เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 กรกฎาคม 2025 at 19:37.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,809
    ค่าพลัง:
    +26,675
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,809
    ค่าพลัง:
    +26,675
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เรื่องวุ่นวายในหมู่คณะสงฆ์ไทยก็ยังคงมีต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะว่ามีผู้ตั้งใจจะ "หาแสง" ใส่ตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าน่าจะ "สะดุดตอ" เริ่มรู้ตัว หรือไม่ก็กระผม/อาตมภาพด่าเสียงดังเกินไป ก็เลยทำให้อีกฝ่ายได้ยิน..!

    เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า บางทีฆราวาสไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพระเลย อย่างเช่นใช้คำว่า "พระต้องเป็นผู้ตัดแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง" ซึ่งลักษณะแบบนี้แปลว่าไม่น่าจะเป็นชาวพุทธ..! เพราะว่าความเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นระหว่างโลกียะกับโลกุตระก็ไม่รู้ ต่อให้เป็นโลกุตระ ถ้าหากว่าเป็นเบื้องต้น อย่างเช่นว่าพระโสดาบัน หรือพระสกาทาคามีทั้ง ๔ ระดับ ก็ยังคลุกคลีอยู่กับโลกียะบางส่วนเป็นปกติ เราจะเห็นว่านางวิสาขามหาอุบาสิกาแต่งงานตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี มีลูก ๒๐ คน มีหลาน ๔๐๐ คน นั่นก็คือพระโสดาบัน..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่บุคคลมากล่าวว่า "บวชพระแล้วต้องละ รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหมด" จึงเป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง ที่กระผม/อาตมภาพย้ำกับพวกท่านหลายครั้งหลายคราวแล้วว่า "พระภิกษุสามเณรก็คือลูกชาวบ้าน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เปลี่ยนกฎเกณฑ์กติกาในการดำเนินชีวิตเข้ามาเท่านั้น" ถ้าหากว่าไม่ทำตามกฎเกณฑ์กติกา ไปล่วงละเมิดหนักจนหมู่คณะรับไม่ได้ ก็ต้องสึกหาลาเพศไป

    เพียงแต่ว่าในส่วนของพระธรรมวินัยนั้น ควรที่จะให้คณะสงฆ์หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดการกันเอง ไม่ใช่ทางตำรวจไปตัดสินความเสียทุกอย่าง ถ้าลักษณะนั้นเป็นการผิดมารยาทอย่างแรง เพราะว่าทำงานข้ามหน่วยงาน..!

    ในส่วนของตำรวจก็อย่างที่กระผม/อาตมภาพกล่าวแล้วว่า ถ้าคดีมีความเกี่ยวข้องกับทางโลกก็จัดการไป ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย ก็ให้คณะสงฆ์หรือว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดการไป เพียงแต่ว่าการทำงานของแต่ละหน่วยงานนั้น ถ้าใช้ภาษาสมัยใหม่ เขาบอกว่า "มีวัฒนธรรมองค์กรที่ต่างกัน" ทำงานไปแล้วอาจจะไม่ทันใจบ้าง อาจจะทำให้คนเห็นว่าเข้าข้างกันบ้าง ก็เพราะว่ามีแนวทางการทำงานที่ไม่เหมือนกัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,809
    ค่าพลัง:
    +26,675
    โดยเฉพาะการที่จะไปกล่าวหาว่า บุคคลอื่นไม่ทำงาน ลักษณะ "เกียร์ว่าง" กระผม/อาตมภาพอยากจะถามว่า "แล้วหน่วยงานของท่านไม่มีบุคคลที่ "เกียร์ว่าง" บ้างหรือ ?" ก็แบบเดียวกับที่บอกว่าพระบวชมาแล้วต้องละกิเลส แล้วเมื่อคุณเป็นตำรวจแล้ว ไม่มีการคอรัปชั่นรีดไถใครเลยใช่ไหม ? ก็ในเมื่อบ้านตัวเองก็สกปรกโสโครกไม่ต่างกัน แล้วทำไมไม่รีบดำเนินการกวาดล้างให้เรียบร้อย แต่กลับทำเหมือนกับ "รับงานมา" หรือต้องการ "หาแสง" ถึงได้มาเอาพระสงฆ์เป็นจำเลย เอาสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นจำเลย..!

