เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 ตุลาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราส่วนใหญ่แล้วไม่ทราบว่าวันที่ ๒๔ ตุลาคมของทุกปีเป็นวันสหประชาชาติ เนื่องเพราะว่าในปัจจุบันนี้ องค์การสหประชาติมีบทบาทน้อยลง เพราะว่ามีนักเลงโตที่ไม่สนใจว่าสหประชาชาติคืออะไร นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ทั้ง ๆ ที่อ้างว่าเป็นต้นแบบของประเทศประชาธิปไตย ก็เลยทำให้วันที่สมควรจะสำคัญมากวันหนึ่ง กลายเป็นวันที่คนไม่ได้ใส่ใจไปเลย

    สำหรับระยะนี้ หลายท่านก็คงได้ยินข่าวคราวไม่ดีในวงการสงฆ์ที่ประเดประดังกันเข้ามาเป็นจำนวนมาก เรื่องพวกนี้เราต้องเสพรับอย่างมีสติ โดยเฉพาะต้องไม่ยินดียินร้ายกับทุกเรื่องที่เข้ามากระทบใจของเราถึงจะใช้ได้ เนื่องเพราะว่าถ้าตราบใดที่เรายังยินดียินร้ายอยู่ ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม แปลว่ากำลังใจของเรายังใช้ไม่ได้


    โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ว่าสังคมกลับให้ความสนใจน้อย ก็คือเรื่องที่มีพระสงฆ์จำนวนมากไปร่วมกันลงทุนในลักษณะของแชร์ ได้ยินเขาเรียกว่า "ก็อปปี้เทรด" กระผม/อาตมภาพพยายามศึกษาดู ก็คือการซื้อหุ้นตามบรรดามืออาชีพ ซึ่งมีการโฆษณาว่า "ลงทุน ๓ แสนบาท ภายใน ๕ ปีได้คืน ๑๙ ล้านบาท..!" เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีสติยั้งคิด ก็จะรู้ว่าเรื่องดี ๆ แบบนี้ ทำไมคุณไม่เอาไปบอกญาติพี่น้องของตัวเอง ? หรือไม่ก็ทำเอง จะได้ร่ำรวยกันทั่วหน้า แต่กลับเอามาบอกพระ..!

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งเรื่องที่ใหญ่โตมโหฬารอยู่ในปัจจุบันคือเรื่องของ "ดิ ไอคอน" ซึ่งตอนนี้มีผู้เสียหายลามไปหลายประเทศ ทุกเรื่องล้วนแต่มาจากความโลภของผู้เสียหายทั้งสิ้น ซึ่งถ้าเรากล่าวแบบนี้ อาจจะเป็นการประณามเขามากจนเกินไป แต่ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าบุคคลทั่วไปที่มี รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ ถ้าหากว่ามีแนวทางในการทำเงิน หรือว่าสร้างความร่ำรวยให้ง่าย ๆ ก็ย่อมกระโดดใส่อยู่แล้ว..!

    แล้วพวกท่านก็ต้องไม่ลืมว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็คือลูกชาวบ้าน เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เปลี่ยนกฎเกณฑ์กติกาในการดำเนินชีวิตเท่านั้น กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ละอายชั่วกลัวบาปจริง ๆ เมื่อได้รับการชักชวนที่มีผลตอบแทนมหาศาลเช่นนี้ ก็ย่อมต้องสนใจ แล้วท้ายที่สุดก็ไปร่วมหุ้นกับเขา..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเป็นพวกเราก็ไม่น่าห่วง เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วบวชมาเพื่อตั้งใจละกิเลส ก็ต้องมีการขัดเกลาตนเองให้เป็นผู้มักน้อย สันโดษ แต่ว่าผู้ที่บวชมาทั่ว ๆ ไปเกินร้อยละ ๗๕ บวชเข้ามาด้วยจุดมุ่งหมายต่าง ๆ กัน บางพวกก็ตั้งใจเข้ามาเรียนหนังสือ เมื่อมีความรู้ความสามารถในระดับเป็นที่ยอมรับในวงการสงฆ์ ก็จะช่วยให้มีความก้าวหน้าในเรื่องของยศของตำแหน่ง

