เมื่อนั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกว่าร่างกายไม่มี นั่นคือระดับใด

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย 15ค่ำ, 10 มิถุนายน 2012.

  1. 15ค่ำ

    15ค่ำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +17
    ใคร่ถามท่านผู้รู้ที่ปฎิบัติดี ช่วยตอบปัญหาด้วย ปฏิบัติได้อย่างนี้ 2 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยเจออะไรเลย มีความรู้สึกว่าว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย แม้แต่ร่างกาย พอมีความรู้สึกว่าเราอยู่ที่ไหน นี่คืออะไรเท่านั้นแหล่ะ อาการปวดเมื่อยมาทันที
     
  2. numbernine

    numbernine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +285
    ขออนุญาตตอบนะครับ ผิดถูกประการใดรอท่านอื่นมาตอบอีกที

    ผมว่าอาการนั้นเกิดจากการที่คุณ ทำสมาธิถึงฌาณ 4 หน่ะครับ เพราะพอทำสมาธิมาถึงจุดนี้จิตจะตัดอาการรับรู้ทางกาย จึงเป็นเหตุให้คุณเกิดความรู้สึกเช่นนี้ และหลังจากนั้น พอเกิดความสงสัยความสงสัยว่าเกิดอะไรเคย สมาธิจึงถอยกลับลงมา จึงทำให้ความรู้สึกทางกายกลับมาเช่นเดิม หากเิกิดอาการอย่างนี้อีกก็จับความว่างเป็นอารมย์ต่อ ไม่ต้อไปพวง หรือ กลัวจะตายนะครับ ถ้ามันจะตายก็ให้ตายไปเสียเลย ลองหาตำราของหลวงพ่อมาศึกษาต่อดูนะครับ ท่านอธิบายไว้อย่างละเอียดแล้ว
     
  3. นายกสิณ

    นายกสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +251
    เรายังรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา นั่นแสดงว่าสมาธิเราสงบนิ่งดีแล้ว ต่อไปก็ให้พิจารณาร่างกายสังขาร แต่ไม่ใช่ได้ฌานใดฌานหนึ่งแน่นอน แค่สมาธิเรานิ่งจุดจุดหนึ่งเท่านั้น ...ปัญหาต่อไปคือ เราจะทำอย่างไรให้สมาธิเราลึก ลึก ลึก อีกได้ต่อไปเรื่อย
     
  4. phol9

    phol9 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2008
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +51
    ขออ้างอิง ธรรมพ่อแม่ครูบาอาจารย์..
    หลวงตาพระมหาบัว ท่านให้เจริญปัญญา ต่อไป


    อย่าถอน อย่าตกใจ อย่าลุก และอย่าเลิก นั้นคือบารมีเก่า ..

    ส่วนตัวข้าพเจ้าเอง เคยผ่านอารมณ์ จิตตรงนั้นแล้ว ที่ห้องแคบๆ ที่กทม. ตอนเวลา ตี 01:21
    หลายปีแล้ว
     
  5. 15ค่ำ

    15ค่ำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +17
    ขอขอบคุณทุกท่านที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ ลืมบอกว่า ในขณะท่ี่อยู่ในอารมณ์นั้น รู้สึกรับรู้ถึงความสว่างไสวภายในตนเอง ไม่มีร่างกาย เพลินมาก จนไม่มีองค์ภาวนา พอระลึกได้ว่าลืมองค์ภาวนา ก็กลับมาเป็นตนเอง แต่หลังจากนั้นมา เมื่อปฏิบัติคราวใด ถ้าไม่มีกลิ่นธูป ก็เป็นกลิ่นสาบสางเหม็นมาก ต้องออกจากสมาธิมาแผ่เมตตา เลยรู้สึกว่าหากจะปฏิบัติคงต้องมานั่งตอนช่วงบ่ายๆดีกว่า หรือไม่งั้นต้องมีครูบาอาจารย์ด้วย โดยเฉพาะช่วงก่อนวันโกน1 วัน ไม่งั้นก็เป็นวันโกน วันพระไม่ค่อยมาขอบุญกันสักเท่าไหร่
     
  6. numbernine

    numbernine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +285
    จตุตถฌาน หรือ จตุตถสมาบัติ

    จตุตถะ แปลว่าที่ ๔ จตุตถฌานจึงแปลว่าฌานที่ ๔ ฌานที่ ๔ นี้มีอารมณ์ ๒ เหมือน
    ฌาน ๓ แต่ผิดกันที่ฌาน ๓ มีสุขกับเอกัคคตา สำหรับฌานที่ ๔ นี้ ตัดความสุขออกเสียเหลือแต่
    เอกัคคตา และเติมอุเบกขาเข้ามาแทน ฉะนั้น อารมณ์ของฌาน ๔ จึงมีอารมณ์ผิดแผกจาก
    ฌาน ๓ ตรงที่ตัดความสุขออกไป และเพิ่มการวางเฉยเข้ามาแทนที่

