เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 ธันวาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพจำได้ว่าพูดไปหลายครั้งแล้วว่า การสวดมนต์นั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง แต่มีผู้ถามมาในข้อความส่วนตัวว่า มีบุคคลหนึ่งกล่าวว่า เรื่องของการสวดมนต์นั้นไม่จำเป็น ตนไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ ซึ่งตรงนี้ต้องทำความชัดเจนเสียก่อนว่า ในเรื่องของการสวดมนต์นั้นคืออะไร ?

    การสวดในพระพุทธศาสนาของเรานั้นมีหลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งก็คือการสวดเพื่อสังฆกรรม อย่างเช่นว่าการสวดญัตติจตุตถกรรมในกรรมวาจาอุปสมบท หรือว่าการสวดประกาศ ไม่ว่าจะเป็นอปโลกนกรรมก็ดี หรือว่าในเรื่องของการคณะสงฆ์อื่น ๆ ก็ตาม ซึ่งมีทั้งการสวดญัตติประกาศ ๑ ครั้ง สวดอนุสาวนา ๑ ครั้ง ที่เรียกว่าญัตติทุติยกรรม หรือว่าสวดตั้งญัตติ ๑ ครั้ง ประกาศอนุสาวนาเพื่อขอความเห็นในท่ามกลางสงฆ์ ๓ ครั้ง ที่เรียกว่าญัตติจตุตถกรรม เหล่านี้เป็นในส่วนของสังฆกรรมทั้งหมด

    ประการที่ ๒ ก็คือการสวดปริตร ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือการสวดมนต์บ้าน หรือว่าการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นของพระภิกษุสามเณร ซึ่งปริตรนี้มีที่มาชัดเจนในพระไตรปิฎก เรื่องของอายุวัฒนกุมารที่จะต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เมื่อพราหมณ์ผู้เป็นพ่อปรึกษาใครก็ช่วยไม่ได้ จึงไปปรึกษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์ท่านบอกว่าให้ตั้งปะรำพิธี เอาเด็กไปอยู่ตรงกลาง แล้วนิมนต์พระทำการสวดปริตรตลอด ๗ วัน ๗ คืน ซึ่งคำว่าปริตรนั้นแปลตรง ๆ ว่าการป้องกัน งานนั้นก็คือป้องกันไม่ให้ยักษ์มาเอาชีวิต เมื่อพ้น ๗ วันไปแล้ว อีกฝ่ายหมดสิทธิ์ที่ได้รับอนุญาตไว้ ก็เลยกลายเป็นว่าอายุวัฒนกุมารอายุยืนไปจนถึง ๑๒๐ ปี จึงได้ชื่อว่าอายุวัฒนะ คือผู้เจริญด้วยอายุ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    คราวนี้การที่ท่านนั้นกล่าวว่า "ไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์นั้นหมายถึงอะไร ?" ถ้าเป็นการทำวัตรเช้า - ทำวัตรเย็นของพระภิกษุสามเณร ก็แปลว่ากล่าวผิดไปแล้ว แต่ถ้าหากว่าเป็นงานสวดมนต์บ้าน ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็นอะไรก็ตาม นั่นก็ถือว่าท่านเองมีกิจส่วนอื่นจะปฏิบัติอยู่ ไม่ไปก็ได้ แต่ขาดการปฏิสัมพันธ์กับญาติโยม ต่อไปก็จะอยู่ยากขึ้น

    การสวดมนต์อีกรูปแบบหนึ่งก็คือการสวดมนต์ทำนองสรภัญญะ ซึ่งปัจจุบันนี้เด็กโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิของเรา ต้องบอกว่าอยู่ในระดับต้น ๆ ของประเทศ ชนะเลิศถ้วยพระราชทานของกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีมาแล้ว

    บุคคลที่ได้รับการสรรเสริญมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือพระโสณกุฏิกัณณเถระ ซึ่งได้รับเอตทัคคะทางผู้ที่แสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะ ก็คือแสดงธรรมเป็นทำนองสรภัญญะเลย

