เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 สิงหาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันจันทร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ถ้าทั่วไปแถวนี้เขาเรียกกันว่าสารทลาว ปกติแล้วถ้าหากว่าเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ตามจันทรคติของไทย ก็จะตรงกับสารทจีนด้วย เพียงแต่ว่าสารทจีนปีนี้เร็วกว่าสารทลาวไป ๑ วัน

    โดยเฉพาะปฏิทินจันทรคติของจีนนั้นจะเดินช้ากว่าไทยอยู่ ๒ เดือน ดังนั้น..สารทจีนจึงเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ แต่ตรงกับขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ของไทยบ้าง ก่อนวันหนึ่งบ้าง หลังวันหนึ่งบ้าง ส่วนสารทไทยนั้นต้องรออีก ๑ เดือน เนื่องเพราะว่าสารทไทยนั้นจะตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ ก็คงประมาณเดือนครึ่ง ไม่ใช่ ๑ เดือน

    คราวนี้ที่กล่าวถึงตรงนี้ก็เพราะว่า พระภิกษุของเราจำพรรษามา ๑ เดือนแล้ว เราต้องถามตัวเองว่า ๑ เดือนที่ผ่านมาเราได้อะไรบ้างหรือยัง ? เวลาทำวัตร เราก็มีการพิจารณาอยู่บ่อย ๆ ว่า "วันคืนล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ?" "ตัวเรามีคุณวิเศษบ้างหรือไม่ ? เพื่อที่จะไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม"

    เรื่องพวกนี้ถ้าว่าไปแล้วในที่อื่นจะเป็นเรื่องยาก เนื่องเพราะว่าการไปปฏิบัติกรรมฐานนั้นกลายเป็นแปลกแยกจากสังคม เพราะว่าวัดส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่ไปเน้นในเรื่องการเรียนพระปริยัติธรรมก็ไม่เอาอะไรเลย..!

    ในเมื่อวัดท่าขนุนของเราเน้นในเรื่องของการปฏิบัติธรรมด้วย เราทั้งหลายก็อย่าได้ปล่อยเวลาให้ล่วงไปเปล่า ๆ เนื่องเพราะว่าทุกลมหายใจของเรานั้นก็คือความตายที่รออยู่ หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน..!

    แล้วปัจจุบันนี้ยังมีความรู้ผิด ๆ พลาด ๆ ที่บรรดาผู้ที่คิดว่าตนเองรู้ นำมาสั่งสอนอีกต่างหาก ถ้าเราพลาดไปเชื่อเข้าก็จะหลงทางออกจากความดีไปเลย
    อย่างที่มีพระมหาท่านหนึ่งวางตัวเป็นผู้รู้ในด้านพระพุทธศาสนา มีผู้ถามว่า "ถ้าพระอุปัชฌาย์ต้องอาบัติปาราชิก การบวชพระจะเป็นพระหรือไม่ ?"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    ท่านบอกว่าการบวชพระจะเป็นพระหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุสมบัติ คือตัวผู้บวช มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ ? กรรมวาจาสมบัติ การสวดญัตติถูกต้องหรือไม่ ? ปริสสมบัติ จำนวนบุคคลที่กำหนดให้อยู่ในสังฆกรรมนั้นครบถ้วนหรือไม่ ? สีมาสมบัติ ได้อยู่ในสีมาที่สมมติถูกต้องแล้วหรือไม่ ? เหล่านี้เป็นต้น

    ท่านอธิบายว่า ถ้าปริสสมบัติในมัชฌิมประเทศ กำหนดเอาไว้ว่าอย่างต่ำต้องมีพระ ๑๐ รูป ถ้าเป็นปัจจันตประเทศอย่างต่ำต้องมีพระ ๕ รูปอยู่ในสังฆกรรมนั้น ถ้าหากว่ามีพระครบถ้วน ต่อให้พระอุปัชฌาย์ต้องปาราชิกก็บวชสำเร็จเป็นพระได้ ถ้ามีพระไม่ครบถ้วน การบวชนั้นก็ไม่สำเร็จเป็นพระ ฟังดูแล้วถ้าคนไม่มีความรู้ก็จะเชื่อตามนั้นเลย แล้วปัจจุบันนี้ความเชื่อนี้มีมากเป็นพิเศษ

