ถามเรื่องฝึกมโนยิทธิ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย nonwarit, 31 มีนาคม 2013.

  1. nonwarit

    nonwarit สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +6
    การนั่งสมาธิ เป็นพื้นฐาน
    การนั่งมโนยิทธิ. เป็นการประยุกต์

    คำถามคือ
    1.ผมเข้าใจประมาณนี้ถูกไหมครับ
    2.ผมอยากฝึกมโนยิทธิ แนะนำที่ไหนดีครับที่นอกเหนือบ้านสายลม(ที่นี้ผมจะไปอยู่แล้วครับ แต่อยากไปที่อื่นด้วย)ขอเป็นในกรุงเทพ หรือไม่ไกลมากนะครับ
    3.มโนยิทธิ กว่าจะฝึกได้นานไหมครับโดยเฉลี่ย

    ขอบคุณมากครับ
     
  2. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ๑ ประมาณนั้นครับ คือ ต้องใช้พื้นฐานสมาธิเพื่อปฏิบัติมโนมยิทธิ
    ๒ ฝึกที่เดียวก็พอ ฝึกได้แล้วก็ลงมาชั้นสอง มาฝึกญาณ ๘ ต่อ
    ฝึกหลายที่อาจจะเฝือ นอกจากนั้นผมก็แนะนำวัดท่าซุงครับ
    ๓ ผมขอยกคำแนะนำจากพระที่วัดท่าซุงมาแล้วกันนะครับ

    แนะแนวก่อนการฝึก "มโนมยิทธิ" (ทั้งสองแบบ)

    หลังจากเสร็จงานหลวงพ่อแล้ว ทางวัดเหน็ดเหนื่อยกันมาก แต่ก็ปลื้มใจคนมากันเยอะ วันนี้มีเวลาว่าง คิดว่าน่าจะเข้ามาเขียนเรื่องนี้สักหน่อย จึงต้องขอลัดคิวทีมงานเวปมาสเตอร์ด้วยนะ ด้วยว่าส่วนใหญ่ที่ฝีก "มโนมยิทธิ" ได้เพราะทำยังไง ส่วนคนที่ยังฝึกไม่ได้ต้องแก้ไขยังไง จึงขอตั้งหัวข้อให้เข้ากับกระทู้นี้ว่า

    1. แนะแนวก่อนการฝึก "มโนมยิทธิ" (ครึ่งกำลัง)

    คนที่ฝึกได้ สาเหตุเพราะ

    ก. ฟังครูฝึกแล้วทำตามทันที
    ข. ขณะฝึกไม่สงสัย วางใจเป็นกลาง
    ค. ก่อนฝึกได้พักผ่อนเพียงพอ
    ง. เข้าใจคำว่า "ทิพจักขุญาณ" * (คืออารมณ์รู้สึก ไม่ใช่เอาตาไปเห็น)
    ฆ. เวลาฝึกไม่ตั้งใจเห็นจนเกินไป ได้ก็ได้..ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

    * ก่อนมาฝึกที่วัด ควรซ้อมคำภาวนา "นะมะพะทะ" ไว้ให้คล่องเสียก่อน เมื่อเวลาครูฝึกเข้าไปสอน ไม่ต้องภาวนา ใช้สมาธิเล็กน้อยแค่ฟังคำพูดของครูฝึกก็พอ (ให้มีสติรู้ทุกถ้อยคำ ทำตามทุกอย่างแบบโง่ๆ) สำคัญที่สุด คือ "ศรัทธา" ต้องมาก่อน หากไม่เชื่อไม่ไว้วางใจ หวังแค่ทดลอง หรือยังลังเลสงสัย ฝึกไปก็ไร้ผล สรุปแล้วต้องตัดทุกสิ่ง...ทิ้งทุกอย่าง...!

