เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ขอเจริญพรขอบคุณแม่ชีชื่น ศรีสองแคว หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุน ที่ตั้งใจจะจัดงานทำบุญวันเกิดให้กระผม/อาตมภาพในวันพรุ่งนี้ แต่ขออภัย..เจ้าของวันเกิดยังไม่ใส่ใจเลย..!

    ในเรื่องของวันเกิด กระผม/อาตมภาพถือตามแบบโบราณ ก็คือจัดตอนอายุ ๖๐ ปี คราวนี้จะจัดครั้งต่อไปก็ต้องพยายามตะเกียกตะกายให้อยู่ถึง ๗๒ ปี ถ้ายังจะตะกายอยู่ไปถึง ๘๔ ปี ก็ต้อง "ตะบันน้ำกิน" กันแล้ว..!

    ในเรื่องของวันเกิดนั้นตอนที่สมัยยังเป็นฆราวาส เป็นวันที่กระผม/อาตมภาพจะพาแม่ไปกินข้าว ไปทำบุญ เพราะวันเกิดของเรานั้น เป็นวันที่แม่ลำบากที่สุด พูดง่าย ๆ ว่าต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ลูกเกิดมา ยิ่งในสมัยนั้นการแพทย์ไม่ดีอยู่ด้วย ยาแก้อักเสบสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่มีชนิดเดียว เรียกว่า "โปรเคน" ไม่รู้เหมือนกันว่าสมัยนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า ? แล้วก็ไม่ใช่หาง่าย ๆ หายากมาก

    ในเมื่อหมอก็ยังไม่ดี ยาก็ยังไม่ดี แถม "สุขศาลา" ที่สมัยนี้น่าจะประมาณโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ก็ยังหายากหนักเข้าไปอีก โรงพยาบาลประจำจังหวัดอยู่ห่างไปประมาณ ๓๖ กิโลเมตร ต้องนั่งรถไปเป็นวันกว่าจะไปถึง..! พวกท่านทั้งหลายคงนึกภาพไม่ออกว่า ระยะทาง ๓๖ กิโลเมตร นั่งรถอย่างไรเป็นวัน ๆ..!

    ขอบอกว่านั่นหมายถึงสภาพรถดี ๆ วิ่งไปแล้วไม่มีอะไรชำรุดสึกหรอให้ต้องซ่อมกลางทาง ถ้าสภาพรถไม่ดีอาจจะต้องนอนค้างไปอีกคืนหนึ่งหรือสองคืน เนื่องเพราะว่าถนนเป็นแค่ลูกรัง สมัยก่อนเขาใช้วิธีขุดดินสองข้างทางขึ้นมาพูนจนเป็นคันยาว ๆ พอที่ให้รถวิ่งได้ แล้วก็ทับหน้าด้วยดินภูเขาที่เรียกว่า "ดินลูกรัง"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะถนนเส้นไหนก็ตาม สองข้างถนนจะต้องต่ำกว่าคันถนนประมาณ ๓-๔ เมตร พลาดตกลงไปถึงกับคอหักตายได้เลย..! แล้วรถยนต์ก็ยังเป็นรถโครงไม้ หัวโต ๆ ถึงเวลาก็ใช้เครื่องมือไปหมุนปั่นบริเวณหัวรถเพื่อที่จะสตาร์ทให้ติด บางทีปั่นจนเหงื่อไหลไคลย้อยก็ไม่ยอมติดสักที พูดง่าย ๆ ว่าวิ่งไปนี่ ถ้าเราใจร้อนเดินเองก็อาจจะถึงก่อนอีกด้วย..!

    เนื่องเพราะว่าชาวบ้านที่เดินทางทุกคนก็พร้อมใจกันที่จะไป แล้วรถก็ใจดีเหลือเกิน ถึงเวลาจอดรถดับเครื่อง ลงไปช่วยคุณลุงคุณป้า คุณตาคุณยายขนของขึ้นรถ ไม่ว่าจะเป็นผลหมากรากไม้กล้วยอ้อยอะไรที่จะเอาไปขาย จัดขึ้นบนหลังคา มัดเสร็จสรรพเรียบร้อย ลงมาดูว่าคนขึ้นเรียบร้อยแล้วถึงไปสตาร์ทแล้วออกรถอีกที ก็แปลว่าแทบจะต้องจอดทุก ๆ ครึ่งกิโลเมตร..!