    ส่วนการสวดมนต์รูปแบบสุดท้ายของเราที่จะกล่าวก็คือสวดมนต์เพื่อพิธีกรรมต่าง ๆ ตามที่พุทธศาสนิกชนนิมนต์ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรือว่าอวมงคลก็ตาม

    คราวนี้การที่มีบุคคลกล่าวว่าการสวดมนต์นั้นไม่จำเป็น เพราะว่าไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ ก็แปลว่าส่วนหนึ่งท่านคัดค้านในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กระทำเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของสังฆกรรม หรือว่าส่วนของปริตร ตลอดจนกระทั่งแม้แต่พระเถระที่สวดสรภัญญะ พระองค์ท่านก็สรรเสริญและแต่งตั้งให้เป็นเอตทัคคะบุคคล

    แต่ถ้าความหมายของท่านก็คือไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์บ้านก็ไม่ว่ากัน เพียงแต่ว่าท่านได้เข้าใจในคุณประโยชน์ของการสวดมนต์สักเท่าไร ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    อันดับแรกเลย จะให้ผู้ปฏิบัติธรรมมานั่งสมาธิภาวนา หรือเดินจงกรมภาวนาอย่างเดียว นาน ๆ ไปก็ย่อมเกิดความอึดอัดขัดข้อง แต่ถ้าหากว่าให้เปลี่ยนเป็นการสวดมนต์เสียบ้าง ก็เท่ากับเป็นการผ่อนคลายไปได้ในระดับหนึ่ง ช่วยให้การปฏิบัติธรรมไม่ซ้ำซากจำเจ สามารถที่จะมีความก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น

    ประการที่สอง การสวดมนต์นั้นต้องมีสมาธิ พวกเราต้องสังเกตว่าถ้าเผลอขาดสติ เราจะสวดผิดทันที ขนาดล่มทั้งวัดมาแล้ว..! ก็เพราะว่าผู้นำหยุดหายใจ ที่เหลือสักแต่ว่าสวดตาม ๆ ไป กำลังใจไม่ได้จดจ่อก็คิดว่าหัวแถวสวดผิด แล้วพร้อมใจกันหยุด จึงทำให้การสวดมนต์นั้นล่ม แล้วก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ ก็แปลว่าถ้าไม่มีสมาธิในเบื้องต้น เราจะสวดมนต์ไม่ได้

    ประโยชน์ข้อต่อไปก็คือ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมจนมีความคล่องตัวแล้ว การสวดมนต์ทุกอย่างก็คือการภาวนา เพียงแต่ว่าเป็นคำภาวนาที่ยาวอยู่สักหน่อย ก็คือไม่ว่าเราจะสวดมนต์อะไรก็ตาม ก็ควบคู่กับลมหายใจเข้าออกไปด้วย เท่ากับว่าเป็นคำภาวนาไปในตัว เท่ากับว่าเป็นการซักซ้อมในเรื่องของความชำนาญในการทรงสมาธิ โดยเฉพาะเป็นสมาธิใช้งาน ก็คือขณะที่พูดหรือว่าทำสิ่งหนึ่งประการใด เราก็สามารถที่จะทรงสมาธิเอาไว้ได้

    ประโยชน์ข้อต่อไปก็คือ ถ้าสามารถทำเป็น เราสร้างทิพจักขุญาณให้เกิดขึ้นได้ ก็คือถึงเวลาเราสวดภาวนาไป ก็นึกถึงอักขระตัวหนังสือของคำสวดนั้นขึ้นมาตรงหน้าของเรา จะเป็นทีละคำหรือทีละประโยค ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ช่วยให้จิตมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ได้ดียิ่งขึ้น แล้วถ้าเราสามารถเห็นอักขระนั้นได้ชัดเจนเท่าไร เราก็สามารถปรับใช้ไปในการเห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเจนเท่านั้น ก็แปลว่าท่านสามารถสร้างทิพจักขุญาณขึ้นได้จากการสวดมนต์

