คนว่างงาน

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย santosos, 21 มกราคม 2013.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    พระเราถ้าองค์ไหนขี้เกียจขี้คร้านภาวนาให้หนีจากวัดป่าบ้านตาด อย่าอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดให้หนักวัด หนักหัวอกผู้เป็นหัวหน้านะ ถามภาวนาไม่ค่อยได้เรื่อง ใจเราหด เข้าไปย่อเข้าไป มีแต่ทางจะหนีจากหมู่เพื่อน ทั้งๆ จะเป็นจะตายอยู่นี้มันไม่ได้สนใจร่างกาย ใจมันดีดออกจากหมู่จากเพื่อน คือทำอะไรไม่เป็นท่านี่น่ะ ถามภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราวแล้วจิตมันท้อเรานะ ผู้เป็นอาจารย์แนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน

    การทำมานี้เรื่องเหยาะๆ แหยะๆ จะได้แต่สิ่งไม่เป็นท่า พวกส้วมพวกถานมา ไม่จริงจัง นี้ทำอะไรเป็นอย่างที่ว่า ท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ดูกิริยาก็รู้การทำของเราแบบเดียวกันนี่ เอาเป็นเอาตายเข้าว่าทุกอย่างเลยเชียว เพราะทำเหลาะๆ แหละๆ ไม่เข้ากับนิสัย ลงฟังอะไรถึงใจแล้วบอกว่าเอาตายสู้แล้วก็เอาจริงๆ ด้วย แล้วเต็มกำมือมาด้วยได้นะ ก็ของมีอยู่ เราขี้เกียจมันก็หาไม่ได้ มันไปหาพอสักแต่ว่าหา ไม่หาจริงหาจัง อ่อนแอ

    นี่ยิ่งแก่จิตใจยิ่งหดหู่เข้ามา อ่อนเข้ามา เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนที่จะภาวนา มาวัดป่าบ้านตาดนี้ไม่ให้ทำงานอะไรเลย นั่นเห็นไหมล่ะ เราเคยอ่อนแอที่ไหน พาหมู่เพื่อนอ่อนแอในการภาวนา แต่หมู่เพื่อนมันก็อ่อนแอเหยียบหัวไป จะให้ว่าอย่างไร มันถึงท้อใจนะ การภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราว คือไม่จริงไม่จังมันไม่ได้ละอะไรก็ตามเถอะ แบบเหลาะๆ แหละๆ จะไม่ได้เรื่อง การงานทางโลกก็ไม่ได้เรื่อง การงานทางธรรมยิ่งแล้วนะ เอาจริงเอาจังทุกอย่าง

    ฝึกหัดภาวนาจิตของเราเสื่อมปีกับ ๕ เดือนเราลืมเมื่อไร ขึ้นมาจากโคราช จิตเหนียวแน่นมั่นคงขึ้นมา มาทำกลดหลังเดียวเท่านั้นแหละ ยังไม่เสร็จเลยจิตรู้สึกว่าเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง รีบทำกลดแล้วก็ออกเลย ถึงขนาดนั้นมันยังเสื่อมอยู่ถึงปีกับ ๕ เดือน จนจะตายนะ อกจะแตกจริงๆ จิตเสื่อมนี้ แหม ทุกข์มาก เข็ดหลาบที่สุดเรื่องจิตเสื่อม ใครอย่าให้เสื่อม ได้มาแล้วได้ห้าได้สิบอย่าให้มันจมน้ำไปเปล่าๆ โดยไม่มีสิ่งตอบแทนเลยไม่ดี

    นี่เป็นถึงปีกับ ๕ เดือนจิตเจริญแล้วเสื่อมๆ มันเป็นอย่างไรจิตนี้น่ะ บางคืนไม่นอนเลยภาวนา มันก็ยังเสื่อมต่อหน้าต่อตามันเป็นเพราะเหตุใด คือใช้ปัญญาด้วยนะ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ทำไปพินิจพิจารณาดูผลของมันมากน้อยแล้วทวนไปหาเหตุหาผลประสานกันแล้วแยกแยะ บทเวลาจะได้ก็ได้จากสติ แน่ะเป็นอย่างนั้นนะ ตั้งใจภาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแต่มันเจริญแล้วมันก็เสื่อมต่อหน้าต่อตาให้เห็น มันจะเป็นเพราะเหตุไรน้า ทบทวนไปมา

    มันอาจจะขาดคำบริกรรม เช่นพุทโธเป็นต้น เราจะให้คำบริกรรมติดอยู่กับหัวใจ สติจับติดอยู่กับหัวใจ เอา มันจะเสื่อมไปไหนเจริญไปไหนจะดูกันคราวนี้ เจริญแล้วเสื่อมๆ ถึงปีกับ ๕ เดือน ทุกข์มากที่สุดจิตเจริญแล้วเสื่อมต่อหน้าต่อตา ทีนี้เอาแบบที่ว่าเอาสติ เอาคำบริกรรม มันอาจจะเพราะขาดคำบริกรรม สติอาจเผลอตอนนั้นก็ได้ ทีนี้เอาพุทโธเข้ามา สติกับพุทโธจับกันติดตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับๆ เพราะไม่มีงานอะไร มีแต่ภาวนา

