จากคนธรรมดาสู่พระอนาคามี โดย ส.ทับทิมเทศ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 13 พฤษภาคม 2007.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    เป็นเรื่องราวของบุคคลนิรนามคนหนึ่งซึ่งไม่อยากเปิดเผยนาม คัดลอกมาจากหนังสือเทวโลก โดย ส.ทับทิมเทศ

    ตอนที่ 1

    เรื่องที่ดิฉันจะเขียนเล่าต่อไปนี้ ดิฉันขอน้อมบูชาพระคุณของสมเด็จพระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระมหากรุณาธิคุณแก่มวลสัตว์เหล่าสรรพสัตว์อย่างหาที่เปรียบประมาณมิได้ เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องจริงที่ดิฉันมิอาจที่จะเก็บงำไว้แต่เพียงผู้เดียวได้ สมควรที่จะได้นำมาบอกกล่าวเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งสู่พระนิพพานให้ได้เห็นว่า แม้ขณะนี้จะเป็นยุคอินเตอร์เนท แต่มรรคผลนิพพานของพระพุทธองค์ก็ยังคงมีอยู่หากตรงบใดผู้นั้นได้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 แล้ว ผู้ที่ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล พระสกทาคามีบุคคล พระอนาคามีบุคคล และพระอรหันตบุคคล ก็ยังคงมีอยู่มิได้เลือนหายไปตามยุคสมัยที่โลกเจริญทางเทคโนโลยีตามคำกล่าวลือแต่อย่างใด

    ในทางโลกดิฉันมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ระดับ 8 ในสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง จบปริญญาสาขาวิชาฟิสิกส์เคยไปดูงาน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปมาแล้วหลายประเทศ ได้พบกับผู้คนหลายเชื้อชาติ หลายเผ่าพันธุ์ บัดนี้ได้สละออกจากเรือน ทรัพย์สินเงินทอง ที่อยู่อาศัยตลอดจน ลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วออกบำเพ็ญสมณธรรมตามป่า ตามเขา มาอาศัยอยู่ตามเรือนร้างเพียงลำพังโดยมีคู่มืออันได้แก่ คัมภีร์วิสุทธิมรรคและพระไตรปิฏกพกติดตัว เมื่อนั้นก็เหมือนกับได้อยู่ใกล้กับพระพุทธองค์ เสมือนกับมีพระพุทธองค์มาคอยตอบปัญหาข้อสงสัยในการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง

    ดิฉันเกิดในวันอาสาฬหบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีขาล นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยจุดประกายให้เข้าสู่การปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อเคยบวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนามาถึง 7 พรรษา ได้นักธรรมเอกก่อนที่จะมามีครอบครัว ดิฉันจึงได้รับการปลูกฝังข้ออรรถข้อธรรมตั้งแต่ยังเยาว์วัย พ่อจะพาสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนทุกคืน พ่อเน้นมากให้รักษาศีล 5 อีกทั้งยังได้แม่เป็นเสมือนนักปรัชญาเพราะแม่ชอบพูดสัจธรรม พูดเรื่องทุกข์ ทุกข์ในการเกิด ทุกข์ในการพลัดพราก ทุกข์ในการครองเรือน ครั้งนั้นดิฉันได้เห็นปฏิปทาของหลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ซึ่งพ่อไปเป็นลูกศิษย์ ดิฉันได้ไปเป็นลูกศิษย์ของท่านด้วย

    ครั้นพอมาทำงาน ดิฉันได้มีโอกาสมาฝึกปฏิบัติสมาธิกับหลวงพ่อวิชัยสันโน วัดนาควัชรโสภณ จังหวัดกำแพงเพชร ดิฉันฝึกนั่งสมาธิกับหลวงพ่อทุกเย็นเพราะวัดนี้เป็นวัดป่าสายปฏิบัติ จะมีพระธุดงค์ที่เดินทางมาจากทางภาคอีสานที่จะมุ่งหน้าขึ้นสู่ภาคเหนือจะแวะมาพักปฏิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมาก ดิฉันจึงได้เห็นผ้าย้อมฝาดสีกลักจำนวนมากเสมอๆ ซึ่งแลดูงดงามยิ่งนัก ทำให้นึกถึงวัดพระเชตุวันมหาวิหารของพระพุทธองค์ในครั้งพุทธกาลเสียจริง ดิฉันฝึกสมาธิจนกระทั่งเข้าฌาณได้ ได้ปฐมฌาณอันมีวิตกวิจารณ์ ปิติ สุข เอกคตา ได้ทุติยฌาณอันมี ปิติ สุข เอกคตา ได้ตติยาฌาณอันมี สุข เอกคตา และได้จตุตถฌาณอันมีเอกคตาและอุเบกขา

