เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 6 สิงหาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2196.jpeg
      IMG_2196.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      285.5 KB
      เปิดดู:
      60
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็น "วันซ่อมสุขภาพ" ของกระผม/อาตมภาพ เนื่องเพราะว่าต้องพบหมอทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย

    สมัยก่อนที่เคยทำงานอยู่ในอู่รถ เขามีการปะผุ เคาะ พ่นสีรถ จากรถเก่า ๆ สามารถทำให้เป็นรถใหม่ได้ แต่ว่าใหม่แค่ภายนอกที่หลอกตาเท่านั้น เนื่องเพราะว่าภายในก็ยังคงผุเละเทะอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่ารั่วตรงไหน ผุตรงไหน ก็ตัดปะทำสีเสียใหม่เท่านั้นเอง

    เมื่อมาเห็นการที่หมอเพียรพยายามซ่อมสุขภาพให้กระผม/อาตมภาพแล้ว ก็ชวนให้ไปนึกถึงงานเก่า ๆ แล้วก็ไปนึกถึงภาษาบาลีที่ว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

    หลังจากที่ไปหาหมอในช่วงเช้ากลับมาแล้ว ก็มารับการถวายภัตตาหารเพลจากลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ซึ่งนาน ๆ จะมีโอกาสได้ถวายเพลกับหลวงตาเสียที หลังเพลก็มานั่งจารธนบัตรที่ระลึก ๗๒ พรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวให้กับลูกกิฟท์ ได้ยินมาว่าจะนำไปให้ลูกเพจของตนเองได้บูชา

    ต่อจากนั้นก็มารับธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทที่ขอแลกจากธนาคาร ต้องบอกว่ากระผม/อาตมภาพเป็นลูกค้ารายใหญ่ ถึงเวลาเจอสติ๊กเกอร์เข้าไป บรรดาเวรยามผู้รักษาความปลอดภัยทุกคน จะปล่อยให้รถยนต์คันนี้เข้าไปจนถึงสถานที่ภายใน เจ้าหน้าที่ก็จะนำไปพักที่ห้องวีไอพี รอให้ทางฝ่ายบัญชีมาสอบถามความต้องการ แล้วก็จะได้ฝาก หรือว่าถอนเงินตามที่ตนเองปรารถนา

    แต่ว่าวันนี้ออกอาการ "แห้ว" เนื่องจากว่าขอแลกธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทจำนวน ๒ ล้านบาท แต่ธนาคารมีให้แค่ ๕ แสนบาทเท่านั้น ถ้าถามว่าแลกไปทำอะไร ? ก็ต้องบอกว่า
    "แลกเก็บเอาไว้ใช้งานตอนฉุกเฉิน" ถ้าถามว่าฉุกเฉินอะไร ? ขออนุญาตสงวนคำตอบไว้แต่เพียงแค่นี้ ให้ไปเดากันเอง เผื่อว่าจะมีรสชาติของชีวิตมากขึ้น..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    หลังจากนั้นแล้ว ระหว่างที่รอการพบหมอรอบบ่าย ก็ได้เข้าไปตรวจดูข้อมูลที่ไอ้ตัวเล็กลงข้อเขียนเอาไว้ในกระทู้ "ล้วงมาจากกระโถน" แล้วก็เห็นคนได้อวดกิเลสตนเองว่าเคยเจออะไรมาบ้าง จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ดีมาก เนื่องเพราะว่าจะได้เป็นบทเรียนให้คนอื่นได้ศึกษาและหาวิธีแก้ไข แต่ว่าบุคคลที่มาถามถึงวิธีแก้ไข กลับกลายเป็นพระภิกษุสงฆ์ กระผม/อาตมภาพเองลืมไปเสียถนัดใจว่า โบราณของเรานั้นได้แนะนำพระภิกษุสามเณรเอาไว้อย่างไร จึงลืมบอกกล่าวไปเสียตั้งเนิ่นนาน

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านแนะนำเอาไว้ว่า "ก่อนกินให้ภาวนา ก่อนนอนให้ภาวนา ระหว่างใช้บริขารให้ภาวนา" ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้น เป็นการสร้างสติของเราให้มั่นคง โดยเฉพาะอยู่กับอารมณ์ภาวนาตลอดเวลา จะได้ไม่ไปพลาดท่า "ไล่งับหัวชาวบ้านเขา..!"