    ฉะนั้น..ระยะทางแค่ ๓๖ กิโลเมตร สามารถวิ่งไปถึงได้ภายใน ๑ วัน ถือว่าเร็วมากแล้ว สมัยนี้ ๓๖ กิโลเมตรน่าจะสัก ๑๐ นาที กระผม/อาตมภาพไปประเทศพม่า เช่ารถจากย่างกุ้งไปไจ๊โท พอจากช่วงเมืองพะยาจีไปเมืองวอเพื่อจะไปไจ๊โท คนขับรถทำความเร็วได้ ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุยโขมงโฉงเฉงบอกว่า "นี่เป็นถนนที่ขับรถได้เร็วที่สุดในประเทศพม่า"

    อดีตครูบาน้อย (พระนาวิน สจฺจญาโณ) บอกว่า "น้องชายอาจารย์ขับอย่างช้าก็ ๑๒๐" เล่นเอาคนขับรถทำท่าช็อก ไปขับที่ดาวอังคารหรืออย่างไรถึงเร็วขนาดนั้น ? โดยที่ครูบาน้อยก็ไม่ได้บอกว่าน้องชายอาจารย์ขับรถอยู่ที่ประเทศไทย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    พาท่านอาจารย์จันทร์ (พระวิลเลียม จนฺโทภาโส) วัดซายากง ข้ามมาเมืองไทยครั้งแรก ลงไปคลำพื้นถนนบริเวณด่านเจดีย์สามองค์ คลำแล้วคลำอีก บอกว่าเป็นถนนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องบอกกับท่านว่า นี่เป็นถนนสายห่วยที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี..!

    พอวิ่งผ่านพื้นที่น้ำเหนือเขื่อนวชิราลงกรณ ท่านก็ตื่นเต้นเป็นการใหญ่ มองจนกระทั่งเหลียวหลังคอเคล็ดไปเลย ถามว่าทำไมเมืองไทยมีน้ำมากมายขนาดนี้ ? บอกท่านไปว่า "นี่เป็นพื้นที่เหนือเขื่อน เขากักน้ำเอาไว้ จึงดูแล้วมากหน่อย ถ้าหน้าแล้งจริง ๆ อาจจะไม่พอใช้งานก็ได้ แต่อย่างไรก็ดีกว่าบ้านคุณ น้ำล้างตูดขันละ ๑๐ จั๊ต..!" สมัยนั้นยังดี เงินพม่า ๖ จั๊ตแลกเงินไทยได้ ๑ บาท

    เรื่องน้ำล้างตูดขันละ ๑๐ จั๊ตไม่ได้พูดเล่นนะ..เป็นเรื่องจริง เท่ากับเป็นค่าเข้าส้วมไปในตัว แต่ขอโทษ..ไม่พอราด เพราะฉะนั้น..ล้างก็คือล้าง ไม่มีเหลือให้ราด ส้วมพม่าก็เลยต้องกองทับกองถมอยู่นั่นแหละ จนกว่าคนดูแลเขาจะมาจัดการก็สูงเกือบเท่า ๆ ยอดดอยอินทนนท์แล้ว..!

    ด้วยความที่สมัยก่อนยากลำบากไปหมด วันเกิดของเราก็เหมือนอย่างกับวันตายของแม่ กว่าจะคลอดลูกออกมาได้ กว่าจะ "อยู่ไฟ" ต้องทนลำบาก อยู่ไฟก็อยู่กันเป็นเดือน กินข้าวกับเกลือบ้าง กินข้าวกับปลาแห้งบ้าง กลัวว่าจะแสลง จะมีให้กินอร่อยอย่างเดียวก็คือแกงเลียง เพราะเขาเชื่อว่าทำให้มีน้ำนมให้ลูกกินเยอะ

    แต่ด้วยความที่แพทย์แผนโบราณของเรานั้น ศึกษาเรื่องธาตุดินน้ำไฟลมในร่างกายของคนมา แม่ที่คลอดลูกใหม่ ๆ เสียเลือดมาก ก็คือเสียธาตุไฟไปมาก ก็เลยต้องอยู่ไฟ ถ้าเป็นศัพท์การแพทย์จีนเขาว่า กันไม่ให้ความเย็นแทรกซึม แต่สมัยนี้ไม่ได้อยู่ไฟกัน คนรุ่นใหม่ก็เลยไม่ค่อยแข็งแรง

    ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่าแม่ผมมีลูก ๑๓ คน ทำคลอดเองเกือบทั้งหมด..! แม่ไปคลอดกระผม/อาตมภาพที่กลางนา ตัดสายสะดือเสร็จก็เอาผ้าห่อ ใส่หาบกลับบ้าน ถ้าเป็นสมัยนี้เดินสามก้าวก็เป็นลมล้มตายอยู่ตรงนั้นแล้ว..ไม่ทันได้ไปไหน..!