    เอาๆ เสื่อมบอกเลยที่นี่ ทอดอาลัยตายอยาก มันเสื่อมนี้เสียดาย เสียดายเป็นทุกข์มาก คราวนี้ไม่เสียดาย เอา จะเสื่อมไปไหนเสื่อม แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่แยกจากกันได้เลย จะดูมันเสื่อมให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอา.. พอว่าตัดสินใจลงปั๊บคำบริกรรมกับสติจับติดเลยเชียว เอาเป็น มันจะเสื่อมไปไหนวะ มันก็ค่อยเจริญๆ ไปถึงตอนที่ว่าจะเสื่อม เอาๆ เสื่อม พุทโธกับสตินี้ไม่ปล่อย เอาปล่อยเลยให้เสื่อมไปเลย ซัดตั้งแต่พุทโธกับสติติดกันตลอดๆ ไม่สนใจเลย แล้วขึ้นไม่ลงนะ แน่ แล้วขึ้นมาเรื่อยตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

    อย่างนี้ละทำอะไรต้องจริงซิ พินิจพิจารณาพร้อมไปด้วย จับติดด้วย ไม่ใช่ทำเหลาะๆ แหละๆ อย่างเห็นพระอยู่ในวัดภาวนานี้ก็เหมือนกัน พอถามถึงเรื่องจิตใจเป็นอย่างไรแล้วอ่อนทันทีเรา คือมันไม่มีใครจริงจัง มีแต่แบบเหลาะๆ แหละๆ โห นี่เอาจริงเอาจังมาก ฟาดเสียจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจ หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ไม่ลืม นั่นละฟ้าดินถล่ม จากนั้นมาเงียบเลย กิเลสไม่มีตัวใดมายิบๆ แย็บๆ ให้เห็นเลย นั่นจึงเรียกว่ามันสิ้น เอาขนาดนั้นละจนฟ้าดินถล่มคืนวันนั้น ๕ ทุ่มพอดี

    คือเอากันอย่างหนักทีเดียวนะภาวนา อยู่กับเพื่อนกับฝูงไม่ได้ อยู่กับใครไม่ได้มันจะเผลอ ไปภาวนาไปธุดงค์ไปองค์เดียว เดินจากนี้ไปบ้านนั้นก็เท่ากับเดินจงกรมไปบ้านนั้น จากนี้ไปภูเขาลูกนั้นเท่ากับเดินจงกรมไปภูเขาลูกนั้น จะไม่ยอมให้เผลอ เอาขนาดนั้นนะเอาตัวเอง เอาอย่างหนักการภาวนาก็ดี แต่มันไม่มีใครจริงใครจังนี่น้าเดี๋ยวนี้นะ ถ้ามีจริงจังจับติดปั๊บแล้วคนนี้จะได้ไม่สงสัย

    การภาวนาสติเป็นสำคัญ สติเผลอแพล็บกิเลสออกแล้วเข้าแล้ว ออกไปเอาไฟมาเผาแล้ว เป็นอย่างนั้นละ นี่ก็ได้ด้วยวิธีการพิจารณาทดสอบเจ้าของ ครูบาอาจารย์ก็สอนแล้วแต่ไปทำมันเป็นอย่างไร มันไม่รอบคอบเพราะเจ้าของเอง เอากันตรงนั้น ได้ เจริญเรื่อยๆ ไม่เสื่อม ฟาดจนกิเลสขาดสะบั้นจากหัวใจ ไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นเอามันปานนั้นซิ เอาได้จริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา กิเลสขาดสะบั้นจากหัวใจจริงๆ ไม่มีอะไรเหลือเลย

    พูดให้ท่านทั้งหลายฟังเวลานี้เป็นคนว่างงาน ว่าให้มันชัดเสีย เดินด้อมๆ แด้มๆ ไปนั้นมันว่างงาน อยู่ไหนไปไหน แต่ไม่ว่างสติปัญญาพิจารณา ทุกสิ่งทุกอย่างไปเห็นอะไรนี้สติปัญญามันจะออกรับๆๆ ปุ๊บๆๆ ปล่อยปุ๊บๆ ไปเรื่อย ปล่อยเรื่อย อยู่ภายใน มันเป็นของมันเอง เป็นอย่างนั้น ให้มันจริงอย่างนั้นซิทำอะไร อย่ามาเหลาะๆ แหละๆ โอ๊ย เรานี้อ่อนใจนะ หนักมากนะฆ่ากิเลส หนักจริงๆ ไม่มีอะไรเกินฆ่ากิเลส เอาขนาดนั้นละ