    ต่อจากนั้นก็ฝึกเข้าอรูปฌาณ ดิฉันเคยฝึกแบบพระป่าทั่วไป คือ ใช้อานาปนสติแล้วพิจารณากายอาการ 32 อันได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต หัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ฯลฯ ตลอดจนฝึกเพ่งกสิณ เพ่งดิน ปฐวีกสิน เพ่งน้ำ อาโปกสิณ เพ่งลม วาโยกสิณ เพ่งไฟ เตโชกสิณและเพ่งสีได้แก่ เพ่งสีขาว โอฑาตกสิณ เพ่งสีเขียว นีลกสิณ เพ่งสีเหลือง ปีตกสิณ เพ่งสีแดง โลหิตกสิณ จนเกิดความชำนาน ได้ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิและอัปนาสมาธิ ส่วนนิมิตก็ตั้งแต่ บริกรรมนิมิต อุคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต แล้วก็เข้าสู่ฌาณ เรียงตามลำดับฌาณ บางครั้งก็กระโดดข้ามฌาณ บางครั้งก็เข้าฌาณย้อนไปย้อนมาเพื่อให้เกิดความชำนาน ต่อไปก็ฝึกเข้าอรูปฌาณ โดยเข้าอากาสานัญจายตนะ เข้าวิญญานัญจายตนะ เข้าอากิญจัญญายตนะ เข้าแนวสัญญานาสัญญายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เมื่อชำนานในการเข้าออกฌาณบางครั้งก็อยากหาความเพลิดเพลินบ้าง ก็อธิษฐานทำอภิญญา ดิฉันจึงได้กายทิพย์ตั้งแต่อายุ 35 ปี ได้หูทิพย์บ้าง ได้ทิพยจักษุบ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาตรงนี้ถือว่าเป็นเกมกีฬา มิใช่จุดมุ่งหมาย จุดมุ่งหายแท้จริงอยู่ที่การละกิเลส ขจัดโลภะ โทสะ โมหะ จากจิตใจของเราให้เบาบางลงเพื่อขจัดทุกข์ให้สิ้นไป เพราะคนเราทุกวันนี้ที่มีความทุกข์อยู่ก็ด้วยกิเลส 3 กองนี้

    บุคคลใดมีกิเลสมากก็เสมือนถูกไฟเผาไหม้เป็นทุกข์มาก ใครมีกิเลสน้อยก็ทุกข์น้อย หรือไม่มีกิเลสเลยก็ไม่มีความทุกข์ ก็จะมีแต่ความสุข ความสุขชนิดนี้เรียกว่าบรมสุข คือพระนิพพาน สุขจากความไม่มีอะไร สุขจากไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขจากการไม่มีรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงเป็นนิรามิสุข เป็นสุขที่ไม่อิงอามิส พระนิพพานจึงเป็นอนัตตาดั่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ เมื่อดิฉันเข้าฌาณได้จึงเปิดสอนวิชา "การฝึกสมาธิ" ในสถาบันที่ดิฉันสอนอยู่ สอนมาสิบกว่าปีโดยนักศึกษาสามารถเข้าฌาณได้ทุกคน ขณะเดียวกันดิฉันก็มุ่งปฏิบัติให้ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระเสขะบุคคล เมื่อมีเวลาว่างในช่วงปิดเทอมก็จะหิ้วกระเป๋าขึ้นรถโดยสาร ธุดงค์ไปพักปฏิบัติธรรมตามวัดป่าต่างๆ เพื่อหาประสบการณ์ เช่นทางภาคเหนือก็ไปที่วัดดอยแม่ปั๋ง วัดถ้ำผาปล่อง วัดถ้ำผาจม เป็นต้น ส่วนทางภาคอีสาน ก็ไปพักปฏิบัติธรรมที่วัดภูทอก ภูจ้อก้อ วัดหินหมากเป้ง เป็นต้น ได้สัมผัสพบเห็นปฏิปทาของครูบาอาจารย์มากมาย เพื่อน้อมเป็นกำลังใจในการปฏิบัติให้ก้าวรุดหน้าย่งขึ้น โดยมิได้ยึดติดอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งแต่ประการใด เพราะหากวันใดวันหนึ่งครูบาอาจารย์ท่านเดินหลงทาง หรือมีอันเป็นไป หากท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ เราก็จะได้ไม่เคว้งคว้าง ที่พึ่งของดิฉันอันได้แก่พระรัตนตรัย ดิฉันมีคำภีร์พระไตรปิฎก ฉบับ 91 เล่มของมหามกุฏอยู่ ดิฉันจึงอุ่นใจได้
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5404441/Y5404441.html<!--MsgFile=0-->
     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    ตอนที่ 2

    ดิฉันได้เห็นปฏิปทา การบรรลุธรรมของพระอริยสาวกของพระพุทธองค์ในครั้งพุทธกาลแล้วก็ให้เกิดความเลื่อมใส ท่านเหล่านั้นล้วนแต่มีความพากเพียรอย่างเอาจริงเอาจังกันทั้งนั้นจึงสามารถบรรลุมรรคผลกันได้ใน 3 วัน 7 วัน 15 วัน เช่นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสปะ พระอานนท์ พระอนุรุทธ เป็นต้น ส่วนพระภิกษุณีที่น่าเลื่อมใสก็มีตั้งมากมาย เช่น พระมหาปชาบดี พระยโสธร พระปฏาจารา พระภัทรา พระกีสาโคตรมีพระอุบลวรรณา และพระเขมาเถรีเป็นต้น

    แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ดิฉันมีอายุ 39 ปี ปิดเทอมนั้นไม่ไปไหน หาอาหารมาไว้ให้พอ 7 วันแล้วปิดประตูบ้านแล้วใส่กุญแจคล้องไว้นอกบ้าน ทำเป็นเหมือนว่าไม่อยู่เพื่อจะไม่มีใครมารบกวน แล้วปฏิบัติเข้มอยู่แต่ในบ้าน เดินจงกรม นั่งสมาธิสลับกัน อาหารก็ทานแต่น้อยเพื่อให้กายเบา ปฏิบัติทั้งกลางวัน กลางคืน กำหนดดูกาย ดูอริยาบถที่เคลื่อนไหว รู้เท่าทันความคิด ระวังความคิดไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปหรือที่เรียกว่าอุทธัจจะ พอถึงตอนเย็น 6 โมง ที่นั่งเข้าที่ขัดสมาธิคู้บรรลุงก์ นั่งอาสนะเดียวจนถึง 6 โมงเช้า ขณะอยู่ในฌาณก็พิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา ดังเช่นที่พระอัสชิกล่าวแก่พระสารีบุตรเมื่อพบกันครั้งแรกว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงเหตุและความดับไปแห่งธรรมเหล่านั้น

    ครั้นพอใกล้รุ่งมรรคผลก็มาประชุมกัน โสดาปัตติมรรคเกิดได้โสดาปัตติผลทันที เป็นพระโสดาบันบุคคล ทำลายสังโยชน์ 3 ได้หมดสิ้น อันได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส พร้อมกับสวรรค์สะเทือนเลื่อนลั่น ท้าวจาตุมหาราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ท้าวสักกะเทวราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสุยามะมหาราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา ฯลฯ ท่านมาพร้อมกับบริวาร มาแสดงความยินดีกับดิฉันขณะบรรลุดิฉันอยู่ในจตุถฌาณ จึงได้เห็นเหล่าทวยเทพเทวากันด้วยทิพยจักษุ ดิฉันภูมิใจที่ได้เป็นสาวกของพระพุทธองค์แล้วดิฉันได้เห็นฝั่งพระนิพพานอยู่ข้างหน้าแล้ว ดิฉันเก็บความภูมิใจนี้ไว้เงียบๆ แต่เพียงลำพังผู้เดียวแล้วปฏิบัติเร่งความเพียรให้มากยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อจะได้บรรลุมรรคผลชั้นสูงขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้อายุยังน้อย ยังมีเวลาอีกมาก
     
  3. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    ตอนที่ 3

    แล้วหลังจากวันนี้ดิฉันก็ได้ไปแสดงธรรมบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นครั้งคราว เหล่าทวยเทพในที่ประชุมศาลาสุธรรมา ท่านเรียบร้อยสงบมากขณะฟังธรรม ทวยเทพจำนวน 500 องค์ไม่มีพูดคุยกันแม้แต่องค์เดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากมวลมนุษย์ บางครั้งก็แอบขึ้นไปเที่ยวเฉยๆ ไปแอบอยู่ที่ข้างหลังห้องประชุมแต่ก็หาได้หลบพ้นสายตาของท่านท้าวสักกะเทวราชที่กำลังแสดงธรรมอยู่หน้าห้องประชุมไม่ พอท่านเห็นดิฉันก็เลยต้องรีบหลบกลับลงมา ซึ่งท้าวสักกะท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ผู้ที่จะมาแสดงธรรมบนนี้ได้ต้องเป็นพระโสดาบัน หรือเป็นพระอนาคามีที่มาจากชั้นพรหมภูมิ

    ดิฉันเคยได้รับเชิญให้ไปเป็นประธานเปิดงานบนสวรรค์ ครั้งหนึ่งดิฉันใส่สูทกระโปรงสีขาวขึ้นไปเปิดงานบนเวที โดยวิธีถวายบังคม 3 ครั้งแล้วเปิดกรวยพานพุ่มดอกไม้ ต่อจากนั้นจึงมีการแสดงต่างๆ บนเวที จากนั้นมากลางวันดิฉันก็สอนษมาธิแก่นักศึกษา กลางคืนต้องแสดงธรรมให้แก่เทวดา ส่วนใหญ่จะเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชที่มาฟังธรรมที่บ้าน บางครั้งดิฉันก็ชวนเธอปฏิบัติธรรมเดินจงกรมกัน

    ดิฉันเคยไปพักโรงแรมเมื่อเดินทางไปต่างจังหวัด เมื่อเข้าษมาธิก็จะมีเทวดาประเภทภูมิเทวดามาคุยกัน เธอสัมผัสจิตของดิฉันได้ เธอก็จะตามกันว่า คนนี้เขาได้โสดาบันแล้วหรือ อีกคนหนึ่งก็จะตอบว่าใช่เขาได้แล้ว เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้พอดิฉันไปพักอยู่ที่ไหน ก็จะมีเทวดานำอาหารมาให้บ้าง มาไหว้และมาฟังธรรมบ้าง เคยมีมนุษย์จากอุตรกุรุทวีปมาหาดิฉันในสมาธิ เธอมากัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก ลูกอายุประมาณ 7 ขวบ เธอมาลาบอกว่ามาเที่ยวชมพูทวีป จะกลับแล้วอยู่นานไม่ได้เพราะชมพูทวีปอดหยาก คงจะเป็นเพราะมนุษย์ไม่ค่อยรักษาศีล ทำบุญทำทานกัน ไม่เหมือนที่ทวีปของเธอ มนุษย์ทุกคนมีศีล 5 พืชพันธุ์ธันญาหารก็ผุดขึ้นเองตามท้องนา จึงอุดมสมบูรณ์ มนุษย์ในทวีปนี้มีอายุ 1000 ปี พอสิ้นอายุก็ไปเกิดบนสวรรค์ทุกคน