    ดังนั้น..ในเรื่องของความเป็นพ่อเป็นแม่จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายจะลืมไม่ได้ พ่อแม่เป็นแดนเกิด ต่อให้ท่านไม่รักเราหรือร้ายกาจกับเราขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีท่าน เราก็ไม่ได้เกิดมา

    โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่เป็นพระภิกษุสามเณร อยู่รอดได้มาจนได้บวชก็เพราะการดูแลของพ่อแม่ ที่บอกว่า "พ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจให้เราเกิดมา เป็นเพียงผลพวงของกามารมณ์เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องบอกว่ามีบุญคุณก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกพ่อเรียกแม่ก็ได้" ไอ้พวกนั้นมันไม่มีหัวเข่า ก็เลยไม่รู้จักคิด สงสัยตอนเกิดแม่จะให้มาไม่ครบ ๓๒..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    ในเมื่อพ่อแม่เป็นแดนเกิด ถ้าไม่มีท่าน เราไม่มีโอกาสที่จะได้เกิด แล้วสมัยนี้ท่านทั้งหลายก็จะเห็น..เห็นอะไร ? สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็ก ๆ แม่หมามีลูกอย่างเก่งก็ครอกละ ๕ ตัว สมัยนี้บางคนส่งคลิปมา กระผม/อาตมภาพนั่งนับ ๑๐ กว่าตัว เกือบ ๒๐ ตัว..! ก็เพราะว่าคนเราทำหมันบ้าง คุมกำเนิดบ้าง ไอ้ที่จะได้เกิดไม่รู้จะไปเกิดที่ไหน ก็เลยไปเข้าท้องหมา "ชิงหมาเกิด" แทน จึง มากันทีหนึ่งมากมายมหาศาลไปหมด..!

    แล้วก็ดันมีที่ "ชิงหมาเกิด" ได้สำเร็จ ก็เลยมาสร้างความวุ่นวายกับบ้านเมือง ให้เดือดร้อนทั้งทางราชการและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องคอยมาปราม ๆ เอาไว้ เมื่อวานเพิ่งจะมีคนส่งภาพมาให้ดู บอกว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมค้อนแพ้กระดาษ ? เพราะว่าด้านหนึ่งเป็นค้อนผู้พิพากษา อีกด้านหนึ่งเป็นธนบัตรใบละพันเป็นตั้งเลย ใครที่เล่น "เป่ายิ้งฉุบ" มาคงจะเข้าใจแล้วว่าทำไมค้อนถึงแพ้กระดาษ..!!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของวันเกิดกระผม/อาตมภาพจึงนึกถึงแม่ก่อน โดยเฉพาะพาแม่ไปทำบุญ เรื่องของคนแก่ ถ้าเป็นไปได้มีเวลาก็ชวนท่านคุยในเรื่องของบุญ เรื่องของกุศล เพื่อที่จะให้กำลังใจของท่านเกาะในด้านที่ดีเอาไว้ เท่ากับเป็นการฝึกกรรมฐานไปในตัว

    เพียงแต่โยมแม่ของกระผม/อาตมภาพไม่ยอมอยู่ที่ไหนนาน ๆ กลัวลูกจะน้อยใจ จึงไปอยู่ทางบ้านโน้น ๒ เดือนบ้าง บ้านนี้เดือนหนึ่งบ้าง ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

    มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านมาอยู่ที่วัดท่าขนุนนี่แหละ แม่ก็มีความสุขตามสภาพของคนแก่ พอตอนบ่าย ๆ
    กระผม/อาตมภาพก็พยายามหาเวลาว่างไปคุยเรื่องเก่า ๆ กับท่าน ทั้ง ๆ ที่รู้นั่นแหละ เพราะท่านเล่าให้ฟังมาเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้ว ก็เอาใหม่ว่า "เรื่องนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ?" แม่ก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่าอย่างมีความสุข

