เรื่องเด่น คนจริงเค้าทำตัวธรรมดา เฉยๆ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 1 ธันวาคม 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    26-01-06-1-1.jpg

    เรื่อง คนจริงเค้าทำตัวธรรมดา เฉยๆ


    “การเจริญพระกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราไปกล่าววาจา โอ้อวด พระพุทธเจ้าถือว่า เป็น อุปกิเลส เพราะว่า การแสดงตัวว่าเราเองเป็นผู้เจริญกรรมฐาน ห่มผ้าสีกรัก ทำท่าหลับตา ทำท่าสงบเสงี่ยมเกินไปอย่างนี้เป็นการโอ้อวด แสดงออกว่าฉันเจริญกรรมฐาน พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า เป็นอุปกิเลส ทำไม่ได้ ต้องทำตัวให้เหมือนเขา

    ฉะนั้น ยามปกติทั้งหมด จะทำตัวเหมือนกับชาวบ้านเหมือนกับพร…ะธรรมดา ๆ ทั้งหมด จะคุยสนุกสนานเฮฮาตามเรื่องตามราวไป ไม่ขัดจังหวะกัน แต่ว่าถึงเวลาของเรา เราก็ทำของเรา

    การเจริญกรรมฐานเป็นหน้าที่ของพระ พระจริง ๆ ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องมีคุณสมบัติ ๓ อย่างครบถ้วน
    ๑. อธิศีลสิกขา รักษาสิกขาบท คือ ศีล มากกว่า ฆราวาส และก็รักษา ให้ครบถ้วน
    ๒. อธิจิตสิกขา รักษาสมาธิให้มีการทรงตัวเป็นฌานอยู่เสมอ เป็นการป้องกันนิวรณ์เข้ามารบกวน
    ๓. อธิปัญญาสิกขา นั่นหมายถึงว่า ใช้ปัญญาตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน

    แต่ว่าจะตัดได้หมดหรือไม่หมด ก็เป็นเรื่องของจิตใจในเวลานั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะบังคับกันว่า ต้องตัดหมด ถ้าตัดหมดได้ก็ดี เพราะการบวชเวลานั้นถือภาษิต อยู่บทหนึ่งว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน”

    คำสอน.. หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุงดูเพิ่มเติม



    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ธันวาคม 2017
  2. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634
    สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
     
  3. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634
    ส่วนคนที่ยังสงสัยว่า เหตุที่ท่านไม่ให้อวดนั้นเพราะอะไร

    - เพราะคนที่ยังทำไม่ได้แล้วไปโอ้อวด เพื่อหวังให้คนอื่นมานับถือตน มันเป็นกิเลส ไม่ควรทำ
    - ส่วนคนที่ทำได้ แล้วประกาศตนว่าทำได้ เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ อันนี้ท่านก็ประกาศเหมือนกัน

    เช่น พระโมคคัลลานะ ท่านก็แสดงฤทธิ์เป็นปกติ แล้วใช้ฤทธิ์เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่มากมาย แบบนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้าม แม้พระพุทธเจ้าเอง ถึงเวลาที่จำเป็นต้องใช้ฤทธิ์ ท่านก็ใช้เช่นกัน เหมือนดังตอนที่ท่านทรงใช้ฤทธิ์เปิดโลก เพื่อให้ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา พรหม เห็นถึงกันหมด เพื่อให้สัตว์ทั้งหมดปราถนาพุทธภูมิ ถ้าผู้ที่ปราถนาพุทธภูมิในตอนนั้น คือ คิดอยากจะเก่งเหมือนกับพระองค์ท่านบ้าง ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ปราถนาพุทธภูมิแล้ว และถ้าผู้นั้นสามารถไปถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็จะสร้างประโยชน์สุขให้แก่โลกได้มากมายมหาศาล ท่านจึงทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2017
  4. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634
    ตามที่หลวงพ่อท่านสอนนั้น ถูกต้องทุกอย่างครับ
    ส่วนคนที่อาจจะยังกังวลว่า ตนเองนั้นทำดีแล้วหรือเปล่า
    สิ่งที่เราทำอยู่นั้นเป็นการโอ้อวดหรือเปล่า ให้ดูตามนี้ครับ

    1. เวลาที่เราทำสมาธิเราก็อย่าไปบอกคนอื่นให้มาดู และสถานที่ไหนที่ไม่ควรนั่งสมาธิก็ไม่ต้องนั่งสมาธิ แค่นั่งเฉย ๆ ก็พอ เช่น เก้าอี้ โต๊ะ ที่เราสามารถนั่งได้ คงไม่มีใครเป็นบ้ามานั่งจับผิดเราหรอกว่าเราทำอะไร เพราะการที่เรานั่งเฉย ๆ มันก็ไม่ได้ไปทำอะไรใคร ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับใครเลย แค่นั่งเฉย ๆ เท่านั้น เช่น นั่งบนเก้าอี้ เราก็นั่งเหมือนกับเราพักผ่อน พักสายตา ไม่ใช่ไปนั่งขัดสมาธิให้เขาเห็น