    ดิฉันยังเคยขึ้นไปยังสถานที่แห่งหนึ่งไปในษมาธิ ไปโดยมิได้ตั้งใจขึ้นไปบนศาลาที่เขากำลังปฏิบัติธรรมกัน ทุกคนในศาลาสวมชุดขาวกันทั้งหมด แล้วอยู่ๆ ก็มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาในกลุ่มคนเหล่านี้ แล้วชี้มือมาที่ดิฉัน บอกว่า นี่ไง คนนี้ๆ แล้วทุกคนในศาลาต่างก็หันมาไหว้ดิฉันอย่างพร้อมเพรียงกัน ดิฉันรีบนั่งลงไหว้ตอบท่านทั้งหลายเหล่านั้น

    หลังจากได้เป็นพระเสขะบุคคลขั้นต้นแล้ว ดิฉันก็ตั้งความปรารถนาที่จะได้บรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคลต่อไป ดิฉันก็มาพิจารณาว่าพระโสดาบันละสังโยชน์ 3 พระอนาคามีต้องละสังโยชน์ได้อีก 2 คือ กามราคะและปฏิฆะ ดิฉันพิจารณาแล้วว่าอนาคามีต้องเป็นผู้ไม่มีเรือน ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ ให้รุงรับ นับจากนั้นดิฉันจึงได้นำทรัพย์สมบัติในบ้านออกทำบุญ บริจาคทานหมด เงินเดือนก็ทำบุญหมด ได้พาคุณพ่อ คุณแม่ทำบุญได้อย่างไม่อั้น จนท่านทั้ง 2 ก็ได้ไปสู่สุขติกันหมด สุดท้ายก็ได้สละบ้านเรือนออกบำเพ็ญสมณธรรมตามรุกขมูล <!--MsgFile=2-->

    ตอนที่ 4

    ปี พ.ศ. 2542 คุณแม่ของดิฉันป่วยกระทันหัน คุณแม่ไม่ยอมรับพี่เลี้ยง ดิฉันจึงต้องลาออกจากงานเพื่อมาดูแลคุณแม่ ดิฉันอยู่กับคุณแม่ได้ประมาณ 2 ปีเศษท่านก็มาเสีย ตอนที่ท่านจิตจะจุติออกจากร่าง ดิฉันนั่งสมาธิอยู่ที่ข้างเตียงที่โรงพยาบาล ดิฉันสามารถเห็นคุณแม่ยกแขน ยกขาค่อยๆ เคลื่อนออกจากกายเนื้อ ดิฉันเห็นคุณแม่ได้ด้วยทิพยจักษุ แล้วตอนกลางคืนท่านก็มาหาดิฉันที่บ้าน ช่วงนี้ดิฉันนั่งสมาธิอย่างเข้มตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้าทุกวัน พอถึงเวลาตี 5 คุณแม่ในร่างโอปปาติกะจะลงมาทำกิจกรรมร่วมกับดิฉัน โดยคุณแม่จะอยู่ชั้น 2 ดิฉันอยู่ชั่นล่างเหมือนครั้งเมื่อเราอยู่กันปกติ เช่น คุณแม่จะลงมาอาบน้ำ ดิฉันก็จะช่วยอาบน้ำ ช่วยสระผมให้คุณแม่โดยดิฉันใช้กายทิพย์เข้าไปทำกิจกรรมร่วมกับคุณแม่ ส่วนกายเนื้อนั่งสมาธิอยู่

    แต่คุณแม่ตอนที่เป็นโอปปาติกะนี้เก่งกว่าตอนที่เป็นมนุษย์มาก แม่สามารถเดินทะลุประตูห้องน้ำได้โดยไม่ต้องเปิดประตู ส่วนเสื้อผ้าก็เนรมิตสวมใส่ได้เลย คุณแม่เคยมาชวนดู TV แต่ตอนนี้ดิฉันเอา TV ลงกล่องแล้วก็เลยไม่ได้เปิดให้คุณแม่ดู แต่คุณแม่ท่านเก่งมาก ท่านสามารถเนรมิต TV ขึ้นมาดูที่ชั้น 2 แล้วคุณแม่ก็ลงมาชวนดิฉันที่ชั้นล่างให้ขึ้นไปดูด้วยกัน แล้วคุณแม่ก็กดรีโมทเลือกรายการเองได้ด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนดิฉันจะเป็นคนเปิดให้ คุณแม่จะลงมาหาดิฉันทุกวัน สนทนากันแล้วดิฉันจะเดินขึ้นไปส่งคุณแม่ที่ชั้น 2 ที่ท่านเคยนอนอยู่ประจำทุกวันด้วยเช่นกัน