    คนที่ฝึกแล้วแต่ไม่ได้ สาเหตุเพราะ

    ก. จิตไม่สงบเท่าที่ควร ฟังครูฝึกแล้วไม่ทำตามทันที
    ข. สงสัยอารมณ์ตนเองขณะฝึก จึงไม่ได้อะไรเลย
    ค. ก่อนฝึกพักผ่อนไม่เพียงพอ ยังเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง
    ง. ไม่เข้าใจคำว่า "ทิพจักขุญาณ" * (คิดว่าเอาตาไปเห็น หรือเข้าใจว่าเป็นภาพลอยมา)
    ฆ. เวลาฝึกอยากได้จนเกินไป จึงไปไม่ได้
    จ. หาที่นั่งยังไม่ถูกใจ หรือนั่งทนจนเมื่อย ความจริงขณะนั้นเปลี่ยนท่านั่งได้
    - บางคนเลือกครูฝึก อยากจะฝึกกับครูที่ตนเองต้องการ
    - บางคนไม่เข้าใจเวลานั่งล้อมวง จะรอครูถามตรงตัว ความจริงครูฝึกถามใคร หมายถึงถามทุกคน เราต้องทำตามทันทีจึงจะได้ผล
    - บางคนยังลังเลไม่กล้าตอบ เพราะสัมผัสไม่เหมือนเขา เราต้องตอบไปตามที่รู้สึก ไม่จำเป็นต้องตรงกัน เพราะแค่เป็นการฝึกฝนเท่านั้น ผิดถูกครูจะแก้ไขให้ต่อไป

    2. แนะแนวก่อนการฝึก "มโนมยิทธิ" (เต็มกำลัง)

    คนที่ฝึกได้ สาเหตุเพราะ

    ก. ในขณะฝึกไม่สนใจเสียงร้องของคนข้างๆ
    ข. ภาวนา "นะมะพะทะ" โดยไม่ต้องรู้ลมหายใจ ร่างกายสั่นก็ไม่สนใจ
    ค. ไม่กังวลพิธีกรรม เช่น รอน้ำมนต์มาพรม หรือรอคฑามาแตะ
    ง. ตัดความห่วงใยในร่างกาย เมื่อเห็นแสงจึงพุ่งตามไปทันที
    ฆ. ตั้งอารมณ์ไว้ก่อน ว่าจะไปที่พระจุฬามณี แต่เวลาทำไม่อยากเกินไป
    จ. บางคนเคยฝึกได้แบบ "ครึ่งกำลัง" มาก่อนแล้ว จึงเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

    คนที่ฝึกแล้ว แต่ไม่ได้ สาเหตุเพราะ

    ก. จิตไปจับอยู่กับเสียงร้องของคนข้างๆ แล้วลืมตาดู
    ข. ภาวนาสับสน บางทีก็ "นะมะพะทะ" บางทีก็ "พุทโธ"
    ค. บางคนกังวลพิธีกรรม จิตจะหลุดไปแล้ว แต่รอน้ำมนต์ยังไม่มา คฑายังไม่ได้แตะ จึงทำให้ไปไม่ได้
    ง. ขณะภาวนา "นะมะพะทะ" คำภาวนาจะเร่งเองโดยอัตโนมัติ เหมือนใจจะขาด เกิดความกลัวตาย จึงไม่เห็นแสงสว่าง
    ฆ. มีอาการสั่น ร่างกายโยกโครง จิตไปจับอยู่แค่นั้น จึงหลุดไปไม่ได้ (ถ้าจะไปได้ ร่างกายจะค่อยหยุดสั่นไปเอง)
    จ. บางคนเคยฝึกได้แบบ "ครึ่งกำลัง" มาก่อน แต่ยังไม่เข้าใจวิธีทำ (วิธีแก้ไข คือไปรออยู่ที่นิพพานเลย โดยไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนพิธีกรรมเบื้องต้น เช่นพรมน้ำมนต์ หรือคฑามาแตะที่ศีรษะ สังเกตถ้าภาพชัดเจนสว่างไสวกว่าเดิม แสดงว่า "มโนมยิทธิ" ได้ปรับเป็นเต็มกำลังที่ข้างบนแล้ว)