    แล้วญาติโยมส่วนใหญ่ก็ต้องการความสะใจ ไม่สมกับที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างที่ว่า ก็คือตนเองไม่ได้สนใจที่จะสร้างบุญสร้างกุศลอะไร แต่ถึงเวลากลับทำตนมีสิทธิ์มีเสียงเต็มที่ เหมือนกับบุคคลที่ไม่เสียภาษี แต่ถึงเวลามาโวยวายเรียกร้องสิทธิของตน ขณะที่บุคคลซึ่งรู้ว่าอะไรดี อะไรถูก อะไรควร ก็ยังคงสร้างกุศลของตนตามปกติ


    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายจะต้องมีสติ รู้จักพิจารณาแยกแยะ สิ่งใดที่เป็นของจริง เป็นของแท้ เราก็รับฟังแล้วนำมาแก้ไข จะได้เกิดประโยชน์แก่ กาย วาจา และใจของเรา ส่วนบรรดา "นักวิชาเกิน" ที่หาความรู้จริงไม่ได้ แต่แสดงความรู้ไปทุกเรื่อง ก็ปล่อยให้เขาสร้างเวรสร้างกรรมไป เรื่องนี้กล่าวมามากเกินไป เดี๋ยวจะกลายเป็นให้ความสำคัญ แก่บุคคลที่ไม่ควรที่จะได้รับความสำคัญ..!

    ขอย้อนกลับมา อยากจะถามท่านทั้งหลายว่า "เคยคิดเหมือนกระผม/อาตมภาพหรือไม่ ?" ว่าทำไมผู้หญิงคนเดียว หน้าตาถ้าหากว่าเป็นปัจจุบันนี้ก็ไม่มีอะไรดึงดูดใจเพศตรงข้ามเลย ทำไมจึงสามารถครอบงำพระผู้ใหญ่จำนวนมาก จนเสียผู้เสียคนได้ขนาดนั้น ? แล้วเขาเอาเวลาไปทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร ? เพราะว่าเป็นการคบกันทีเดียวเป็น ๑๐ คน คาดว่าคงจะมีความสามารถมากกว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เพราะว่าสามารถ "สับราง" ได้เก่งมาก..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,809
    ค่าพลัง:
    +26,675
    เมื่อสงสัยก็ต้องไต่ถาม จึงได้ความรู้มาว่า ในอดีตนั้นบรรดาท่านทั้งหลายที่มีเรื่องมีราว มีข่าวกันขึ้นมา จนกลายเป็นจำเลยสังคม ต้องสละสมณเพศ พูดง่าย ๆ ว่าตายจากผ้าเหลืองไป ในอดีตเคยสร้างกรรมกับบุคคลคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะได้รับโทษ โดยต้องทำหน้าที่แห่นักโทษไปประจาน ตระเวนน้ำตระเวนบก ๗ วัน กว่าที่จะลงโทษประหารกันได้ จึงเป็นเหตุให้เขาต้องย้อนกลับมาเอาคืน..!

    ในลักษณะเดียวกับอดีตชาติของพระองคุลีมาลเถระที่ท่านเกิดเป็นควายป่า แล้วก็ไปเข้าฝูงเพื่อผสมพันธุ์กับควายบ้าน เมื่อถึงเวลาควายบ้านซึ่งเป็นจ่าฝูงออกมาต่อต้านก็ขวิดเขาตาย ทำให้ชาวบ้านรุมกันฆ่าควายป่าตัวนั้น แรงกรรมตรงนี้ก็เลยทำให้ชาวบ้านทั้งหมด ต้องมาโดนองคุลีมาลโจรในขณะนั้น ฆ่าแล้วตัดนิ้วไปร้อยเป็นพวงมาลัย..!