    หรือว่าหลายท่านก็อาจจะบวชมาในแนวเดียวกับภิกษุฉัพพัคคีย์ ก็คืออาศัยพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องหากิน ดังที่มีบาลีเรียกว่าอุปชีวิกา คือบวชอาศัยศาสนาหากิน อุปกิฬิกา บวชเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้สนใจว่าจะทำให้ศาสนาเสียหายเท่าไร น้อยรายที่จะบวชในลักษณะของอุปนิสสรณิกา ก็คือตั้งใจที่จะบวชมาเพื่อความหลุดพ้น

    อย่างวันนี้ท่านจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพให้เด็กวัดถวายภัตตาหารแก่พระธุดงค์แปลกหน้าที่มาบิณฑบาต พวกท่านต้องทราบนะครับว่า นี่เพิ่งจะออกพรรษา ยังไม่พ้นฤดูฝนดี คุณจะรีบธุดงค์ไปไหน ? ถ้าหากว่ารีบออกมาตั้งแต่ตอนนี้ ก็แปลว่ากำลังใจของตนเองนั้นไม่ได้รักความสันโดษเลย มุ่งแต่จะเที่ยวไป ซึ่งการเที่ยวไปนั้นจริง ๆ ก็คือการเปลี่ยนสิ่งเสพเสวยที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการตอบสนองก็สงบระงับลงชั่วคราว แต่พอเกิดความต้องการใหม่ก็จะเริ่มทำใหม่

    การธุดงค์ในปัจจุบันนี้จึงมีประโยชน์น้อยมาก เพราะคำว่าธุดงค์ไม่ใช่การแบกกลด สะพายบาตร ออกเดินป่า การธุดงค์ก็คือปฏิบัติตามวัตรปฏิบัติ ๑๓ ข้อ อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดไว้ เราอยู่ที่ไหนก็ทำได้ อย่างเช่นว่าการบิณฑบาตเป็นวัตร การฉันอาสนะเดียวหรือฉันมื้อเดียวเป็นวัตร การถือผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร เป็นต้น

    จากประสบการณ์ตรงที่กระผม/อาตมภาพพบมาก็คือ พระธุดงค์ส่วนหนึ่งออกธุดงค์เพราะอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ มีวัตรปฏิบัติที่ไม่มีความเกรงใจหรือว่าไม่รู้กาลเทศะเลย จากที่เคยธุดงค์ร่วมกันมา บางทีท่านจำวัดเร็วก็ตื่นตี ๑ ตี ๒ ครองผ้าได้ก็ปูอาสนะ กราบพระ ทำวัตรสวดมนต์สนั่นหวั่นไหว ไม่ได้สนใจว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงจะหลับจะนอน จะพักจะผ่อน หรือไม่ก็เข้าป่าเพื่อไปดูดยาบ้าก็มี..!

    เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พบมาด้วยตนเอง ไม่ใช่กล่าวหาลอย ๆ ถึงเวลายาบ้าดีดก็แข่งกันวิ่งขึ้นเขา บางทีก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเฮี้ยนอะไรขึ้นมา เอามีดสปาตาร์เฉาะหัวกัน กระผม/อาตมภาพก็ต้องหอบหิ้วออกมาหาหมอข้างนอก เลือดท่วมตัวมาเลยก็มี..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้เราจะเห็นว่านักบวชของเรา ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร หรือรวมแม่ชีไปด้วย ก็คือปุถุชนคนทั่วไป ถ้าไม่ได้รับการขัดเกลามาจากครูบาอาจารย์ให้รู้จักละอายชั่วกลัวบาป ก็จะกระทำสิ่งที่เป็นไปตามกิเลสของตน แล้วสร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนาในที่สุด

    ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ก็จะไม่เสียเวลาไปตำหนิใคร อาจจะยกตัวอย่างท่านขึ้นมาเพื่อให้คนได้เห็นชัดเจนเท่านั้นว่า สิ่งที่ไม่ดีไม่งามนั้นคืออะไร แต่สิ่งสำคัญก็คือเราจะไม่เสียเวลาไปตำหนิเขา หากแต่การขัดเกลากาย วาจา ใจ ของตนเองต่างหาก ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด

    อีกส่วนหนึ่งก็คือช่วงนี้ออกพรรษาแล้ว ถ้าไม่ใช่ท่านที่ต้องเตรียมเข้าอบรมเพื่อสอบนักธรรมชั้นโท ชั้นเอก และเข้าสอบแล้ว ก็เท่ากับว่าเป็นเวลาว่างที่จะลา คราวนี้การลานั้น กระผม/อาตมภาพเองถือเคร่งครัดมาตั้งแต่ยังเป็นพระใหม่ เพราะจำได้ว่าตนเองบวชมาจนกระทั่งรับกฐินเสร็จเป็นเวลาประมาณ ๘ เดือนถึงได้ลากลับบ้าน..!