    พอไปได้ระยะหนึ่งก็ถามว่า "นี่แม่มาอยู่วัดได้เดือนหนึ่งหรือยัง ?" กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "แม่..แม่อยู่มา ๘ เดือนแล้ว พี่น้องเขาจะฆ่าพระทิ้งแล้ว..!" ด้วยความที่มีคนชวนคุยแล้วแม่มีความสุข แม่ก็ลืมไปว่าอยู่วัดนานเท่าไร อุตส่าห์ถามว่าอยู่ได้เดือนหนึ่งหรือยัง ? ทั้ง ๆ ที่ออกพรรษาไปตั้งชาติหนึ่งแล้ว..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    ฉะนั้น..หากใครยังมีพ่อมีแม่อยู่ ถือว่าท่านทั้งหลายเป็นคนโชคดี มีโอกาสก็พยายามตอบแทนบุญคุณท่านบ้าง กระผม/อาตมภาพดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี ทั้งกลางวันกลางคืนจนกระทั่งตายคามือไปเลย..! ดูแลแม่อีก ๓ ปีเต็ม ๆ จากที่ท่านโดนรถชนหนัก กระดูกด้านขวาตั้งแต่กรามลงไปหักทุกชิ้น จนกระทั่งเดินได้ตามปกติ

    ถ้าหากพวกเรามีโอกาสได้ทำในลักษณะอย่างนั้น ก็ถือว่าอย่างน้อยเป็นกตเวทิตาบุคคล ก็คือได้ตอบแทนสิ่งที่พ่อแม่เลี้ยงเรามาจนทุกวันนี้ ท่านที่เป็นพระภิกษุสามเณรยิ่งต้องระมัดระวังให้ดี กระผม/อาตมภาพสมัยที่เรียนประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ต้องเข้ากรรมฐาน ๑๐ วัน โดยมีการเข้ากรรมฐานร่วมกันกับพระที่เรียนจากที่อื่น ๆ

    มีอยู่รูปหนึ่งมาจากเพชรบุรี ไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนาม เพราะว่าอยู่ในช่วงปฏิบัติธรรม เขาห้ามพูดคุยกัน ก็ฉวยโอกาสถามท่านเนื่องเพราะเห็นว่าพอเริ่มจะทำวัตรเช้า ท่านก็จะล้วงเอาผ้าขาวผืนหนึ่งออกมาจากใต้อังสะ วางอยู่ตรงหน้า กราบงามสามที ทำวัตรเสร็จเข้ากรรมฐานก็เอาวางไว้บนตักตัวเอง เข้ากรรมฐานเสร็จเอาผ้าวางกราบสามที เก็บคืนที่เดิม

    แอบถามท่านตอนฉันเช้าว่า "ขออภัยเถอะ..ผมเห็นหลวงพ่อเอาผ้าขาวมากราบมาไหว้ทุกวัน เป็นผ้าอะไรครับ ?" ท่านบอกว่า เป็นผ้าที่แม่ท่านพาดบ่าตอนรักษาศีลแปดเป็นประจำ ตอนนี้แม่ตายแล้วก็เลยเอาติดตัวไว้ เพื่อถึงเวลาแล้วสวดมนต์ไหว้พระอะไร ก็จะได้อุทิศส่วนกุศลให้กับแม่ทุกครั้ง

    นั่นคือสิ่งที่ท่านทำเอาไว้ แล้วกระผม/อาตมภาพเห็นเป็นตัวอย่าง อีกท่านหนึ่งก็หลวงพ่อเอียด พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรสิทธาจารย์ เจ้าคณะภาค ๑๕ เจ้าอาวาสวัดคลองวาฬ (พระอารามหลวง) ท่านเอาแม่มาเลี้ยงไว้ที่วัดเหมือนกัน ตีสามตีสี่ก็ลุกขึ้นไปหุงข้าวหุงปลาให้แม่ พระอื่นขอร้องให้ท่านพักเพราะว่าอายุมากแล้ว เดี๋ยวจะช่วยทำให้ หลวงพ่อเอียดท่านบอกว่า "ไม่ได้..เพราะว่าพวกท่านไม่รู้ว่าแม่ผมชอบกินอะไร"

    นั่นคือตัวอย่างดี ๆ ในชีวิตที่กระผม/อาตมภาพเห็นมา พวกเราทั้งหลายก็ยึดเอาไว้ว่าเป็นสิ่งที่ดีซึ่งพระเถระท่านทำเอาไว้ ถ้าเรามีโอกาสก็เรียนปฏิปทาของท่านได้ วันนี้ตั้งใจแค่จะขอบคุณแม่ชีชื่นที่จะจัดวันเกิดให้ ทำไมลากยาวมาถึงขนาดนี้ได้ก็ไม่รู้ ? ยิ่งกำลังเป็นหวัด พูดไม่ค่อยจะเป็นภาษามนุษย์อยู่ด้วย..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...