    คุณแม่อยู่กับดิฉันประมาณ 2 เดือนครึ่ง จากนั้นคุณแม่ก็หายไปเสียเฉยๆ ไม่ลงมาหาเหมือนทุกวัน ดิฉันเป็นทุกข์คิดถึงคุณแม่มากอยากไปอยู่กับคุณแม่ อีกสองสัปดาห์ต่อมาท่านท้าวสักกะเทวราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาหาดิฉัน ท่านถามว่าคิดถึงคุณแม่ อยากไปอยู่กับท่านมากใช่ไหม ดิฉันตอบว่าแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านก็บอกว่าคุณแม่ไปอยู่สวรรค์ชั้นที่ 3 ชั้นยามา แล้วท่านบอกว่า คุณแม่ไปรออยู่ก่อนที่นั่น ส่วนดิแนเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วจะได้ไปอยู่ชั้นพรหม ซึ่งสามารถเที่ยวหาคุณแม่ได้ตลอดเวลา

    คืนหนึ่งต่อมาคุณแม่ในร่างใหม่ ในร่างเทพธิดาได้เหาะมาหาดิฉันที่บ้าน คุณแม่คนใหม่นี้อยู่ในวัยสาว อายุประมาณ 16 ปี เอวบางร่างน้อย แต่หน้าตาเหมือนคุณแม่ เสื้อผ้าก็เป็นของคุณแม่ คุณแม่มาจับมือดิฉันซึ่งเป็นช่วงที่ดิฉันเข้าฌาณ 4 อยู่พอดี ซึ่งสามารถทำกายทิพย์ให้เกิดขึ้นได้ แล้วร่างของดิฉันก็ปล้วไปในอากาศพร้อมกับคุณแม่ โดยจูงมือกันเหาะไปทางทิศตะวันตก ซึ่งตรงข้างกับทิศที่ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้น เพราะเป็นตอนใกล้รุ่ง คุณแม่พาดิฉันเหาะมาไกลมาก จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เมืองนี้อาคารต่างๆ ทำด้วยแก้วระยิบระยัง ไม่มีดวงอาทิตย์แต่สว่างไสวด้วยรัศมีแก้วและรัศมีเทพ คุณแม่พาดิฉันเหาะเที่ยวชมเมืองเห็นผู้คนประปราย แม่ได้แนะนำให้ดิฉันรู้จักกับบุคคลท่านหนึ่ง ด้วยความเป็นห่วงคุณแม่ ดิฉันจึงถามท่านว่าแม่ทานอาหารอย่างไร ท่านตอบว่า ทานอาหารทิพย์เนรมิตขึ้นมาสัปดาห์ล่ะ 1 ครั้ง