    2. ส่วนถ้าเป็นวัด ในศาลา ในโบสถ์ ทางจงกรม ก็นั่งสมาธิ เดินจงกรมไปเถอะ ไม่มีใครว่าหรอก เพราะเป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว คนที่หาเรื่องนินทาว่าร้ายนั่นแหละที่ผิดปกติ

    3. ส่วนถ้าเราอยู่ในบ้าน เราจะนั่งสมาธิ จะเดินจงกรมก็ทำไปเถอะ มันในบ้านเรา จะเคร่งขรึมขนาดไหนก็ทำไปเลย เราไม่ได้ไปทำอวดใคร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2017
  5. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    อนุโมทนาสาธุในความรู้ค่ะ
     
  6. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634
    สาธุครับ

    ขอเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ
    สำหรับใครที่อาจจะยังไม่เข้าใจนัก

    คำว่า "คนจริงเขาทำตัวธรรมดา" นั้น ใช่ครับไม่ผิด
    แต่ก่อนที่จะเป็นคนจริงได้นั้น
    ก็ต้องผ่านการฝึกฝนชนิดรู้แจ้งแทงตลอดในสิ่งนั้น ๆ
    ในที่นี้ก็หมายถึงการปฏิบัติธรรม
    เริ่มจาก ศรัทธา
    เมื่อศรัทธาแล้วก็อยากศึกษาปฏิบัติ
    ในระหว่างปฏิบัติ ก็จะมีตั้งแต่ขั้นพื้นฐานก็คือ ทาน
    ต่อมาศีล
    ต่อมาก็ภาวนา
    ในระหว่างนี้แหละที่ผู้ปฏิบัติทุกคนจะต้องผ่านคือ
    จะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
    จะเริ่มเข้าหาความดีไปทีละนิด
    จิตมุ่งที่จะทำเพื่อความดีมากขึ้น
    พฤติกรรมก็ต้องไม่เหมือนชาวบ้านอยู่แล้ว (เริ่มไม่เหมือนชาวบ้าน)

    เหมือนกับคนที่กำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบเอ็นทรานซ์นั้นแหละ
    พฤติกรรมของคนเตรียมเอ็นมันเหมือนคนอื่นที่ไหนละ
    ทั้งใจก็คิดว่ายังไงเราก็ต้องสอบได้
    ทั้งปากก็บอกว่ายังไงก็ต้องสอบได้
    ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังไม่ใช่นักศึกษา (ยังไม่ใช่คนจริง)
    มือก็ถือหนังสือ คุยกับคนอื่นก็น้อยมาก เพราะมัวแต่อ่านหนังสือ
    บางที่ก็ยังนอนละเมอเป็นข้อสอบ
    นี้มันพฤติกรรมแปลกแยกจากสังคมชัด ๆ
    แต่ถามว่ามันดีไหม ก็ต้องบอกว่าดีครับ ดีสำหรับการเตรียมสอบ
    เรียกได้ว่าถ้าใครที่กำลังมุ่งมั่นกับการสอบ ก็คนบ้าดี ๆ นี้เอง
    แต่บ้าในทางที่ดี บ้าเพราะอยากได้ดี ความอยากได้ดีไม่ผิดครับ
    (แต่ถ้าเห็นคนทำดีแล้วไปหาเรื่องตำหนิน่ะผิดแน่)

    ต่อมาเมื่อสอบได้แล้ว เป็นนักเรียน นักศึกษาได้จริงแล้ว (เป็นคนจริงแล้ว)
    ก็จะกลับมาเป็นคนธรรมดาอีกที จนกว่าจะเข้าสู่ช่วงการสอบอีกครั้ง

    การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกันครับ
    ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของพระพุทธเจ้าสมัยที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ก็คือ
    คิดอยู่ในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า 9 อสงไขย (ยังไม่ใช่ขอองจริง แค่คิดอยากจะเป็นเท่านั้น)
    ต่อมาเมื่อบารมีมากขึ้น ก็ลั่นวาจาออกมาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก 7 อสงไขย (ลั่นวาจาว่าจะเป็น)
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ก็ต้องสร้างบารมีอีก 4 อสงไขย
    รวมเวลาสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขย กับ เศษอีกแสนมหากัป
    จึงได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาจริง ๆ 1 องค์ (เป็นของจริงแแล้ว)
    นี้สำหรับพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนะครับ