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ในเรื่องของสังฆกรรมนั้นเป็นเรื่องของสงฆ์ที่เป็นอุปสัมบัน คือผู้ที่มีศีลเสมอกัน โดยเฉพาะสังฆกรรมในการอุปสมบทนั้นสำคัญที่สุด เป็นถึงญัตติจตุตถกรรม ก็คือสวดประกาศ ๑ ครั้ง สวดอนุสาวนาหรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าสวดญัตติ ๓ ครั้ง รวมเป็น ๔ ครั้ง

    ถ้าหากว่าพระอุปัชฌาย์หรือว่าพระรูปใดรูปหนึ่งในสังฆกรรมนั้น ต้องอาบัติปาราชิกหรือว่าสังฆาทิเสส ก็แปลว่าคุณสมบัติไม่ครบถ้วนต่อการเป็นอุปสัมบัน เพราะว่าเป็นผู้มีศีลน้อยกว่า ในเมื่อมีผู้ที่มีศีลน้อยกว่าไปอยู่ข้างในสังฆกรรมนั้น แล้วจะเรียกว่าสังฆกรรมได้อย่างไร ? เพราะว่าสังฆกรรมเป็นเรื่องของสงฆ์หรือว่าอุปสัมบัน บรรดาท่านที่อ่านตำราแล้วตีความเอาเอง และอาจจะตีความเข้าข้างตัวเอง ปัจจุบันนี้มีมาก และจะชักพาให้คนหลงเชื่อตามนั้นไปด้วย

    ส่วนอีกรายหนึ่งก็ถือว่าเป็นยูทูบเบอร์เลย ท่านบอกว่า "การที่จะไปไหว้เจดีย์ ไปไหว้ต้นโพธิ์ที่อินเดียมีประโยชน์อะไร ? เพราะถ้าหากว่ามีประโยชน์จริง พวกคนอินเดียที่นอนอยู่ใต้ต้นโพธิ์เลย ป่านนี้ก็ร่ำรวยกันหมดแล้ว" นี่ก็ฟังดูเหมือนจะใช่

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ยูทูบเบอร์ท่านนั้น
    กำลังกล่าวตู่พระพุทธเจ้า เพราะว่าแม้พระองค์ท่านยังกล่าวว่า ถ้าหากว่าสิ้นพระองค์ท่านไปแล้ว สังเวชนียสถานทั้ง ๔ คือสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน เป็นสถานที่ซึ่งพุทธศาสนิกชนพึงไปกราบไหว้เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    คราวนี้สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ตลอดจนแสดงปฐมเทศนานั้น อันดับแรก ถ้าหากว่าเราไปกราบไหว้บูชา สิ่งที่จะได้ก็คือการปฏิบัติกรรมฐานกองที่ใหญ่ที่สุด ก็คือพุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ แล้วท่านไปกล่าวว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย..!

    ประการที่สอง เรื่องนี้บางท่านสัมผัสได้ บางท่านสัมผัสไม่ได้ คือสถานที่ซึ่งมีพระอรหันต์ท่านบรรลุมรรคบรรลุผลที่นั่น โดยเฉพาะจอมพระอรหันต์อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พลังงานความดีที่หลงเหลืออยู่บริเวณนั้นสูงมากเป็นพิเศษ ใครตั้งใจไปปฏิบัติธรรมที่ตรงนั้น แทบจะไม่ต้องควบคุมจิตของตนเองเลย

