เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 เมษายน 2025 at 17:05.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,494
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,721
    ค่าพลัง:
    +26,581
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,494
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,721
    ค่าพลัง:
    +26,581
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) เพื่อร่วมพิธีเปิดการสอบบาลีรอบสอง ประจำปี ๒๕๖๘ และได้ถวายปัจจัยสนับสนุนงานในครั้งนี้จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่หลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง)

    ญาติโยมทั้งหลายอย่าเพิ่งเข้าใจว่าวัดไร่ขิงรวยแล้ว จัดงานประจำปีครั้งหนึ่งได้เงินถึง ๒๐ กว่า ๓๐ ล้านบาท เนื่องเพราะว่าเงินที่ได้มานั้นต้องเข้ามูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง ซึ่งมีกฎเกณฑ์กติกาในการบริหารมูลนิธิก็คือ เบิกได้เฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ว่าวัดไร่ขิงนั้นช่วยคนทั่วประเทศไทย จึงทำให้บางทีก็เกิดการ "เงินขาดมือ" ได้เหมือนกัน ในเมื่อมีสิ่งหนึ่งประการใดที่กระผม/อาตมภาพสามารถที่จะช่วยให้งานคณะสงฆ์เป็นไปด้วยดี ก็จะพยายามช่วยเหลือท่านทุกครั้ง

    หลายคนก็สงสัยว่าทำไมกระผม/อาตมภาพไม่เก็บเงินเอาไว้ใช้เองบ้าง ? ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ "ครูบาอาจารย์ไม่เคยสอนให้เก็บเงิน" ท่านบอกแค่ว่า
    "เอาไว้ใช้ในสิ่งจำเป็นอย่างเช่นว่า ค่าหมอ ค่ายา ค่าเดินทางแล้ว ส่วนที่เหลือให้ผลักเข้ากองบุญการกุศล เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย"

    อีกประการหนึ่ง กระผม/อาตมภาพก็ไม่คิดว่าจะมีอายุเกินไปจากวันนี้..! ชาตินี้อายุยืนมาได้ถึง ๖๖ ปีเต็ม ย่าง ๖๗ ปี ก็ถือว่าคุ้มเหลือที่เกินจะคุ้มแล้ว มั่นใจว่าผลงานที่ตนเองทำนั้น คนอื่นใช้เวลาสัก ๓ ชาติ ๕ ชาติ ยังไม่แน่ว่าจะทำได้เท่า..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่มีอะไรที่ต้องอาลัยอาวรณ์กันอีก ถ้าหากว่ากรรมเก่ามาตัดรอน ทำให้ต้องเสียชีวิตลงไป ก็พร้อมที่จะไปได้ตลอดเวลา การที่จะเก็บเงินเก็บทองเอาไว้ นอกจากจะผิดพระธรรมวินัยแล้ว ยังเสียเวลาที่จะมาสะสมแล้วกลายเป็นห่วง ทำให้เราอาจจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็ได้..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,494
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,721
    ค่าพลัง:
    +26,581
    สำหรับวันนี้ก็มา "เล่าความหลัง" กันต่อไป เมื่อวานนี้ได้พูดถึงการละเล่นของเด็ก ๆ สมัยนั้นไปหลายอย่าง แต่ยังมีการละเล่นอื่น ๆ อีก อย่างเช่นว่าการเล่นทอยตัวการ์ตูน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นเกมของเด็กผู้ชาย สมัยนั้นจะมีตัวการ์ตูนบ้าง มีไพ่บ้าง แถมมากับขนม คำว่าขนมในที่นี้ก็มักจะเป็น "ขนมโก๋" ห่อกระดาษสีชมพู แล้วก็มีไพ่เป็นรูปตัวการ์ตูนบ้าง เป็นภาพดาราบ้าง แถมมาด้วย จนคนเลิกเรียกว่าขนมโก๋ตามภาษาจีน แต่หันมาเรียก "ขนมไพ่" แทน เด็ก ๆ ส่วนหนึ่งที่ซื้อขนมนั้น บางทีก็ไม่ได้อยากที่จะกินขนม หากแต่อยากได้ไพ่รูปที่ตัวเองยังไม่มี และอยากได้ไพ่เพื่อเอาไปเล่นทอยเส้นกัน..!