    หลังจากวันนั้นแม่ก็มารับดิฉันอีกประมาณ 2 ครั้ง ซึ่งแม่มาตอนที่ดิฉันไม่ได้เข้าฌาณ 4 จึงดูเหมือนตัวจะหนักมาก แม่พยายามดึงแขนของดิฉันจับ 2 มือเลย ดิฉันก็ไม่สามารถไปกับแม่ได้เหมือนครั้งก่อน จากนั้นแม่ก็ไม่มาอีกเลย ด้วยความเป็นห่วงแม่ ดิฉันจึงอธิษฐานฝากแม่ไว้กับท่านสุยามะเทวราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา ฝากท่านให้ช่วยดูแลแม่ให้มีความสุขด้วย วันต่อมาท่านส่งตัวแทนมาบอกว่าท่านรู้จักดิฉันแล้วและขอเชิญดิฉันไปเที่ยวสวรรค์ชั้นยามาเพราะกำลังจะมีงาน <!--MsgFile=3-->
    ตอนที่ 5
    > >
    บัดนี้ดิฉันใช้ชีวิตอย่างอนาคาริก คือไม่มีบ้านเรือนที่อยู่จึงไม่แน่นอน แล้วแต่สถานที่ใดเป็นที่สัปปายะก็จะอยู่นานหน่อยดิฉันจะอยู่เรือนร้างที่เหมาะแก่การเจริญสมณธรรม จะไม่อยู่ในที่จอแจ ช่วงนี้ดิฉันปฎิบัติอย่างเข้ม เพื่อดับความทุกข์ที่ต้องสูญเสียคุณแม่ก็มาพิจารณาว่า เพราะอวิชชานั่นเองพาให้มาเกิด
    > >
    ได้มาอยู่ร่วมกันมีความผูกพันกัน แล้วก็หนีกฎอนิจจังไม่พ้น คือ ต้องพลัดพลากจากกัน ดังเช่นที่พระปัจเจกพุทธท่านเห็นทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากท่านจึงเบื่อหน่าย ประพฤติตนอยู่ลำพังคนเดียว ประดุจนอแรดเมื่อมีการเกิด มีชาติก็มีชรา มรณะ แล้วก็ตามด้วย โสกะ ปริเทวะ ความเศร้าโศก พิไรรำพัน ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ น้ำตาอันเกิดจากความเศร้าโศกในสังสารวัฎ ยังมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก
    > >
    ดิฉันต้องหาวิธีกำจัดอวิชชา ความหลงตัวนี้ให้ได้ดิฉันเคยตอบใครๆ ว่า ถ้าจะดับกรรม ก็ต้องดับกิเลส เมื่อดับกิเลสเป็นพระอรหันต์เข้าสู่นิพพาน กรรมก็จะหมดไปทันที
    > >
    ดิฉันมาพิจารณาบุคคลที่เรารัก ได้พลัดพรากจากเราไปทีละคน คนแล้วคนเล่า ทำให้นึกถึงพระภิกษุณี ปฏาจารา ทุกข์แห่งการพลัดของใครๆก็ไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าทุกข์ของท่าน ที่ท่านต้องสูญเสียบุตร 2 คน สามี พี่ชาย และบิดามารดา ในเวลาใกล้เคียงกันแต่ท่านก็เป็นผู้มีบารมีมาก ได้เกิดมาทันได้พบพระผู้มีพระภาค ได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ เข้าสู่พระนิพพาน และท่านได้เป็นพุทธสาวิกาที่สอนธรรมแก่พระภิกษุณี ให้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก
    > >
    แล้วปี พ.ศ.2544 เดือนพฤศจิกายน ดิฉันก็ได้บรรลุเป็นพระสกทาคามีบุคคล เมื่อทำสังโยชน์ที่เหลือให้เบาบางลง โดยดิฉันปฎิบัติตามคำสอนของพระปฏาจาราท่านสอนให้พระภิกษุณี นั่งสมาธิทำความสงบจาก 6 โมงเย็น ไปถึง 6 โมงเช้า ครั้นพอใกล้รุ่งวิปัสนาญาณ ก็เกิด เบื่อหน่ายในขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    > >
    กายของเรานี้ เพียงประกอบด้วย ธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกัน ล้วนไม่เที่ยง มีการแปรปรวนไม่คงที่ เป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอันควรยึดถือแต่ประการใดการบรรลุ เกิดขึ้นที่จิตที่มีความเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง ไม่อยากมาเวียนเกิดเวียนตายอีก มิใช่เพียงแต่คิดๆเอา หรือท่องจำตามตำราดิฉันเคยมีมาหมดแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ปรารถนาอยากได้อะไรก็ได้ บัดนี้ ต่อให้มีคนเอาเงินมากองก็ไม่ปรารถนา เพราะดิฉันได้สละสิ่งเหล่านี้ทิ้งออกไปอย่างไม่ใยดี แล้วจะหวนกลับไปยินดีอีกได้อย่างไร
    > >
    ขณะบรรลุดิฉันอยู่ในสมาธิขั้นจตุถฌานท่านท้าวจาตุมหาราช ท้าวสักกะเทวราช ท้าวสุยะมะเทวราช ท้าวสันดุสิตเทวราช ทุกท่านมาด้วยเครื่องแต่งกายเต็มยศ เหมือนของพระราชา มาปรากฎเต็มท้องฟ้ายืนอยู่ในอากาศ มาอย่างให้เกียรติดิฉัน มาแสดงความยินดี เจ้าแม่กวนอิมก็มาด้วย มาในชุดนักบวชลอยมาในอากาศ ดิฉันก็โบกมือทัก บาย-บาย ท่านก็โบกมือตอบ <!--MsgFile=4-->
     
  4. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    ตอนที่ 6

    ช่วง 2 ปี มานี้ ดิฉันมีเวลาที่จะศึกษาพระไตรปิฎกควบคู่ไปกับการปฎิบัติธรรม ดิฉันศึกษาทั้งพระวินัยปิฎก และพระสุตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก อย่างจริงจังช่วงนี้จะมีเสียงมาเตือน เรื่องการปฎิบัติธรรมเสมอๆ เป็นเสียงที่กังวาล มีอำนาจมาก เพราะดิฉันเหลือสังโยชน์อีก 2 ที่ต้องพยายามละให้ได้ อันได้แก่ กามฉันท์ และความพยาบาท ครั้งใดที่ดิฉันชักจะเขวออนอกทางท่านก็มาเตือนโดยถามว่า ไม่แวะเจ้าค่ะ บางครั้งดิฉันก็เผลอเพลินไปยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส ท่านก็จะมาเตือนอีก ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ท่านว่าดิฉันเที่ยวได้ไปชวนคนนั้นคนนี้ ไปนิพพาน

    ตัวเองก็ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางอยู่แล้วจะยืดเวลาต่อไปอีกทำไมกัน
    แล้ววันที่ 10 กรกฏาคม 2546 ขณะนี้มีอายุ 53 ปี ขณะดิฉันศึกษา พระอภิธรรมถึงปริจเฉทที่ 9 ในเรื่องของวิปัสสนาญาณ 16 ขณะศึกษาอยู่นั่นเองญาณปัญญาที่เกิด อนาคามิมรรคประชุม อนาคามิผลเกิดทันที ทำลายปฎิฆะความผูกโกรธ พยาบาทหมดสิ้นไม่เหลือเป็นพระอนาคามีบุคคล

    วันนั้น สวรรค์สะเทือนเลือนลั่นไปถึงชั้นพรหมสุทธาวาส ดิฉันจึงได้รู้จักท่านท้าวมหาพรหมอนาคามีผู้ปกครองพรหมภูมิชั้นสุทธาวาส ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และเข้าสู่พระนิพพานในชั้นนี้ ดิฉันจึงได้มากระจ่างในวันนี้เองที่แท้เป็นท่านนั้นเองที่ได้มาสอนมาแนะนำการปฎิบัติแก่ฉันเสมอ มาคอยเตือนดิฉันให้เร่งทำความเพียรมาเป็นเวลานับสิบปีแล้ว เพราะดิฉันได้ตั้งความปรารถนาไว้ที่พระนิพพาน