    เมื่อได้ทิพจักขุญาณแล้ว ถ้าท่านใช้ในการดูอดีตก็จะเป็น อตีตังสญาณ

    ใช้ในการดูอนาคตจะเป็น อนาคตังสญาณ

    ใช้ดูว่าปัจจุบันนี้แต่ละคนใครทำอะไรที่ไหนบ้าง ก็เป็น ปัจจุปปันนังสญาณ

    ใช้ในการระลึกชาติ ก็เป็น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ

    ใช้ในการดูว่าคนเราก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ก็เป็น จุตูปปาตญาณ

    ใช้ในการดูว่าบุคคลทำสิ่งนี้แล้วจะได้รับผลดีผลชั่วอย่างไร ก็เป็น ยถากัมมุตาญาณ

    และท้ายที่สุด ถ้าเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่นได้ ก็จะกลายเป็น อาสวักขยญาณ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    ประโยชน์ข้อต่อไปก็คือถ้าท่านสามารถที่จะแปลคำสวดจากภาษาบาลีเป็นไทยได้ ส่วนใหญ่แล้วก็คือคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง เมื่อเราสามารถที่จะแปลได้ ก็น้อมจิตปฏิบัติไปตามหลักธรรมคำสอนนั้น สามารถที่จะก่อประโยชน์ให้กับตนตั้งแต่เบื้องต้นยันเบื้องปลาย ก็คือมีกาย มีวาจา มีใจอันสงบ และท้ายที่สุดก็ละวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

    ดังนั้น..ถ้าท่านผู้กล่าวมาว่าไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ ถ้าเป็นเรื่องของงานสวดมนต์บ้าน ที่ต้องเสียเวลาไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่โยมมีความเลื่อมใสศรัทธา ท่านก็บกพร่องในด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเบื้องต้น แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ความหมายนี้ คราวนี้ก็สาหัส..! เพราะว่าประการแรก เป็นการค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ก็คือถ้าจะเดินไปในทางพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ต้องไปตามมรรคมีองค์ ๘ โดยเฉพาะในส่วนท้าย ๆ คือสัมมาสมาธิ

    เนื่องเพราะว่าการสวดมนต์ นอกจากช่วยสร้างสมาธิเบื้องต้นแล้ว ถ้าหากว่าทำเป็น ในเบื้องกลางหรือว่าเบื้องปลายก็สามารถที่จะทำได้ และเป็นส่วนที่เกื้อหนุนให้เราใช้ปัญญาพิจารณาได้อย่างวิเศษที่สุด เมื่อปัญญาเห็นชัด ปล่อยวางความยึดติดทั้งปวงได้ เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน

    ดังนั้น..การที่มีบุคคลสอบถามมา กระผม/อาตมภาพก็อธิบายให้พวกเราฟังกันตามนี้ แต่เชื่อเถอะ..เดี๋ยวก็จะมีผู้หวังดีปรารถนาดี เอาเรื่องที่กระผม/อาตมภาพพูดไปโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งให้เดือดร้อน แล้วก็จะเกิดวิวาทะกัน ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็คงไม่ไปเถียงด้วย
    แต่ในบรรดาหมู่ลูกศิษย์ ซึ่งต่างคนต่างแบกกิเลสมาชนกัน ก็จะกลายเป็นว่าต่างคนต่างหาทุกข์ใส่ตัว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ในชาติปัจจุบันที่ต้องร้อนอกร้อนใจ หรือว่าทุกข์ในอนาคต เนื่องเพราะว่าสร้างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเอาไว้ต่อผู้อื่นโดยที่ตนเองก็ไม่รู้จริง

    เรื่องพวกนี้จึงก่อให้เกิดโทษใหญ่แก่บุคคลที่ทำคลิปประเภทนี้ เนื่องเพราะว่าสร้างความแตกแยกขึ้นกับพระพุทธศาสนา กลายเป็นว่าลงคลิปไปแล้วทำลายพระพุทธศาสนาเอง ก็ถือว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว การกระทำของท่านก็จะส่งผลให้แก่ท่านเอง แต่กว่าจะรู้ตัวก็น่าจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...