิ่งขึ้นทางด่วน ซึ่งต้องรัดเข็มขัดกันทุกคน ไม่เช่นนั้นถ้ากล้องวงจรปิดบนถนนถ่ายติดเมื่อไร มีหวังโดนยึดใบขับขี่แน่นอน..! ใช้เวลาหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ประมาณ ๓ ชั่วโมง กว่าที่เราจะลงจากทางด่วน เพื่อเข้าสู่เมืองเจี่ยยวี่กวน ซึ่งพลขับก็อุตส่าห์พักให้พวกเราเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยก่อนที่จะวิ่งเข้าเมืองไป

    เมืองเจี่ยยวี่กวน ทั้ง ๆ ที่เป็นเมืองกลางทะเลทราย แต่เขาก็ปลูกต้นไม้ไว้ได้เขียวขจีมาก พวกเราเข้าไปที่ลานจอดรถ เมื่อจอดเรียบร้อยแล้ว อาเหมยกับคังคังก็เดินนำพวกเราขึ้นไปยังบนถนนที่ยกสูงมาก ตรงไปยังอาคารหลัก ซึ่งมีทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ห้องน้ำ และจุดจำหน่ายตั๋ว

    ระหว่างที่รอจำหน่ายตั๋วนั้น เขาก็มีให้พวกเราไปดูวิดีโอกันก่อน แต่ปรากฏว่าวิดีโอแนะนำด่านเจี่ยยวี่กวนนั้น ค่อนข้างที่จะถ่ายได้หวือหวาฉวัดเฉวียนมาก เห็นแล้วปวดหัว แทนที่จะดูรู้เรื่องก็จะอาเจียนกันแทน..! จึงเดินออกมาเจอเด็กน้อยคนหนึ่ง นั่งทำการบ้านไปก็บ่นไป พวกเราก็เลยเข้าไปเล่นด้วย สอบถามดู ปรากฏว่าเป็นลูกของคนงานที่นี่เอง บอกว่าขนาดตามมาในวันหยุดก็ยังไม่ได้เที่ยวอะไร เพราะว่าแม่บอกให้ทำการบ้านให้เสร็จเสียก่อน เมื่อมีผู้รู้ไปชี้ว่าตรงนี้ทำผิด ไอ้หนูที่กำลังคุยจ๋อย ๆ อยู่ก็เฉาไปเลย รีบลบแล้วแก้ไขเป็นการใหญ่ ทำเอาพวกเราหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง..!

    เมื่อได้ตั๋วมาเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปขึ้นรถไฟฟ้า เขาพาวิ่งเข้าไปในพื้นที่เมืองเจี่ยยวี่กวน ที่ค่อนข้างจะไกลทีเดียว บริเวณนั้นเป็นบริเวณเมืองเก่า หนทางที่วิ่งเข้าไปนั้น เขาพยายามปลูกผักปลูกหญ้า โดยเฉพาะดอกไม้ชนิดหนึ่งสีม่วง ที่พวกเราแซวกันว่าน่าจะเป็น "ทุ่งลาเวนเดอร์" ทางด้านนี้น่าจะเป็นช่วงที่กำลังพัฒนาพื้นที่กัน จึงยังมีคนงาน ตลอดจนกระทั่งเครื่องมือในการปลูกต้นไม้เยอะแยะไปหมด
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,263
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,647
    ครั้นพวกเราเข้าไปถึงข้างในแล้ว ก็จัดการถ่ายรูปหมู่กันเอาไว้ก่อน แล้วก็เดินเข้าไปเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล การมาเมืองจีนนั้นที่ไม่ต้องเดินนั้นไม่มี มีแต่ว่าเดินมากและมากกว่า โดยเฉพาะวันนี้ ได้ยินว่าทางที่เราเดินนั้นประมาณ ๓ กิโลเมตร แปลว่าบุคคลที่เดินไม่ถนัดไม่สมควรที่จะมาเที่ยว..!

    พวกเราต้องไปผ่านบริเวณด่านซึ่งมีเครื่องนับจำนวนคน อาเหมยจัดการเอาตั๋วของเราไปให้เขาสแกน เมื่อครบถ้วนแล้วพวกเราก็ผ่านเข้าไปด้านในหน้าประตูด่านที่ ๑ ซึ่งถ้าเราจะถ่ายรูปจากทางด้านนอกที่มีป้ายตัวหนังสือบอกอยู่ ก็เป็นการถ่ายรูปย้อนแสงเสียอีก จึงเดินเข้าไปทางด้านในแล้วค่อยถ่ายรูปกัน