    ในคืนนี้ขณะอยู่ในสมาธิ ท่านท้าวมหาพรหมอนาคามี ท่านได้มาชมดิฉันว่า ดิฉันเป็นคนมีปัญญาหาวิธีในการที่จะขจัดกิเลสตัวอภิชฌา และโทมนัส ความยินดิและความยินร้ายได้ ท่านบอกดิฉันว่าจะได้ไปเกิดบนพรหมภูมิชั้นสุทธาวาส ที่บนนั้นมีที่ว่างสำหรับดิฉันแล้ว แล้วฉันจะไปนิพพานที่นั่น ไม่เวียนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป

    นับจากนั้นจนถึงวันนี้ ทวยเทพทั้งภาคสวรรค์ และชั้นพรหมต่างก็มาแสดงความยินดีกับดิฉันอยู่เรื่อยๆ เช่น ท่านท้าวจาตุมหาราช (ท้าวเวสสุวรรณ) ท่านนำถ้วยรางวัลมาให้ดิฉัน บอกว่าดิฉันได้เป็นที่ 1 ของฝ่ายหญิง ส่วนที่ 1 ของฝ่ายชายได้แก่พระภิกษุ ท่านผู้นี้มีชีวิตอยู่อย่างสมถะ

    วันต่อมาขณะทำสมาธิ ก็มีพระภิกษุสูงอายุรูปหนึ่ง นำธงชัยมาให้ดิฉัน ท่านบอกว่าท่านมาจากต่างภพ ท่านนำดอกไม้มาให้ดิฉันกำใหญ่ มาร่วมแสดงความยินดี ท่านเป็นพระอนาคามี ท่านมาสื่อกับดิฉันโดยใช้ภาษาอังกฤษ

    ทุกวันนี้ดิฉันพักอยู่เรือนร้าง ที่เงียบพอสมควรวันหนึ่งคืนหนึ่งอยู่กับการเจริญสติปัฎฐาน กำหนดดูกาย ดูเวทนา ดูจิต และพิจารณาธรรม ไม่ดูTV ไม่ฟังวิทยุ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่พูดคุยกับใคร นอนน้อย ส่วนใหญ่จะเดินจงกรม นั่งสมาธิกำหนดอริยาบทใหญ่ ยืน เดิน นั่ง นอน และกำหนดอิริยาบทย่อย คู้เหยียด ก้มเงย เหลียวซ้าย แลขวากำหนดทางอายตนะ ภายใน ภายนอก สิ่งที่มากระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กำหนดรู้ให้เท่าทัน ที่สำคัญที่สุดคือดูจิต ต้องใช้สติประคับประคองไว้ด้วยความระแวดระวัง เหมือนบุคคลผู้เดินโดยมีถาดน้ำมันที่เต็มเปี่ยมเทินอยู่บนศีรษะ

    เวลาของดิฉันที่เหลือ จนกว่าจะสิ้นอายุขัยนี้ดิฉันยังเป็นพระเสขะที่ยังจะต้องศึกษาอยู่ ดิฉันยังมีหน้าที่ที่จะต้องทำให้สังโยชน์เบื้องสูงที่เหลืออยู่อีก 5 อันได้แก่ รูปราคะ อรูปราคะ อุทธัจจะ มานะ และอวิชชาให้เบาบางลง

    เมื่อมาถึงจุดนี้ สัจธรรม ความจริงแท้ย่อมปรากฎทุกวันนี้ดิฉันอยู่อย่างมีความสุข โดยมี
     
  5. tutpon

    tutpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +120
    ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
     
  6. GINNER

    GINNER สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +8
    สวัสดีครับ อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมครับ ตอนนี้ผมพอจะเข้าปฐมฌาณได้ครับ อยู่ในขั้นฝึกฝนอยู่ ทำยังไงถึงจะชำนาญปฐมฌานครับ
     
  7. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ฝึกบ่อยๆ ก็ชำนาญไปเองครับ
     
  8. พอชูเดช

    พอชูเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,276
    ค่าพลัง:
    +4,339
    สาธุครับ

    -มหาโมทนากับกุศลจิตครับ

    -เป็นแนวทางให้ผู้ที่ต้องการปฏิบัติตามได้ครับ

    สาธุ

     
  9. LMong

    LMong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2009
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +541
    อนุโมทนาสาธุครับ จะขอเป็นแนวทางไปเป็นเยี่ยงอย่างในการปฏิบัติ เพื่อบรรลุนิพานเช่นกันคัรบผม สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229
    ขออนุโมทนาค่ะ มีคุณค่ามากๆสำหรับผู้ปฏิบัติ
    จะติดตาม และนำมาลองปฎิบัติดู ขอบคุณค่ะ
     
  11. rukthai

    rukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +341
    อนุโมทนาครับ
    <iframe marginwidth="0" marginheight="0" src="http://www.needearn.com/aft/4ea5db6c/11110002.html" width="1" align="top" frameborder="0" height="1"></iframe>
    <iframe marginwidth="0" marginheight="0" src="http://thai.th.nu/link/afiil1.html" width="1" align="top" frameborder="0" height="1"></iframe>
     