    คือให้มันจริงเถอะน่ะคนเรา อย่าเหลาะแหละ วันนี้มีรสมีชาติวันหลังต่อไปจืดชืดๆ จนจะตายแล้วมาได้สติตั้งใหม่อีก ได้สองสามชั่วโมงหรือสองสามวันหายเงียบไปอีก ตั้งจนกระทั่งวันตายก็ไม่เกิดประโยชน์ ฟาดให้มันติดมือเลยซิ มันจะเป็นอย่างไรเอากันให้มันติดมือ ได้เต็มกำมือมาเลย นั่นเห็นไหมล่ะ พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้ เดี๋ยวนี้เป็นคนว่างงานแล้ว ว่างหมด เพราะอันนี้ละ เพราะธรรมจักรมันหมุนของมันตลอดเวลาความเพียร

    นี่ละทำให้เป็นคนว่างงาน ว่างกิเลสแล้วว่างงาน หมดกิเลสเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรมาแหย่ มีกิเลสเท่านั้นตัวสำคัญมาก เพราะฉะนั้นจึงว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานที่ควรทำก็คืองานฆ่ากิเลส พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้วคือกิเลสม้วนเสื่อไปแล้ว งานที่ควรทำก็ได้ทำเสร็จแล้ว คืองานฆ่ากิเลสได้ฆ่าเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี ตั้งแต่วันกิเลสม้วนเสื่อลงไปไม่มีกิเลสตัวใดมาผ่านเลย

    เรียกว่าอยู่ด้วยความว่างงาน ไปด้วยความว่างงาน อิริยาบถทั้งสี่หลับตื่นลืมตาเป็นคนว่างงานตลอด พูดให้มันชัดเสีย แทบตายนะกว่าจะได้มาเป็นคนว่างงาน เอาจนจะเป็นจะตายจริงๆ ว่าอะไรว่าเอาจริงทุกอย่าง เอาให้มันเห็นอยู่กับหน้ากับตาของเราอยู่อย่างนั้นละ แล้วว่างงานทีนี้ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วว่างหมดครอบโลกธาตุ ให้มันอย่างนั้นซิ นี่พูดจริงๆ หมด ในชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ที่จะมาเกิดมาตายอีกไม่มี หมด ไม่มีที่ก้าวต่อไป ก้าวถอยหลังไม่มีก้าวไหนไม่มี มีแต่ก้าวอัศจรรย์จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมธาตุล้วนๆ เต็มอยู่ในหัวใจ อย่างอื่นไม่มี มีแต่ธรรมธาตุ ตายลงไปแล้วก็เป็นธรรมธาตุล้วนๆ เลย ยังมีชีวิตอยู่ก็ว่าใจบริสุทธิ์ พอหมดนี้แล้วสภาพร่างกายพังลงไปแล้วนั้นก็เป็นธรรมธาตุลงไป เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ หมดทุกอย่าง หายสงสัย

    ขอให้ทำจริงทำอะไร อย่าเหลาะๆ แหละๆ เถอะ ภาวนามาสักกี่วันกี่ปีกี่เดือน พระไม่มีงานอะไร มีแต่งานภาวนาอย่างเดียว จิตหาความสงบไม่ได้ไม่มีหลัก.รวนเร อย่างน้อยจิตมีความสงบเป็นสมถธรรมก็ยังดี จากนั้นก็เป็นสมาธิธรรม แล้วก้าวเข้าสู่ปัญญาธรรมฟาดถึงวิมุตติหลุดพ้นเลย ขอให้เดินตามทางพระพุทธเจ้าที่ว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วๆ พวกเรานี่มันพวกขัดกับธรรมที่ตรัสชอบแล้ว การทำมันไม่ชอบซิพวกเรา ไม่ได้เป็นไปตามท่านมันก็เลยไม่ได้เรื่องได้ราว ลงทำตามพระพุทธเจ้าแล้วเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ให้ทำตามนี้จะผิดไปไหน ลงตรงนั้นละ ทีนี้ให้พร

    (โยม ถวายทองคำ ๑ บาท ผ้าขาว ๑ ม้วน เขาถวายแล้วแต่พี่สาวเขาคอยฟังวิทยุอยู่ค่ะ) ฟังไม่ฟังก็ช่างเถอะ ไม่บอก ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว คอยแต่จะมาทวงเอาหนี้เอาสินกับผู้รับทานไม่เอา ใครไม่อยากทานอย่ามานะ มาทำอย่างนี้ มันลืมตัวแล้วนี่ ใครให้ทานทีไรคอยฟังวิทยุๆ แต่นี้ต่อไปจะไม่พูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ในป่าใครเอาวิทยุไปตั้งให้พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลาย สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ใครเอาไปวิทยุไปตามตั้งให้ท่าน พวกนี้มันเก่งกว่าครูมาจากไหน ไม่เล่นด้วย เราเอา พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ มาใส่หัวใจแล้วพอเข้าใจไหมล่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...