    การเล่นทอยเส้นด้วยไพ่ หรือว่าด้วยตัวการ์ตูนนั้น ก็มักจะเป็นการทอยด้วยวัสดุที่ได้มานั่นแหละ ว่าเป็นตัวการ์ตูนอะไรบ้าง สมัยนั้นก็จะมีตัวการ์ตูนหน้ากากเสือ ตัวการ์ตูนสัตว์ประหลาดที่เรียกว่าบุสก้า แล้วบางทีก็มียอดมนุษย์ฮายาตะ ถ้าหากว่าเป็นไพ่ก็มักจะเป็นรูปดาราสวย ๆ หล่อ ๆ ในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นสมบัติ เมทะนี, ไชยา สุริยัน, เพชรา เชาวราษฎร์, อรัญญา นามวงศ์ เหล่านี้เป็นต้น

    การเล่นทอยตัวการ์ตูนนั้น ก็จะมีการขีดเส้น ๒ เส้น ห่างกันประมาณ ๓ เมตร แล้วก็เหยียบเส้นแรกเอาไว้ ทอยตัวการ์ตูนไปให้กลบเส้น หรือว่าให้ใกล้อีกเส้นหนึ่งให้มากที่สุด ใครถ้าหากว่ากลบเส้นก่อน แล้วมีคนทอยกลบทีหลังได้ เขาจะใช้คำว่า "มาทีหลังดังกว่า" ก็คือจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในการทอยไป "กิน" ตัวการ์ตูนของคนอื่น ก็คือต้องทอยไปให้ทับตัวการ์ตูนของคนอื่นให้ได้ ถ้าหากว่าเจ้าของไม่มีตัวการ์ตูนอื่นเหลือแล้ว ก็จะต้องเสีย "ตัวแม่" ที่ตนเองใช้ทอยอยู่นั้นไปเลย..!

    กระผม/อาตมภาพเองไม่ค่อยจะได้สตางค์ไปโรงเรียน ในเมื่อไม่มีเงินไปโรงเรียน ไม่สามารถที่จะซื้อขนมได้ แต่ว่ามีเพื่อนร่วมห้องชื่อนายสมชาย แซ่ตั้ง ซึ่งความจริงก็คือเด็กชายสมชาย แซ่ตั้งนั่นเอง มาตอนหลังกลายเป็นกำนันของตำบลสระพัฒนาไป..! เด็กชายสมชายนั้น เมื่อซื้อขนมแล้วก็มักเอามาแบ่งปันให้กระผม/อาตมภาพด้วย

    เรื่องนี้มาภายหลังถึงได้เข้าใจว่า เป็นความผูกพัน เป็นเพื่อนเป็นฝูงกันมาตั้งแต่อดีต เมื่อได้ตัวการ์ตูนมา เด็กชายสมชายที่เล่นไม่เก่ง ก็นำตัวการ์ตูนมามอบให้กระผม/อาตมภาพไปเล่นแทน พอได้มามาก ๆ ก็เอาไปให้เขาเลือกก่อนว่าต้องการตัวไหนบ้าง ? ส่วนที่เหลือ กระผม/อาตมภาพก็เก็บไว้ "ทำทุน" ของตนเอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,494
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,721
    ค่าพลัง:
    +26,581
    การร่อนไพ่ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน กฎเกณฑ์กติกาใกล้เคียงกัน ถ้าหากว่าได้ไพ่ใบที่มีดาราซึ่งเรายังไม่มีอยู่ ก็จะดีใจกันมาก บางคนถึงขนาดกระโดดตัวลอยไปเลยก็มี..! การละเล่นทั้งหลายเหล่านี้ ในปัจจุบันนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีอีกหรือเปล่า ?

    การละเล่นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเด็กผู้หญิงเพื่อนกันมักจะนิยมเล่นมาก ก็คือการเล่นตั้งเต หรือบางคนออกเสียงว่า "ต้องเต" จะมีการขีดตารางขึ้นมา เป็นลักษณะของตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา แล้วมีครึ่งวงกลมเป็นหัวอยู่ด้านบน เราจะต้องกระโดดตามวิธีการที่เขากำหนด มีทั้งเขย่งกระโดดขาเดียว กระโดดขาคู่ ถ้าหากว่าไม่ผิดพลาดจนเรียกว่า "ตาย" ก็จะสามารถไปถึงจุดหมายคือหัวด้านบนได้ เด็กผู้หญิงที่เรียบร้อยจะไม่เล่นตั้งเตเหล่านี้ หากแต่ว่าเด็กผู้หญิงสมัยก่อนนั้นก็หาเรียบร้อยได้ยากมาก เพราะว่าเป็นลูกชาวไร่ชาวนากันทั้งนั้น..!