    ถ้าเป็นศรัทธาธิกะก็ 40 อสงไขย
    ถ้าเป็นวิริยาธิกะก็ 80 อสงไขย

    ***ต้องเป็นของจริงให้ได้จริง ๆ ก่อน ถึงจะสามารถกลับมาตัวธรรมดาได้อย่างแท้จริง"

    วิธีเป็นของจริง ก็ตามที่หลวงพ่อท่านบอกนั่นแหละครับ

    1. รักษาศีล
    2. ทรงฌานให้ได้
    3. เจริญปัญญา

    ทำได้จนถึงที่สุดก็จะเป็นของจริงขึ้นมาได้


    สรุปคือ
    การพูดความจริง กับ การพูดโอ้อวด ต่างกันครับ

    การพูดโอ้อวด คือ การพูดในสิ่งที่ตนไม่มี
    พูดเพื่อให้คนอื่นมาศรัทธา
    พูดยกตนข่มคนอื่น มุ่งหมายเพื่อให้ตัวเองดูเหนือคนอื่น
    อวดว่าตัวเองดีเลิศ ดีอย่างนั้น อย่างนี้
    ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ดีจริงตามที่พูด อันนี้โอ้อวด

    การพูดความจริง คือ พูดในสิ่งที่เป็นจริง
    แม้ว่าจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อแค่ไหน
    บอกว่าตัวเองทำดี ก็ทำดีจริง ๆ
    ถ้ามีคนมาถามว่าตัวเองมีดีอะไร ถ้ามีก็บอกว่ามี ไม่มีก็บอกไม่มี

    การพูดความจริง จะพูดในสิ่งที่ตั้งใจทำจริง ๆ
    ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อให้ใครมาศรัทธา
    ไม่ได้ต้องการยกตนข่มใคร
    ส่วนใครจะหูหาเรื่องดันทะลึ่งมาได้ยินเองก็เรื่องของคนอื่น

    ง่าย ๆ คือไม่ได้มีเจตนาโอ้อวด แต่เป็นการพูดความจริงออกมา
    พูดเพื่อสร้างความเชื่อมั่น สร้างความมั่นใจ
    พูดเพื่อสร้างเป้าหมายที่ชัดเจน
    พูดเพื่อให้ความสำเร็จนั้นใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
    เป็นการเน้นย้ำความสำเร็จ
    อันนี้เป็นการพูดความจริง ไม่ใช่การโอ้อวด

    ทั่ว ๆ ไปก็ตามนี้แหละครับ
    แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และตัวบุคคลด้วยครับ


    ทีนี้ ลองดูคำนี้ครับ

    (ตัวอย่าง) นายบีหนุ่มนักศึกษามหาลัย
    วันหนึ่งเขาเกิดนึกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้
    อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาบอกกับเพื่อน ๆ ทุกคนว่า

    "ผมสอบได้เกรด A ทุกวิชานะ..."

    เพื่อน ๆ คิดว่า นายบี เป็นคนโอ้อวด หรือ เขาแค่กำลังพูดความจริง ครับ

    สุดท้าย
    ผมไม่ได้มีเจตนาค้านกับคำสอนของหลวงพ่อนะครับ
    เพราะท่านสอนได้ถูกแล้ว
    เพียงแต่อยากจะอธิบายเพิ่มเติมให้เพื่อน ๆ หลายคนเข้าใจก็เท่านั้น
    เพราะอาจจะมีหลายคนที่เข้าใจคำว่า
    การโอ้อวด กับ การพูดความจริง สับสนกัน
    เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น
    แล้วบังเอิญไปเจอพระที่ท่านทรงอิทธิฤทธิ์ ทรงคุณวิเศษจริง
    แล้วท่านก็พูดไปตามจริง ว่าท่านสามารถทำแบบนั้นแบบนี้ได้
    คือ ท่านก็พูดไปตามที่ท่านเห็นสมควรนั่นแหละ
    แต่เราอาจจะไปหาว่าท่านโอ้อวด อย่างนี้ คนซวยคือเราครับ
    โทษของการปรามาทผู้ทรงคุณจริง ๆ นั้นหนักมาก

    ถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ ก็ลองทำคุณความดีอะไรสักอย่าง
    ที่คนอื่นเขาไม่ค่อยอยากจะทำ หรือทำได้ยาก
    ลองทำสักอย่างสองอย่างดูก็ได้
    เมื่อเราทำได้แล้ว ก็ลองไปบอกคนอื่นดู ดูว่าเขาจะเชื่อที่เราพูดไหม
    ทีนี้เราก็จะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้นแล้วละครับ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2019

แชร์หน้านี้

Loading...