    เริ่มตั้งแต่การแต่งองค์ทรงเครื่อง เมื่อนุ่งสบงก็ให้ภาวนาว่า อิมัง อันตะระวาสะกัง อธิฏฐามิ อันตะระวาสก ก็คือสบงนั่นเอง

    เมื่อถึงเวลานุ่งสบงเรียบร้อยแล้ว คาดรัดประคด ก็อธิษฐานว่า อิมัง กายะพันธะนัง อธิฏฐามิ

    ครั้นถึงเวลาห่มจีวรก็ว่า อิมัง อุตตะราสังฆัง อธิฏฐามิ

    พาดสังฆาฏิก็ว่า อิมัง สังฆาฏิง อธิฏฐามิ

    เมื่อใช้ผ้ารัดอกก็อธิษฐานว่า อิมัง อังคะพันธะนัง อธิฏฐามิ

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้ากำลังใจของเราเข้มข้นถึงระดับทรงฌานได้จริง ๆ กระผม/อาตมภาพเคยพบหลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านมาแล้ว ที่ถึงเวลาท่านเอาผ้ารัดอกโยนไปให้บรรดานักเลงดีที่ชอบลองของ ประมาณว่า "แน่จริงเอ็งยิงผ้ารัดอกของข้าให้ออก" ปรากฏว่าอีกฝ่ายยิงเท่าไรก็มีแต่เสียงสับกระสุน "แชะ..แชะ..!" ไม่สามารถที่จะยิงออกได้ แล้วท่านก็ไล่เตลิดเปิดเปิงไป ประมาณว่า "ของแค่นี้มึงยังยิงไม่ออก ก็อย่าหากินทางนักเลงเลย" ประมาณนั้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    นอกจากนั้นเมื่อถึงเวลาจะฉันภัตตาหาร ก็ต้องมีการพิจารณาด้วยบท "ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ ฯลฯ" เป็นต้น ซึ่งการที่เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในทุกเวลา จัดว่าเป็นอนุสติใหญ่ แล้วใครจะมีพระคาถาที่ช่วยเสกข้าวตอนนั้นก็ว่าไปได้เลย

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า บุคคลที่มรณภาพหรือว่าตายแล้วไม่เน่า ทั้งพระทั้งฆราวาสนั้น เกิดจากสาเหตุหลายประการ ประการแรกก็คือกินว่านยาหรือว่าแร่ธาตุบางประเภท ที่มีอานุภาพในการรักษาร่างกายเอาไว้ ทำให้ไม่เน่า

    ประการที่สองก็คือ เสกอาหารด้วยบทอภิธรรม ๗ บทเป็นระยะเวลาอย่างน้อย ๓ ปีต่อเนื่องกัน เมื่อฉันเข้าไปทุกวัน ๆ ตลอดระยะเวลา ๑,๐๐๐ วัน ก็จะทำให้สังขารร่างกายนี้ เมื่อมรณภาพหรือว่าตายไปแล้วไม่เน่าได้

    ประการต่อไปก็คือ การที่ผู้ที่มรณภาพแล้วตั้งใจทิ้งกายสังขารเอาไว้ เป็นอนุสติแก่บรรดาคนรุ่นหลัง ก็จะอธิษฐานทิ้งเอาไว้ให้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ตายไปแล้วก็จะไม่เน่า


    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายมีพระคาถาดีอย่างไร ก็สามารถที่จะว่ากันไปได้เลย เพราะว่าเรื่องของพระคาถานั้นเป็นแค่บทโยงใจให้เป็นสมาธิ ให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ส่วนผลพิเศษนั้นจะได้อะไรก็ขึ้นอยู่กับท่าน ว่าภาวนาไปแล้วต้องการจะให้เกิดผลอย่างไรบ้าง

    แล้วต่อจากนั้นก็ยังมีพระคาถาอื่น ๆ อีก อย่างเช่น หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย จังหวัดลำพูน พระสหธรรมิกสนิทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านให้พระคาถากันงูเอาไว้ โดยที่ให้ตั้งใจอธิษฐานว่า

    โอม วะวุธ พญาครุฑจะเดิน ในอิริยาบถเดิน

    โอม วะวุธ พญาครุฑจะยืน ในอิริยาบถยืน

    โอม วะวุธ พญาครุฑจะนั่ง
    ในอิริยาบถนั่ง

    โอม วะวุธ พญาครุฑจะนอน ในอิริยาบถนอน


    แปลว่า
    การยืน เดิน นั่ง นอน ของเราอยู่กับการภาวนา ซึ่งพระคาถานี้มีผลพิเศษก็คือสามารถกันงูได้ ป้องกันงูมากัดมาทำร้ายเรา หรือถ้าหากว่าใครจะใช้บทวิรูปักเขในการภาวนาแผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ได้