    อาการของฌาน ๔ เมื่อปฏิบัติถึง

    ฌาน ๔ เมื่อนักปฏิบัติ ปฏิบัติถึงมีอาการดังนี้
    ๑. จะไม่ปรากฏลมหายใจเหมือนสภาพฌานอื่นๆ เพราะลมละเอียดจนไม่ปรากฏว่ามี
    ลมหายใจ ในวิสุทธิมรรคท่านว่าลมหายใจไม่มีเลย แต่บางอาจารย์ท่านว่า ลมหายใจนั้นมี
    แต่ลมหายใจละเอียดจนไม่มีความรู้สึกว่าหายใจ ตามนัยวิสุทธิมรรคท่านกล่าวถึงคนที่ไม่มี
    ลมหายใจไว้ ๔ จำพวกด้วยกัน คือ ๑. คนตาย ๒. คนดำน้ำ ๓. เด็กในครรภ์มารดา
    ๔.ท่านที่เข้าฌาน ๔ รวมความว่า ข้อสังเกตที่สังเกตได้ชัดเจนในฌาน ๔ ที่เข้าถึงก็คือ
    ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจการที่ฌาน ๔ เมื่อเข้าถึงแล้ว และขณะที่ทรงอยู่ในระดับของฌาน ๔
    ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจนี้เป็นความจริง มีนักปฏิบัติหลายท่านที่พบเข้าแบบนี้ถึงกับร้องเอะอะโวยวาย
    บอกว่าไม่เอาแล้ว เพราะเกรงว่าจะตายเพราะไม่มีลมหายใจ บางรายที่อารมณ์สติสมบูรณ์หน่อย
    ก็ถึงกับค้นคว้าควานหาลมหายใจ เมื่ออารมณ์จิตตกลงระดับต่ำกว่าฌานที่ ๔ ในที่สุดก็พบลมหายใจ
    ที่ปรากฏอยู่กับปลายจมูกนั่นเอง
    ๒. อารมณ์จิตเมื่อเข้าสู่ระดับฌาน ๔ จะมีอารมณ์สงัดเงียบจากอารมณ์ภายนอกจริง ๆ
    ดับเสียง คือ ไม่ได้ยินเสียง ดับสุข ดับทุกข์ทางกายเสียจนหมดสิ้น มีอารมณ์โพลงสว่างไสวเกินกว่า
    ฌานอื่นใด มีอารมณ์สงัดเงียบ ไม่เกี่ยวข้องด้วยร่างกายเลย กายจะสุข จะทุกข์ มดจะกิน ริ้นจะกัด
    อันตรายใดๆ จะเกิด จิตในระหว่างตั้งอยู่สมาธิที่มีกำลังระดับฌาน ๔ จะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เพราะฌานนี้
    กายกับจิตแยกกันเด็ดขาดจริงๆ ไม่สนใจข้องแวะกันเลย ดังจะเห็นในเรื่องของลมหายใจ ความจริง
    ร่างกายนี้จำเป็นมากในเรื่องหายใจ เพราะลมหายใจเป็นพลังสำคัญของร่างกาย พลังอื่นใดหมดไป
    แต่อัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจยังปรากฏ ที่เรียกกันตามภาษาธรรมว่า ผัสสาหารยังมีอยู่ ร่างกายก็ยัง
    ไม่สลายตัว ถ้าลมหายใจที่เรียกว่าผัสสาหารหยุดเมื่อไร เมื่อนั้นก็ถึงอวสานของการทรงอยู่ของร่างกาย
    ฉะนั้น ผลการปฏิบัติที่เข้าถึงระดับฌาน ๔ จึงจัดว่าลมหายใจยังคงมีตามปกติ ที่ไม่รู้ว่าหายใจก็เพราะ
    ว่าจิตแยกออกจากกายอย่างเด็ดขาดโดยไม่รับรู้อาการของร่างกายเลย

    http://www.palungjit.org/smati/k40/smabat.htm

    ลองเทียบเคียงดูนะครับว่าใกล้เคียงกันหรือไม่
    อนุโมทนานะครับ
     
  7. 15ค่ำ

    15ค่ำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +17
    ตอบได้ชัดเจนมากเลย ขออนุโมทนาด้วยใจจริง เหมือนอาการที่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย และเป็นสุขแบบที่บอกใครไม่ได้ไม่เป็น แต่ไม่รับรู้ถึงลมหายใจ พอระลึกได้ลมหายใจก็อยู่ปลายจมูกนั่นเอง และหากปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ต้องทำอย่างไรต่อหรือจะนั่งจนเพลินไปเรื่อยๆ แล้วทำไมเราไม่ผ่านอารมณ์อื่นอย่างคนอื่นเขา เช่น ระลึกชาติ หรือ เห็นอะไรต่ออะไรอย่างเขาบ้างหล่ะ บอกเคล็ดด้วยเถอะจักเป็นพระคุณยิ่ง
     