    จากนั้นก็ขึ้นบันไดไปยังด้านบน ทำให้มองเห็นว่ามีลักษณะของด่านซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ถึง ๔ ประตูด้วยกัน ทางด้านส่วนกลางซึ่งปกติแล้วก็น่าจะเป็นสถานที่จัดกำลังพล หรือว่าฝึกหัดทหาร "ท่านอูฐ" บอกว่า ถ้าจำเป็นขึ้นมาก็เป็นที่หลับที่นอน ที่รักษาทหารซึ่งเจ็บไข้ได้ป่วยอีกด้วย

    กระผม/อาตมภาพสอบถามแล้ว คุณโบตั๋นบอกว่าเดินได้แค่ครึ่งเดียว ซึ่งด้วยความที่ภาษาไทยของแกไม่แข็งแรง จึงไม่อธิบายว่าให้เดินแค่ครึ่งเดียว กระผม/อาตมภาพก็เลยเดินวนรอบด่านในรอบใหญ่ไปเลย ได้เห็นกำแพงด่านทางด้านนอก ซึ่งชำรุดทรุดโทรมอยู่มาก เมื่อเดินไปจนสุดทาง โดยที่มี "ท่านอูฐ" และบริวารนำทาง ทำให้รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงกระฉับกระเฉงขึ้นมา ประมาณว่าอายุ ๖๐ แล้วก็ยังสามารถขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ได้อย่างไรก็อย่างนั้น..!

    ครั้นเดินวนจนครบรอบแล้ว ก็เจอคุณนายสมหวัง (นางสมหวัง งามพฤกษ์วานิชย์) กับหมอมุกเท่านั้นที่เดินตามมา แล้วหมอมุกก็ยังอุตส่าห์เมตตาถ่ายรูปให้ด้วย แต่อาจจะเป็นเพราะกล้องของกระผม/อาตมภาพถ่ายย้อนแสงแล้วไม่ดี คุณหมอก็เลยเล่นเอากล้องโทรศัพท์ชื่อดังของตนเองมาถ่ายให้ จากนั้นพวกเราก็เดินวนอีกครึ่งรอบเพื่อไปสมทบกับคณะ เพียงแต่ว่าเป็นการเดินย้อนกลับ เพราะว่าถ้าเดินวนทักษิณาวัตรอีก ทางด้านนั้นนักท่องเที่ยวจีนก็แน่นไปหมด
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,263
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,647
    เมื่อกลับมาถึง ทางด้านคุณโบตั๋นก็พาพวกเราเดินออกไปยังประตูชั้นแล้วชั้นเล่า ซึ่งมีกระทั่งศาลเจ้ากวนอูอยู่ด้วย ปรากฏว่ามาเจอนายด่านเตรียมตัวที่จะทำหนังสือผ่านแดนให้พวกเรา บรรดาคนจีนฮือเข้าไปจนมิดไปหมด พวกเราจึงเดินออกไปทางด้านนอกด่านก่อน ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อน ออกนอกประตูด่านตรงนี้ ก็แปลว่าออกนอกประเทศแล้ว ซึ่งโอกาสที่จะรอดชีวิตกลับมานั้นยากมาก..!

    พวกเราจึงจับกลุ่มถ่ายรูปหมู่ทางด้านนี้ เพราะว่าแสงกำลังดี แล้วที่ขำที่สุดก็คือ ขณะที่กำลังตั้งท่าถ่ายรูป ก็มีขบวนบุคคลแต่งตัวแบบโบราณและทหารทั้งกองเดินเข้ามา ตากล้องจึงฉวยโอกาสถ่ายรูปตอนทหารเดินผ่านขบวนของเราด้วย ทุกคนหัวเราะเฮฮาชอบใจ เพราะว่าต่อให้จ้างอย่างไร ก็ไม่สามารถจะจ้างทหารทั้งกองมาเข้าฉากด้วยได้แบบนี้..!

    บริเวณทางด้านนอกนั้น มีทั้งรถสำหรับบุกทะเลทรายแล้วก็อูฐอยู่เป็นจำนวนมาก ใครที่จะเช่าอูฐหรือเช่ารถ ก็สามารถที่จะเช่าได้เลย มองไปไกล ๆ เหมือนกับมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่อีกต่างหาก คุณโบตั๋นชี้ให้ดูจุดถ่ายรูปที่สวยที่สุด ซึ่งตอนนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนรายล้อมกันแน่นไปหมด พวกเราต้องรอแล้วรออีก กว่าที่จะยึดพื้นที่มาจากประเทศจีนได้ ทำเอาทุกคนขำกันเป็นการใหญ่ บอกว่าวันนี้ "เราสามารถยึดด่านจากคนจีนได้ ตอนนี้ด่านเจียยวี่กวนเป็นของไทยแล้ว" ว่าแล้วก็จัดการถ่ายรูปกันจนกว่าจะเป็นที่พอใจ