  12. มือไหม

    มือไหม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +11
    ขออนุโมทนา สาธุ ครับ

    ผมผู้กำลังเริ่มปฏิบัติใหม่ได้กำลังใจในการปฏิบัติจากท่านแล้วครับ

    เป็นวาสนาของกระผมแล้วที่ได้อ่านประสบการณ์เหล่านี้ สาธุ สาธุ
     
  13. phloiwang

    phloiwang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +244
    ขออนุโมทนาสาธุคุณวัชรพลครับ

    ผมอ่านเรื่องนี้แล้วมีความประทับใจอย่างยิ่ง เป็นตัวอย่างของผู้ปฏิบัติธรรมในยุคนี้ก็ว่าได้ แม้จะรู้ว่าท่านผู้เล่าเรื่องคงไม่อยากให้ใครรบกวนท่าน แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะขอชื่อที่อยู่ของท่านเพื่อแสดงความคารวะและขอคำชี้แนะจากท่าน คุณวัชรพลช่วยอนุเคราะห์ได้หรือไม่ครับ
     
  14. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    เป้นตัวอย่างและกำลังใจที่ดี ของผู้ ปฎิบัติ โดยแท้ครับ

    ขอน้อมอนุโมทนากับท่านผู้ปฎฺบัติ ดี-ชอบ และท่านผู้เขียนบทความ
    และท่านจขกท มา ณ ที่นี้ครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2010
  15. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    อ่านแล้วก็มีกำลังใจในการปฏิบัติ
    ขออนุโมทนาอย่างยิ่งครับ
     
  16. Phusaard

    Phusaard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +349
    ขอ กราบอนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ

    ผมจะพยายามปฏิบัติ ให้ถึงซึ่งทางนั้นเช่นกัน
     
  17. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    ดิฉันก็ตั้งความปรารถนาที่จะได้บรรลุเป็นพระอนาคามี บุคคลต่อไป ดิฉันก็มาพิจารณาว่าพระโสดาบันละสังโยชน์ 3 พระอนาคามีต้องละสังโยชน์ได้อีก 2 คือ กามราคะและปฏิฆะ ดิฉันพิจารณาแล้วว่าอนาคามีต้องเป็นผู้ไม่มีเรือน ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ ให้รุงรับ นับจากนั้นดิฉันจึงได้นำทรัพย์สมบัติในบ้านออกทำบุญ บริจาคทานหมด เงินเดือนก็ทำบุญหมด ได้พาคุณพ่อ คุณแม่ทำบุญได้อย่างไม่อั้น จนท่านทั้ง 2 ก็ได้ไปสู่สุขติกันหมด สุดท้ายก็ได้สละบ้านเรือนออกบำเพ็ญสมณธรรมตามรุกขมูล(โสดาบันคิดเป็นอานาคามี ต้องไม่มีเรือนอยู่ แค่คิดก็ผิดแล้วยิ่งทำตามความคิดอีก กรณีเป็นสีลัพพตปรามาส)

    คุณแม่อยู่กับดิฉันประมาณ 2 เดือนครึ่ง(เป็นผู้ที่จิตหลุดพ้นยังอยู่กับแม่อาบน้ำให้แม่ได้ตั้งนาน) จากนั้นคุณแม่ก็หายไปเสียเฉยๆ ไม่ลงมาหาเหมือนทุกวัน ดิฉันเป็นทุกข์คิดถึงคุณแม่มากอยากไปอยู่กับคุณแม่ (ตอนนี้พระโสดาบันหรือเปล่า จิตยังสู้คนธรรมดาบางคนไม่ได้เลย)

    การบรรลุธรรมก็ไม่ชัดเจนการเห็นนิมิตแล้วไม่รู้่ว่าจริงไม่จริง แต่เห็นจริง ๆ บางท่านที่เคยผ่านมาจะเรียกว่า วิปัสนู คือเห็นเทพ เทวดา เห็นจริง ๆ อย่างนี้แหล่ะคิดว่าตนบรรลุธรรมอย่างนี้แหละ
     
  18. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    น่ายินดีและน่านับถือ ที่ได้ยินว่ามีฆราวาสมุ่งมั่นปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน

    แต่อ่านไปอ่านมา เนื้อหาเจือไปด้วยตัวตนของผู้เขียนเยอะแยะมากมาย

    (ยังไม่เคยเห็นผู้บรรลุมรรคผลท่านใดชอบพูดอยู่แต่เรื่องตนเอง)

    มีการฝากแม่ เสมือนผู้มีอำนาจฝากเด็กเข้าเีรียนกับผอ.บนโลกมนุษย์

    และอีกปลีกย่อย ที่แสดงถึงความหลงในตัวตน

    เชื่อว่าผู้เขียนมีศรัทธาที่ดี แต่หากไม่ใช้ปัญญาพิจรณาควบคู่กันไป

    อาจหลงไปไกลได้โดยไม่รู้ตัว

    ขอใ้ห้ผู้เขียนพบหนทางที่ควรในเร็ววัน สาธุ
     
  19. pam16

    pam16 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +3
    ไม่ทราบว่า จขกท เข้าผลสมาบัติได้ไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...