  8. numbernine

    numbernine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +285
    ก่อนอื่นคุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การนั่งสมาธินั้นจุดประสงค์หลักหาใช่การ

    ได้เห็นสิ่งที่เป็นทิพย์อย่า่งที่คุณอยากเห็น เช่น การระลึกชาติ หรือ การได้รู้ได้เห็น

    ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น เพราะแท้จริงนั้นจุดมุ่งหมายของกรทำสมาธิคือ การ


    ขัดเกลากิเลสให้หมดไปจากจิตเดิม ๆ ของเรา


    อีกอย่างความอยากเห็นของคุณนั่นแหละ คือศัตรูตัวสำคัญ ที่ทำให้คุณไม่ได้เห็น

    ลองไปศึกษาในเรื่องของนิวรณ์ ๕ ดูนะครับ

    แต่หากคุณอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นกล่าวอ้างว่าเห็นนู่นเห็นนี่ มีจริงหรือไม่

    พระพุทธองค์ท่านก็ทรงชี้แนะถึงวิธีการทำสมาธิถึง ๔๐ กอง ซึ่งหากคุณลอง

    ศึกษาดูก็จะพบว่าถึงแม้จุดหมายปลายทางของทั้ง ๔๐ กองจะเหมือนกัน แต่ความ

    สามารถของผู้ที่ฝึกสมาธิผู้แ่ต่ละกองนั้นต่างกัน ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ที่ฝึก

    มโนมยิทธิ ก็จะสามารถ อทิสมานกาย ไปยังนิพพาน พรหม สวรรค์ ได้ ผู้ที่

    เจริญกสิณดินสามารถที่จะทำของเหลวให้แข็ง หรือ ผู้ที่เจริญกสิญน้ำสามารถทำ

    ของแข็งให้เหลวได้ เป็นต้น ฉะนั้นตัวคุณเองต้องรู้ว่าคุณฝึกวิธีไหน และวิธีนั้นทำให้

    เกิดผลอย่างไรได้บ้าง แต่อย่างไรก็ตามทุก ๆ กองก็ต่างมีคุณวิเศษด้วยกันทั้งสิ้น

    อีกอย่างอยากให้คุณลองดูประเภทของอรหันต์ ๔ ประเภทดังนี้
    พระอรหันต์ 4 คือ
    พระสุกขวิปัสสก (ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อย่างเดียว) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนาเพียงอย่างเดียว
    พระเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา 3 คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ (รู้ระลึกชาติได้) จุตูปปาตญาณ (รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)อันเป็นที่เกิดจากการเข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริงจึงรู้เหตุการณ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น อาสวักขยญาณ (รู้ทำอาสวะให้สิ้น) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนา และถือวัตรธุดงค์
    พระฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา 6 คือทิพฺพจักขุ ตาทิพย์ (คือฤทธิที่สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ใกล้ไกลได้ มีพระอนุรุทธะ เป็นเอกทัคคะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านการมีตาทิพย์ คือสามารถมองเห็นโลกใบนี้ ราวกับ มองเม็ดมะขามป้อมบนฝ่ามือ) ทิพยโสต หูทิพย์อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ (โดยเฉพาะมโนมยิทธิการแยกร่างและจิต เป็นฤทธิที่แสดงได้เฉพาะพระอรหันต์ประเภทฉฬภิญโญเท่านั้น ) เจโตปริยญาณ (ทายใจผู้อื่นได้) บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้ ) และอาสวักขยะญาณ (ญานที่ทำให้อาสวะสิ้นไป) อานิสงค์จากการปฏิบัติวิปัสสนาและเจริญสมาธิจนได้ฌานสมาปัตติ
    พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4) คือแตกฉานในความรู้อันยิ่ง 4 ประการ ได้แก่ อัตถปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในอรรถ ธัมมะปฏิสัมภิทาความแตกฉานในธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทาความแตกฉานในภาษา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณไหวพริบ

    หากคุณชอบหรืออยากเป็นประเภทไหนคุณก็ต้องทราบว่า สมาธิกองไหนบ้างที่เป็น

    แนวทางของแต่ละประเภท ผมเองก็ไม่กล้าอธิบายเพราะกลัวผิดพลาด หากมี

    โอกาสไปซอยสายลม ลองหาหนังสือ คู่มือฝึกกรรมฐาน ๔๐ กองของหลวงพ่อ

    ฤาษีลิงดำมาศึกษาดูนะครับ


    ปล.ขออภัยหากมีส่วนไหนผิดพลาด รบกวนท่านอื่นแนะนำเจ้าของกระทู้ต่อด้วย

    เพราะภูิมิธรรมน้อย อธิบายก็ไม่ค่อยเก่ง ผมนำนำเท่าที่ผมจำได้นะครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    1.ปกติถ้าจิตกับกายแยกกันได้เด็ดขาดชั่วคราว ถ้าในระดับที่ตามตำราเรียกว่า ฌาณ 4 เนี่ยจะไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แม้กระทั่งลมหายใจก็แทบไม่มีครับและมักจะไม่อยู่ในสถานที่ว่างๆถ้าทำได้ในครั้งแรกมักจะอยู่ในสถานที่ๆใกล้ๆกับที่เรานั่งสมาธิอยู่.ยกเว้นว่าคุณจะฝึกสติมาพอสมควรจะต้องมองเห็นอย่างน้อยผนังอะไรบ้างอย่างข้างหน้า.​

    2.แต่ถ้ายังมีความรู้สึกและยังผูกพันธ์อยู่กับร่างกายนั้น แต่อารมย์อาจคล้ายๆว่ากายกับจิตแยกได้ ..เป็นระดับขั้นที่จิตเป็นทิพย์ชั่วคราวเรียกว่า อุปจารสมาธิและมักจะไม่ได้เจออะไรว่างๆเหมือนกัน มักจะต้องพบเห็นอะไรที่พิเศษๆหน่อย​

    3.ขั้นสุดท้ายเนี่ยอาจเป็นการปรุงแต่งเองได้ของจิตร่วมกับความคิดที่เกิดจากจิตสร้างขึ้นมาหลอกเรา สำหรับกรณีที่เราไปอ่านตำราหรือไปได้ยินมาแล้วไม่ได้ทิ้งความรู้ที่ได้มาจากการรับรู้นั้นและก็เผลอเก็บมาคิดว่าถึงระดับนั้นระดับนี้จะเป็นอย่างนี้..แล้วมานั่งสมาธิครับ​

    ปล.และกรณีที่คนที่สามารถแยกกายกับจิตได้ชั่วคราวอย่างเด็ดขาดจริงๆนั้น หรือในข้อที่ 1 นั้นมักจะไม่เกิดความลังเลสงสัยใดๆสำหรับจุดนี้
    ลองพิจารณาดูนะครับ
     
  10. ผู้สืบทอด

    ผู้สืบทอด สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +11
    คุณ ปฎิบัติ แค่ 2 ครั้ง ก็สงบพอควรแล้ว แสดงว่าไม่มีบาปเวร อะไร
    ที่รู้สึกว่าว่างเปล่า เพราะ จิตคุณเคลื่อนจากการคุมร่าง (กายที่จิตสร้างขึ้น)
    ตอนนั้นจิตมันรู้สึกถึงตัวมันเอง ยังไม่ลงสัญญาลึก
    การที่คุณรู้สึกปวดเมื่อยขึ้นมา ก็จิตมันกลับฐาน ควบคุมเดิม ก็แค่นั้น
    สรุป ....คุณรับรู้เวทนาทางรูปแล้วก็เวทนาทางนาม แล้วก็ย้อนกลับ
    มาเวทนาทางรูป อีกที ไม่มีอะไรมาก หรอกครับ
     
  11. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,135
    เห็นต้นกิเลสเหล่านั้นหรือไม่ ที่ขวางทางระหว่างท่าน กับจุดหมายปลายทาง?
    ตอนนี้ คนตัดต้นไม้ มีกำลังวังชาแข็งแรงมากแล้ว... แต่ยังไม่มีขวาน
    ท่านต้องหาขวานแล้วหละ...

    เมื่อใด ที่มีพร้อม ทั้งขวานที่คม และ คนตัดที่แข็งแรง
    เมื่อนั้น ท่านจะนั่งสมาธินานเท่าไหร่ก็ได้ ได้โดยไม่ปวดเมื่อย และ โดยยังได้ยินเสียง หรือคุยโต้ตอบกับคนอื่นได้อีกด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...