    จากนั้นคุณโบตั๋นบอกว่าจะกลับเข้าไปทำหนังสือผ่านแดนก่อน เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก เนื่องจากว่าไม่เคยเดินทางมาทางด้านนี้เลย และไม่รู้ว่าจะได้มาอีกหรือเปล่า ? แทนที่จะทำคนเดียวก็เลยกลายเป็นว่าทุกคนก็แห่กันเข้าไปทำด้วย โดยที่พี่วิไลมีปัญหาตรงที่ว่าบอกภาษาจีนไปแล้ว เขาไม่เข้าใจ เนื่องจากว่าพี่แกใช้ "แซ่ด่าน" ของคนไหหลำ

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องเปลี่ยนจากแซ่ด่านมาเป็นแซ่ตั้งของแต้จิ๋วก่อน แต่ปรากฏว่านายไก่ (นายฐนชล ทิมแสง)มัคคุเทศก์ของเราดันไปบอกว่า "แซ่ตั้ง" ทำเอานายด่านแกงง ๆ กระผม/อาตมภาพจึงต้องบอกว่า "แซ่เฉิน" อีกฝ่ายถึงได้ร้องอ๋อ แล้วก็ออกหนังสือผ่านแดนในนามของ "เฉินจินอวี๋" ให้กับพี่วิไล
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,263
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,647
    ส่วนของคุณดาหวันกับน้องพอร์ชซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษแทน นายด่านแกเก่งมาก สามารถเขียนภาษาอังกฤษออกมาในสไตล์จีนได้ด้วย ท้ายที่สุดก็เลยควักกระเป๋าของแทบทุกคนภายในคณะไปได้ โดยมีหมอมุกคนเดียวที่ยืนมองพวกเราแบบไร้อารมณ์ กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่ต้องการหนังสือผ่านด่านเหมือนกัน เพราะกลัวว่าเขาจะเนรเทศไปชนิดไม่ยอมให้กลับเข้าด่านแล้วจะซวยไม่รู้จบ..! แม้ว่าจะมีคนเต็มใจจ่ายเงินให้ก็ไม่ทำ

    แล้วพวกเราก็เดินย้อนกลับมาทางด้านนอก จนกระทั่งมาขึ้นรถ ปรากฏว่ารถไฟฟ้าในครั้งนี้ทำไมวิ่งนิ่มกว่าตอนแรกมาก ? พวกเราดูแล้ว ตอนแรกกระผม/อาตมภาพบอกว่าเป็นหมา แต่หมอมุกรีบค้าน บอกว่าน่าจะเป็นอูฐ เพราะว่ามีโหนกอยู่บนหลังคาด้วย แต่เมื่อวิ่งตามคันอื่นแล้วมองบั้นท้ายดู คล้าย ๆ น้องหมูเด้งอีกต่างหาก น่าจะเป็นสมเสร็จชนิดใหม่ จนกระทั่งเขามาส่งที่ปากทางออกแล้ว ถึงได้เห็นว่าเป็นรูปอูฐยิ้มขนตางอนเช้งเลยทีเดียว..!

    กระผม/อาตมภาพไปไหนก็ตาม จะสามารถจำทางได้เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ จึงเดินนำลิ่ว ๆ กลับมาขึ้นรถก่อนใครเพื่อน เนื่องเพราะว่าต้องการที่จะฉันน้ำร้อนที่ติดอยู่บรถนั่นเอง เมื่อฉันน้ำร้อนแล้ว ก็แจ้งกับทุกคนว่าให้เข้าห้องพักเสียก่อน เพราะว่าวันนี้กระผม/อาตมภาพยังมีรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมรออยู่อีก ๓ ชั่วโมง ทุกคนเลยทำหน้าตกใจ โดยเฉพาะเมื่อทราบว่ากระผม/อาตมภาพเป็น "โป๋ซือ" ซึ่งก็คือผู้จบปริญญาเอกแล้วของคนจีน แล้วยังมีคนบอกว่าจบไปสองใบ..! ทำเอาอาเหมยกับคังคังตีหน้าพิกล ประมาณว่าตัวเองกว่าจะจบปริญญาตรีได้ก็แทบตาย หลวงพ่อแก่จนป่านนี้ จบปริญญาเอกไปสองใบ แถมยังขยันเรียนอีกต่างหาก..!

    พวกเราวิ่งมาไม่กี่นาทีก็ถึงโรงแรมที่พัก ปรากฏว่าทุกคนอยู่ชั้น ๑๑ เหมือนกันหมด แล้วขณะเดียวกัน ก็ไม่มีอ่างน้ำร้อนให้อีกตามเคย กระผม/อาตมภาพรีบซักผ้าเสียก่อน เมื่อตากผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงได้มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เสร็จสรรพแล้วก็จะเข้ารายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม ซึ่งจะไปจบตอน ๔ ทุ่มของประเทศจีน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...