    สิ่งหนึ่งที่มีประสบการณ์แล้วอยากจะตักเตือนพวกเราก็คือว่า กลับบ้านเมื่อไรก็ร้อนเมื่อนั้น เพราะว่าญาติโยมก็จะเอาเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง สารพัดสารเพมากรอกหูให้กับเรา หลายต่อหลายท่านก็อดรนทนไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศไป เพราะทนเห็นโยมลำบากไม่ได้..!

    ส่วนหลายท่านที่ลาไปแล้ว เมื่อจิตของเราได้เสพเสวยสิ่งที่แปลกไปจากสถานการณ์เดิม ๆ เริ่มสงบขึ้นมา อย่าไปคิดว่าเป็นสิ่งดี ขอให้สังเกตอารมณ์ใจของตนเองว่า เมื่อกลับวัดมาแล้ว อยากจะไปอีกหรือไม่ ? ถ้าอยากจะไปอีกแปลว่าแย่แล้ว..! กิเลสกำลังจูงจมูกเราแล้ว

    และโดยเฉพาะการลาให้ระมัดระวังดูให้ดีด้วย ถ้าพรรคพวกเพื่อนฝูงเขาลากันมาก เราเองก็กัดฟันทนไว้ก่อน ไม่เกิน ๑๐ วัน ครึ่งเดือน พวกเขาก็กลับมาเราค่อยลาไป ไม่ใช่แห่กันหายไปทีครึ่งวัด..! หรือไม่ก็ลาในช่วงที่วัดกำลังมีงาน ถ้าลักษณะอย่างนั้นเรียกว่าขาดจิตสำนึก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    ช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็มีประเภท ขออนุญาตลาไปช่วยงานเพื่อนพระวัดอื่นในช่วงที่วัดตัวเองก็มีงาน กระผม/อาตมภาพก็ยังสงสัยว่าท่านใช้อวัยวะส่วนไหนคิด งานในวัดตัวเองมีไม่ทำ แต่ไปช่วยเพื่อน..!

    ขอให้พวกเรารู้จักระมัดระวังกันเอาไว้ด้วยว่า กิเลสรอเราอยู่ที่ประตูวัด ท่านที่บวชมาอาจจะเป็นพรรษาแรก ไม่กระทบอะไร เพราะว่าสิ่งแวดล้อมภายในวัด เป็นไปตามแนวทางที่เราต้องการ แต่ทันทีที่ก้าวพ้นวัด แรงกระทบทุกอย่างจะเข้ามาทันที..!

    บางท่านต้องใช้คำว่า "อิน"
    กับการเป็นนักบวชมากเกินไป แล้วก็ดันไปมองว่าตนเองเป็นเจ้านายชาวบ้าน เขาควรจะบริการเราอย่างนั้น เขาควรจะทำกับเราอย่างนี้ ถ้าคิดแบบนั้นคุณไปไม่รอดแน่นอน..!

    ต้องระลึกถึงสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพระมหาโมคัลลานะว่า "เราจักไม่ชูงวงเข้าไปในสกุล" พูดง่าย ๆ ก็คือไม่มีใครรู้จักเราเลยจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

    แต่ก็เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายจะต้องได้รับประสบการณ์เอง ถึงจะมั่นใจว่ากระผม/อาตมภาพพูดแล้วเป็นจริงตามนั้น ถ้ายังไม่ได้ทดลองก็ยังคันอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไปลองกันเสียให้พอก่อน เดือดร้อนวุ่นวายเมื่อไร กว่าจะกู้กำลังใจคืนได้ ลำบากแค่ไหน แล้วค่อยมาเชื่อกันทีหลัง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...