    ถามว่าเป็นลูกชาวไร่ชาวนาแล้วดีอย่างไร ? ก็ขนาดเด็กผู้ชายจับกบ หรือว่างู หรือจิ้งจกโยนเข้าใส่ แทนที่อีกฝ่ายจะร้องกรี๊ดวี้ดว้ายแล้ววิ่งหนี กลับคว้าได้แล้วเหวี่ยงคืนมา..! ถ้าหากว่าเป็นเด็กสมัยนี้อาจถึงขนาดช็อกตายไปแล้ว แต่เด็กบ้านนอกของเรานั้น เรื่องจิ้งจก ตุ๊กแก งูเงี้ยวเขี้ยวขอต่าง ๆ แทนที่จะกลัวก็กลับกลายเป็นของเล่นไป..!

    ถึงขนาดมีการจับงูเขียวปากจิ้งจก ซึ่งบางทีก็เป็นงูเขียวปากแหนบเสียมากกว่า แต่ว่าตอนเป็นเด็กนั้นแยกไม่ออกว่าต่างกันอย่างไร ? แล้วเจ้างูนี้ก็มีนิสัยประหลาดมาก ก็คือถึงเวลาถ้าหากว่าจับไปเอาหัวทิ่มขี้ควายสด ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นขี้ควายเหลว ๆ ถ้าจิ้มใส่เมื่อไรแล้วจับโยนทิ้ง มันก็จะไล่กัดเฉพาะคนที่จับมันไปจิ้มขี้ควายเท่านั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกลียดขี้ควายอะไรนักหนา ?!

    พอ ๆ กับที่เด็กสมัยนั้นทุกคนรู้ว่าลิงนั้นเกลียดกะปิ ดังนั้น..ลิงที่วัดก็มักจะโดนหลอกให้จับกะปิอยู่เสมอ แต่ว่าเป็นที่น่าสงสารว่าถ้ากะปิติดมือแล้ว ลิงดมดูถ้ายังได้กลิ่น ก็จะเอามือถูกับต้นไม้บ้าง ถูกับพื้นบ้างจนกว่าจะหมดกลิ่น บางทีถูจนมือถลอก เลือดออกแล้วยังไม่หมดกลิ่น ลิงก็ยังคงถูต่อไปอีก..! ธรรมชาติของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ บางทีก็เป็นเรื่องที่เอามาเล่นกันสนุกสนาน โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าเป็นการทรมานสัตว์หรือเปล่า ?!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,494
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,721
    ค่าพลัง:
    +26,581
    ในยุคสมัยนั้น บ้านเรือนส่วนใหญ่มักจะเป็นเรือน "เครื่องผูก" หรือว่า "เครื่องสับ" ก็คือเป็นเรือนที่ปรุงมาจากไม้ไผ่เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นไม้ไผ่สีสุก หรือว่าไม้ไผ่รวกก็ตาม จะเอามาสับฟาก ทำเป็นเตียงบ้าง ทำเป็นพื้นบ้านบ้าง หรือว่าทำเป็นข้างฝาบ้าง ตัวเรือนนั้นก็ใช้เสาไม้ไผ่ บางทีก็ตั้งบนพื้น บางทีก็ฝังลงดินไปสักคืบสักศอกเท่านั้น แล้วก็ใช้ไม้ไผ่เป็นคานพาด

    เมื่อมีคานสองชั้นแล้ว ก็จะเรียงตัวไม้ไผ่เอาไว้จนกระทั่งเต็มพื้นที่ ผูกเอาไว้ พอแน่นหนาแล้วก็ตีฟากวางลงไป หลังจากนั้นทางท่อนบนก็ต่อเสาไม้ไผ่ขึ้นไปทำข้างฝา เมื่อได้ข้างฝาขึ้นมาแล้วก็มุงหลังคา บางบ้านก็ยังใช้ไม้ไผ่มุงหลังคาด้วย แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นบ้านคนจีน เนื่องเพราะว่าคนจีนนั้นถนัดใช้ใบไผ่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเอามามุงหลังคา เอามาทำขนมจ้าง หรือว่าเอามาทำหมวกที่เรียกว่า "กุยเล้ย"

    เมื่อเป็นเพียงเครื่องผูกเครื่องสับ จึงเป็นอันตรายได้ง่าย เพราะว่าเผลอขึ้นมาเมื่อไรก็ไฟไหม้ แล้วบรรดาผู้ใหญ่ก็มักจะเอาข้าวของเหน็บหลังคาเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ หรือกระทั่งหนังสือสำคัญอย่างเช่นทะเบียนบ้าน หรือว่าสูติบัตรของเด็ก ๆ เมื่อถึงเวลาไฟไหม้ขึ้นมา เอกสารสำคัญก็หายหมด แล้วผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญในการทำใหม่อีกด้วย..!