    เพราะว่ากระแสพลังงานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าเหล่าพระอรหันต์ท่านทิ้งเอาไว้ จะโยงจิตของเราให้เข้าถึงสมาธิได้รวดเร็วมาก จิตสงบลงได้มาก และอาจจะสงบลงทันทีทันใดเลยก็ได้ แล้วหลังจากนั้น เราจะใช้ความสงบระงับนั้นไปก่อให้เกิดปัญญาเพื่อพิจารณาธรรมอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเราเอง


    ในเมื่อท่านเองไปกล่าวเพราะอาศัยคำสวดที่บอกว่า มนุษย์เป็นจำนวนมากเมื่อขาดที่พึ่ง ก็วิ่งไปหาต้นไม้บ้าง ภูเขาบ้าง เจดีย์บ้าง กราบไหว้บูชาเพื่อขอเป็นที่ระลึก นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม ไม่ใช่ที่พึ่งอันอุดม หากแต่การระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ต่างหากจึงเป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันอุดม

    ท่านเองไปเอาท่อนแรกมา แล้วก็บอกกล่าวแก่ผู้ติดตามของท่าน โดยที่ไม่ได้ดูท่อนต่อไปว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้นั้น ก็เพื่อให้กำลังใจของคนได้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่ระลึกถึง เป็นเครื่องยึด

    เมื่อได้ฟังท่านกล่าวแล้ว กระผม/อาตมภาพก็รู้สึกสงสารมาก เพราะพบมามากต่อมากด้วยกันแล้วว่า
    บุคคลที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ตำหนิพระพุทธ ตำหนิพระธรรม ตำหนิพระสงฆ์ โดยปราศจากความยั้งคิด ในภายหลังต้องได้รับทุกข์รับโทษอย่างไร..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    แล้วโดยเฉพาะเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ท่านทั้งหลายอย่าได้ไปเถียงด้วย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า บุคคลทั้งหลายนั้นไม่ควรกล่าวคำพูดอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เนื่องเพราะว่าคำพูดอันเป็นเหตุให้เถียงกันนั้นย่อมทำให้พูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่าน จิตใจย่อมห่างจากสมาธิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เพียงนี้ แต่กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า เมื่อห่างจากสมาธิก็ขาดสติ สิ้นคิด ไปกล่าวตู่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..!

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายพบเข้า ก็ต้องรักษาใจของตนให้ดี อย่าไปโกรธ ไปเกลียด ไปชังใคร หากแต่ต้องมองเห็นว่า "สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ก็บอกกล่าวกับบริษัทบริวารของเราไป

    ส่วนท่านเองไปเผยแพร่แนวคิดผิด ๆ แม้กระทั่งจะฉันอาหารเวลาดึก ๆ ดื่น ๆ ก็บอกว่าฉันได้ ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็แปลว่าท่านเก่งเกินพระพุทธเจ้าไปแล้ว ยกท่านไว้เถอะ พวกเราทั้งหลายก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือว่าปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ที่ท่านยึดถือพระไตรปิฎกหรือวิสุทธิมรรคเป็นหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้เราหลงออกนอกลู่นอกทางแบบนั้น

    โดยเฉพาะนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ทุกคนจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่อยากจะสอนคนอื่น กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่านั่นไม่ใช่ความคิดของเรา หากแต่เป็นการดลใจของกิเลสมาร เพราะไปเห็นว่าการสอนคนอื่นนั้น จะทำให้มีบริวารมาก มีชื่อเสียง มีลาภยศ

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นบ่วงมารที่จะร้อยรัดตัวเราให้ตกอยู่ในวัฏสงสารทั้งสิ้น ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านยังอยู่ในระดับนั้น แปลว่าคุณสมบัติยังไม่เพียงพอที่จะไปสอนใคร สอนไปก็เหมือนกับ "คนตาบอดขี่ม้าตาบอด" มีแต่จะพากันลงเหวลงห้วย ตายทิ้งเสียเปล่า ๆ..!


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...