    ถ้าวางอารมณ์ถูกต้องตามที่หลวงพ่อสอน จะได้ทุกคน ไปวันแรกก็ได้แล้ว วันที่สอง ฝึกท่องเที่ยว วันที่สาม ฝึกญาณ ๘ วันต่อไปกลับไปทำที่บ้าน ตั้งอารมณ์ไว้แค่ "พระโสดาบัน" หมั่นขึ้นไปที่วิมานบ่อยๆ ทำเล็กๆ น้อยๆ ดังนี้

    1. นึกถึงความตายอยู่เสมอ
    2. รักษาศีล 5 เป็นอัตโนมัติ จนไม่ต้องระวัง
    3. จิตนึกถึงคุณพระรัตนตรัย และ "คุณพระนิพพาน" อยู่เสมอ

    * ท่านแนะนำว่า ถ้าได้แล้ว ควรหาเวลาทำสมาธิเพียงอย่างเดียว ภาวนาตั้งเวลาไว้ครั้งละสัก 10 นาที โดยไม่ต้องรู้ต้องเห็นอะไร หรือไม่ต้องขึ้นไปข้างบน ต่อไปผลจากการตั้งสมาธิไว้อย่างนี้ เวลาออกไปท่องเที่ยว จะสามารถไปได้นานๆ

    * แต่ถ้าไปแล้วบางครั้งเห็นภาพไม่ชัดเจน จะต้องพิจารณาร่างกายให้ดีก่อน จำอารมณ์เดิมที่เคยได้ให้ถูกต้อง อย่าด่วนรีบร้อนเกินไป แล้วให้พระนำไปทุกครั้ง อย่างนี้ท่านว่า "อุปาทาน" ไม่ค่อยเล่นงานเท่าไร แต่ก็อย่าไว้ใจตนเองจนเกินไป พยายามทดสอบอารมณ์ไว้เสมอ

    * สนใจแค่สังโยชน์ 10 และ บารมี 10 เท่านั้น อย่างอื่นอย่าสนใจ โดยเฉพาะได้แล้วที่พังเป็นส่วนใหญ่ เพราะไปรู้เรื่องอดีตชาติว่าเคยเป็นไรกัน แล้วพัวพันกันไปจน "พัง" ทั้งคู่ นี่บอกกันไว้ก่อนนะ หากใครหนีพ้นได้ จะไม่มีอดีตและอนาคตกันอีกต่อไป

    * (ท่านยังบอกอีกว่า "ทานบารมี" ยังต้องทำนะ ไม่ใช่ทำแค่จิตอย่างเดียว เพราะทำทานบารมีแล้ว บารมีตัวอื่นก็จะเต็มตามไปด้วย)

    ถ้าทำอย่างนี้ทุกวัน วิชามโนมยิทธิไม่เสื่อม ตายแล้วไม่ไปอบายภูมิแน่นอน ถ้าเห็นทุกข์แน่นอน ชาตินี้ก็ไม่มีทางได้ผุดได้เกิดอีกแน่นอน (แต่ถ้ายังเห็นโลกเป็นสุขอยู่ ยังต้องเกิดอีก แต่คิดว่าคงไม่พ้นสมัยพระศรีอาริย์)

    หากปรารถนาพุทธภูมิ ถ้าอยากลาก็ให้ตั้งจิตขอลาต่อหน้าพระพุทธรูป มีดอกไม้ธูปเทียนบูชาพร้อม หากยังไม่อยากลาก็ต้องทำบารมีให้เต็มทั้ง 30 ทัศ พร้อมกับคำอธิษฐานอย่างมั่นคง แต่ก็ต้องศึกษาเรื่องพระนิพพานเช่นกัน เผื่อจำเป็นจะต้องไปลาในชาติต่อๆ ไป

    ขอให้สมหวังและสมความปรารถนาทุกคนนะ (เอาชาตินี้เลยนะ ท่านว่าให้เกาะสูงไว้ก่อน)

    พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต

    29-09-53

    .....ปล. : "ถ้าอยากทำตัวให้หลุดพ้น จงอย่าสนใจจริยาผู้อื่น"
    - นี่คือคำสอนตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงวาระสุดท้ายในชีวิต จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา


    จาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1207
     

แชร์หน้านี้

Loading...