    ถึงเวลาเด็ก ๆ จะไปโรงเรียน ไม่มีสูติบัตรไป ก็ต้องลำบากเดือดร้อนทั้งคุณครูและผู้ใหญ่บ้าน ที่จะต้องไปยืนยันว่าเด็กคนนี้อายุได้ ๗ ขวบเต็ม ขึ้น ๘ ขวบแล้ว สามารถเข้าโรงเรียนได้ ก็ต้องไปไล่หาวันเดือนปีเกิดกัน เพราะว่าส่วนใหญ่ผู้ใหญ่ก็ไม่รู้ว่าวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ เป็นอย่างไร มักจะรู้แต่วันขึ้น - วันแรมเท่านั้น

    อันดับแรกเลย ต้องหาให้ได้ว่าเกิดปีไหน ? ก็ต้องช่วยเหลือกัน เพราะว่าผู้ใหญ่บางทีเป็นสิบ ๆ ราย ก็ไม่มีใครรู้ว่าลูกหลานตัวเองเกิดเมื่อไร ? ต้องไปช่วยกันเตือนความจำ อย่างเช่นว่า "ลูกแกเกิดตอนควายบ้านข้าออกลูกพอดี" ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องมาไล่ว่าควายตัวนั้นอายุได้กี่ปี ? พอถึงเวลาแล้วก็ต้องมาหาเวลาเกิด อย่างเช่นว่า "มันเกิดเวลาบ่ายควาย" คำว่า "บ่ายควาย" ในที่นี้ก็คือเวลาที่แดดร้อนมาก มักจะเลยเที่ยงไปแล้ว เขาจะปล่อยควายที่ไถนาให้ไปพักผ่อน กินหญ้ากินน้ำ หรือบอกว่า "เกิดตอนได้ยินเสียงพระตีกลองเพลพอดี" เหล่านี้เป็นต้น
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,494
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,721
    ค่าพลัง:
    +26,581
    คุณครูก็จะหาวันเกิด หาเวลาเกิด ส่วนใหญ่วันเกิดนั้นบางทีก็สมมติกันไปเรื่อย อย่างเช่นว่า "เกิดตอนขนข้าวขึ้นยุ้ง" ก็แปลว่าจะเกิดประมาณปลายเดือนมีนาคม คุณครูก็จะลงวันที่ว่าเลยวันที่ ๒๐ มีนาคมไปแล้ว อย่างเช่นว่า ๒๑ หรือ ๒๒ มีนาคม เป็นต้น หรือไม่ก็ "เกิดตอนฝนชะช่อมะม่วงตก" ก็มักจะอยู่ปลายเดือนมีนาคมหรือว่าต้นเมษายน ถ้าหากว่า "เกิดหน้าน้ำหลาก" ก็มักจะอยู่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ต้องบอกว่าครูและผู้ใหญ่บ้านสมัยนั้นมีความสามารถพิเศษ ในการที่จะกำหนดจดจำ แล้วก็หาวันเดือนปีเกิดให้กับเด็ก ๆ จนได้..!

    แต่ว่าโยมแม่ของกระผม/อาตมภาพนั้นจดจำแม่นเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่มีลูกถึง ๑๓ คน แต่ละคนเกิดวันเดือนปีเกิดอะไรจะจำได้หมด แต่ว่าจำเป็นแบบจีน จึงต้องมีกำนันซึ่งมีเชื้อสายจีนมาแปลกลับเป็นภาษาไทยให้คุณครูได้รู้ วันเดือนปีเกิดของพวกกระผม/อาตมภาพจึงค่อนข้างที่จะแน่นอนว่าถูกต้อง

    เพียงแต่ว่าบางบ้านนั้นก็ "แจ้งเกิดช้า" ในเมื่อแจ้งเกิดช้า บางทีอายุจริงไป ๓ ขวบ ๕ ขวบแล้ว แต่ว่านายทะเบียนลงให้เป็นวันนั้นไปเลย จึงทำให้คนโบราณนั้น บางทีวันเดือนปีเกิด กับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในทะเบียนบ้านนั้นไม่ได้ตรงกัน ไปก่อปัญหาให้ทีหลังหลายอย่างเหมือนกัน อย่างเช่นว่าไปเจอคนซื่อตรงเข้า พอถึงเวลาไม่รู้ว่าวันเดือนปีเกิด ตามหลักฐานของตนเองคืออะไร ? ก็บอกวันเดือนปีเกิดที่แท้จริงไป ทำเอาเสมียนอำเภอ หรือว่านายทะเบียนปวดหัวไปตาม ๆ กัน เป็นเรื่องขบขันที่หัวเราะไม่ออกของคนสมัยนั้นทีเดียว..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...