    หรือว่าจะกำหนดใจนึกถึงท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งเป็นหัวหน้าเทวดาชั้นจาตุมหาราช ขออานุภาพของท้าวมหาราชทั้ง ๔ พร้อมด้วยอินทกะและบริวาร ในการป้องกันอันตราย ต่าง ๆ ก็ได้ โดยที่ใช้พระคาถาหรือไม่ใช้พระคาถาก็แล้วแต่ว่าท่านจะมีหรือไม่มี ตามแต่ความสะดวก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    คราวนี้การที่เราภาวนาอยู่ตลอดเวลาก็จะทำให้สติของเราจดจ่อไม่เคลื่อนไปไหน ถ้าจิตไม่เคลื่อนออกนอก รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ การที่จะ "ไปไล่งับหัวชาวบ้าน" อย่าง "ไอ้ตัวเล็ก" ก็จะไม่มี อย่างดีก็ทะเลาะกับหมาไปเล็กน้อยเท่านั้น..!

    วิธีการสร้างสติเหล่านี้ ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านจะแนะนำแก่พระภิกษุสามเณรรุ่นเก่า ๆ ทำให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นได้มีโอกาสในการที่จะรักษาตน ไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง กระหน่ำตีในช่วงที่ทรงชีวิตของนักบวชอยู่ ต่อให้สึกหาลาเพศไปแล้ว ถ้าทำจนชิน กำลังใจของเรามีสมาธิ ก็อาจจะกลายเป็นฆราวาสจอมขมังเวทย์เช่นกัน

    กระผม/อาตมภาพได้มีโอกาสพบท่านปู่ขุนพันธรักษ์ราชเดช ซึ่งตอนนั้นท่านก็อายุ ๙๐ ปีแล้ว นอกจากเวลาตอบคำถามที่สอบถามท่านแล้ว เวลาที่เหลือท่านนิ่งอยู่กับการภาวนาตลอดเวลา ต้องทำให้ได้ถึงระดับนั้น จึงจะสามารถใช้พระคาถาต่าง ๆ ได้ผล แต่ว่าพ่อปู่ขุนพันธ์ฯ ก็ยังบอกว่ากำลังสมาธิของท่านยังไม่ดีพอ เพราะว่าพระคาถาบางอย่างนั้นไม่สามารถที่จะทำให้ได้ผลเต็มที่ เหมือนกับครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ อย่างเช่นว่า บางท่านภาวนาคาถาแล้วมองไป ฝ่ายที่สบตาก็ล้มสลบไปเลย แต่ว่าท่านทำไม่ได้ถึงระดับนั้น..!

    กระผม/อาตมภาพไปนึกถึงหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ที่หลายต่อหลายท่านบอกว่าท่านสำเร็จวิชา "ตาเสือ" หรือว่า "เนตรพยัคฆ์" ถ้าหากว่าใครสบตาท่าน บางทีก็เข่าอ่อนเป็นลมไปเลย เหล่านี้เป็นต้น ตัวกระผม/อาตมภาพเองซึ่งใช้คาถามหาประสาน ก็ไม่สามารถที่จะทำได้เต็มที่เช่นกัน สามารถทำได้แค่ห้ามเลือดให้หยุด ดังนั้น...แทนที่จะเป็นคาถามหาประสานที่ทำให้บาดแผลทั้งหมดหายสิ้นไปเหมือนกับไม่เคยมีมาก่อน ก็กลายเป็นว่าทำได้แค่คาถาห้ามเลือดเท่านั้น ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของแต่ละคนว่าจะทำอย่างไร

    ในช่วงแรก ๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็จะให้พระคาถามาทีละบท เมื่อทำแล้วได้ผล ไปถวายรายงาน ท่านก็จะจะชมเชยแล้วก็ให้พระคาถาบทใหม่ ๆ มาเรื่อย เสียอยู่อย่างเดียวว่า
    คาถาที่ทำให้เพศตรงข้ามรัก ท่านบอกว่าไม่มี ให้ทำดี พูดดี คิดดีกับเขา เขาก็รักเราแล้ว ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะสึกหาลาเพศไปมีครอบครัว เพราะว่าขาดคาถาไปเสียอย่างนั้น..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...