    ทุกท่านจะเห็นว่าบุคคลที่หนีได้นานที่สุด ก็คืออดีตพระมหาทิวากร หนีไปได้ ๗ วัน เพราะว่าไปแห่เขาประจานตระเวนน้ำตระเวนบก ๗ วันเหมือนกัน แล้วค่อยโดนประหารชีวิต เขาทั้งหลายเหล่านั้น ก็ต้องตายจากผ้าเหลือง ลักษณะโดนประหารชีวิตทางสังคมเหมือนกัน..!

    ที่กล่าวถึงตรงนี้เหมือนกับอวดอุตริมนุสสธรรม แต่อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายสามารถฝึกฝนเพื่อที่จะรับรู้ได้ แต่ขอให้รับรู้ในลักษณะที่ว่า "เกิดมากี่ชาติก็มีแต่ความทุกข์เช่นนี้..!"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านสอนมโนมยิทธิ ท่านไม่ได้สอนให้เรารู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต แล้วไปฟื้นความสัมพันธ์ในอดีตกับผู้อื่น แต่ท่านให้รู้เพื่อที่จะเข็ด เพื่อที่จะละ ว่าเกิดมากี่ชาติก็มีแต่ความทุกข์เช่นนี้ ถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีกไม่รู้จบ เราควรที่จะพอหรือยัง ? ท่านจึงได้สอนมโนมยิทธิให้กับลูกศิษย์ ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วอันตรายมาก เหมือนกับอาวุธที่คมกล้า ถ้าพลาดเมื่อไรก็บาดทำร้ายตัวเอง แต่หลวงพ่อท่านก็มั่นใจว่า ลูกศิษย์ท่านต้องมีปัญญาพอเพียง ที่จะเลือกว่าอะไรผิด อะไรถูก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,809
    ค่าพลัง:
    +26,675
    แต่เท่าที่กระผม/อาตมภาพพบมา เกินกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์เอาไปใช้ผิด..! แทนที่จะรู้เพื่อละ ก็รู้แล้วไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ แทนที่จะหลุดพ้นได้ ต่างคนต่างยังลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ ก็ไปเกาะกันเป็นพรวนแล้วก็จมตายไปทั้งหมด..!

    แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกล่าวแล้ว กระผม/อาตมภาพก็คิดว่า ท่านมีลีลาคล้าย ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือแสดงธรรมเจาะจงตัวบุคคล คนอื่นถ้าหากว่าได้ดีไปด้วยก็ถือว่าเป็นของแถม แต่ตัวบุคคลที่พระองค์ท่านต้องการสงเคราะห์นั้นต้องได้ดีแน่นอน..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้ ๙๙ เปอร์เซ็นต์เอาวิชามโนมยิทธิไปใช้ผิด จนโดนคนเขาตราหน้า มีคำพูดล้อเลียนลักษณะ "บูลลี่" ว่า "อย่ามโน" แต่ก็ยังมีลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่นำมโนมยิทธิไปใช้ได้ถูกต้อง ท่านจึงได้เสี่ยงสอน เพื่อที่จะให้สิ่งดี ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ สามารถที่จะสืบทอดต่อ ๆ กันไป ถือว่าเป็นหนทางหนึ่งในการนำพาบุคคลหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

    แต่ถ้าหากว่าใครเอาไปใช้ผิด อย่างน้อยกำลังใจที่ใช้มโนมยิทธิ คือกำลังใจของบุคคลทรงฌาน ถ้าซักซ้อมบ่อย ๆ ต่อให้เป็นโลกียฌานก็ยังมีพรหมเป็นที่ไป หรือว่าถ้าตายแล้ว เผลอสติ ไม่ได้เข้าฌานเข้าสมาบัติ อย่างน้อยก็เป็นเทวดาชั้นล่าง ๆ ได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...