ขอคำแนะนำเรื่อง ฌานจักขุ ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย remixsong, 16 เมษายน 2009.

  1. remixsong

    remixsong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +177
    ผมปฏิบัติสมาธิ สายหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ มาประมาณปีหนึ่ง กำลังทำความเข้าใจในเรื่องของฌาน 4 อยู่อะครับ พอดีได้มาอ่านหนังสือเรื่อง ทิพยอำนาจ ท่านได้เขียนเรื่องของ ฌานจักขุ ตาฌาน หรือ ตาใน บังเอิญผมรู้สึกว่าอาการนี้จะเกิดขึ้นกับตัวผมเอง เวลาที่อยู่ในสมาธิระดับลึก พอจิตรวมเป็นหนึ่ง ก็จะมองเห็นคล้ายเห็นด้วยตาธรรมดา เหมือนที่หนังสือได้บอกไว้เลย บางที่ก็เห็นท้องฟ้า บางทีก็เหมือนเห็นนรก คือ เห็นคนจำนวนมาก หัวกลมๆ ตัวดำๆ ชูมือ2ข้าง ร้องขอความช่วยเหลือ อยู่ในบึงไฟที่มีแต่ลาวาไหลอยู่จำนวนมาก หรือบางครั้งก็เห็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ไม่เคยเห็นในโลกนี้ ทุกภาพที่เห็นจะคล้ายๆกับ ดูภาพ X-ray แต่เป็นภาพเคลื่อนไหว แต่ก็ได้แค่เห็นได้ไม่นาน ประมาณ 1นาที ก็หายไป คุยกันไม่ได้ และเห็นอะไรอีกหลายๆอย่าง ทุกวันนี้ จะมีดวงกลมๆ สีขาวๆ นวลๆ ใสๆ คล้ายกับเป็นก้อนพลังงาน อยู่ตรงกลางดวงตาตลอดเวลา ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา พอเวลาทำสมาธิ จะมีพลังงาบางอย่างอยู่ที่กลางหว่างคิ้ว เลยขึ้นไปข้างบนนิดหนึ่ง ยิ่งจิตเป็นสมาธิมาก ดวงกลมๆ ก็ชัดเจนแจ่มใสมากยิ่งขึ้น รู้สึกว่า ดวงกลมๆ นี่แหละจะกลายเป็นภาพให้เราเห็น พอดีในหนังสือไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับ ตาใน มากนัก จึงขอเรียนถามผู้รู้ในที่นี้ ขอความกรุณาด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2009
  2. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175
    เห็น เหมือน ภาพในทีวี.......มีความรู้สึกทางใจ ปรากฏ.......จิตรู้เห็นเอง โดยไม่ได้ไปนึกเห็น.....แต่ภาพนั้น ปรากฏขึ้นเอง......แล้วก็หายไป.......หากเป็น จิตโลกุตระ จะเห็นได้ชัดเจนมากกว่า จิตของปุถุชน.......นิมิต ที่เกิดจากสมาธิ นั้น.....มีหลากหลายรูปแบบ......ค่อยๆ เรียนรู้ไป.....ก็จะเข้าใจได้เอง.....รู้แล้ว ก็วาง.....ข้อสำคัญ คือ.....สติ ตั้งอยู่ใน ปัจจุบันขณะ.....จิตปราศจากการปรุงแต่งใดๆ.....จึงจะไร้ซึ่ง อุปาทานทั้งปวง......


    โมทนา......สาธุการ....
     
  3. pocca

    pocca สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +7
    ถามหน่อยนะครับ ตอนที่เห็นภาพเคยลองลืมตาขณะที่เห็นภาพหรือยังครับ จะได้รู้ว่าเห็นที่ดวงตาหรือที่ใจครับ
     
  4. remixsong

    remixsong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +177
    เคยลองลืมตาขณะเห็นภาพแล้วครับ

    เคยลองลืมตาขณะเห็นภาพแล้วครับ พอลืมตาขึ้นมา ภาพสภาพแวดล้อมภายนอกมันเข้าตา ภาพที่เห็นในสมาธิก็หายไป คิดว่าน่าจะเป็นการเห็นที่จิตหรือที่ใจมากกว่าครับ เพราะว่าตอนเห็นภาพนั้น จิตมารวมตัวกันที่กลางหน้าผากเป็นก้อนๆ
     
  5. dokai

    dokai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +71
    หากมีสิ่งนี้ปรากฏต่อตน ก็ให้ทำความสงบ นิ่ง จับความรู้สึกไว้ที่ ดวงกลม ๆ นั้นแหละ อย่าไปพยายามบังคับ ใช้คำว่าประคอง ไปเลื่อย ๆ จน ความรุ้สึกแห่งการประคอง ไม่มีเหลืออยุ่ในสำนึก แต่ สภาพดวง ณานนั้น ก็เป็นเองโดยธรรมชาติ ค่อย ๆ ทำความเข้าใจสภาพดวงนั้น ว่าสัมพันธ์ กับอารมณ์ หรือจิตใจ ณ ขณะต่าง ๆ อย่างไร มันกระทบเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร รูปแบบใด ศึกษาลักษณะอาการแห่ง จิตโดยผ่าน เจ้าดวงนี้แหละครับ นับว่าเป็นผู้มีวาสนา ถ้าทำถูกทาง วิชาดูจิต (ของแท้ )ไม่ใช้ของเรียนแบบที่ฮิตกันนะครับ จะสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก

    ส่วนไอ้ที่ไปเห็นโน้นเห็นภาพนี้ ทิ้งไปก่อน มันยังไม่ใช่แก่น เป็นของเอาไว้เล่นเพลิน หรือแต่สำหรับบางคนอาจจะต้องใช้วิธีอ้อมนั้นเดินเอาเพื่อจะวกกลับเข้าทางตรง แต่สำหรับคุณนั้น ไม่ต้องไปเดิมอ้อมขนาดนั้นหรอกครับ แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดคุณวิเศษอะไร ถ้ามันมีอยู่มันก็มี ไม่ไปไหน แต่ถ้าแก่นไม่แน่น อีกหน่อย หลงไปยุ่ง แก้ยากเข้าไปอีก

    ศึกษาณาน สี่ สาม สอง หนึ่ง ให้แม่นและเข้าใจเห็นร่องรอยต่อได้แม่นย่ำ ในพระไตรปิฏกมีกล่าวเรื่อง รูปณานไว้หลายที่ หาอ่านจากหลายที่ แล้ว ค่อย พิจารณาประกอบให้ความเข้าใจ หรือความเข้าจำ ได้แม่น แล้ว ก็ ฝึกให้เข้าใจจากภายในให้ปรากฏแก่จิตภายใน นั้นแหละครับคือความแทงตลอดในสิ่งนั้น

    คนมีณานถ้าเกิดมีได้ ก็ดี ก็ค่อยๆพัฒนาให้เป็น ญาณ/ปัญญา แต่ ใครที่ไม่มีก็ไม่ต้องกังวล แต่ที่ไม่มีสมาธิ ไม่เอาสมาธิ นี่สิ เป็นปัญหา จะภวานากันไปยังไง งง



    ขอให้เจริญก้าวหน้า ตรงทาง ตรงธรรม นะครับ
     
  6. remixsong

    remixsong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +177
    ขอบคุณท่าน Dokai ที่ให้คำแนะนำ

    ขอบคุณท่าน Dokai ที่ให้คำแนะนำ
    ตอนนี้ฌานที่ผมฝึกอยู่คล่องพอใช้ได้แล้ว ก็น่าจะเป็น อานาปานสติกรรมฐาน ส่วนดวงแก้วที่เกิดขึ้นในจิตของผมนั้น เวลามองแสงสว่าง ดวงไฟ หรือแสงไฟ ดวงแก้วจะมีความสว่างใสมากๆ ในช่วงเวลา1 วัน จะเกิดภาพดวงแก้วขึ้นบ่อยๆ เวลาอยู่ในฌานจะเห็นได้ทั้งลืมตาและหลับตา แต่ว่าทรงอยู่ได้ไม่นาน แป๊บเดียว ภาพดวงใสๆก็หายไปแล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ ก็เลยคิดว่า น่าจะเป็นอาโลกสิณด้วย ตอนนี้เลยฝึกอานาปานสติกรรมฐานควบกับอาโลกสิณไปด้วย แต่ว่ายังไม่ไปถึงใหนเลยครับ ส่วนภาพต่างๆที่เห็นตอนนี้ผมไม่สนใจแล้ว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ยืดเอากำลังสมาธิไว้เป็นสำคัญ
    ขอบคุณที่ให้คำแนะนำนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2010
  7. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,917
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,021
    คําตอบอยู่ในนี้เเล้วครับ จขกท มาอ่านตาม link นี้เเล้วกันครับ เจริญในธรรมครับ

    ญาณ ๘
    www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=425

    ๑๗. ญาณ ๘

    ๑๘๑) การที่จะได้ทิพจักขุญาณจะต้องถึงฌาน ๔ คือความจริง ทิพจักขุญาณ
    เขาอาจจะเริ่มได้ตั้งแต่ อุปจารสมาธิ แต่ว่าต้องฝึกตนเฉพาะที่เรา เจริญ-
    กรรมฐาน กองใดกองหนึ่งก็ดี และเห็น นิมิต ได้ นั่นเขาไม่ได้เรียกว่า
    ทิพจักขุญาณ เขาเรียกว่า อุปจารสมาธิ หรือ อุปจารฌาน เมื่อจิตเข้าถึง
    อุปจารสมาธิ หรือ อุปจารฌาน ก็สามารถจะได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้
    สามารถจะเห็นภาพที่เป็นทิพย์ได้ แต่ว่ามันแว้บเดียว คำสองคำก็หายไป
    และเราเองก็ไม่สามารถจะบังคับให้เจ้าของเสียงพูดต่อไปได้ เราจะ
    ไม่สามารถบังคับให้เจ้าของภาพทรงต่อไปได้ การเห็นใหม่ มันก็ไม่ซ้ำกัน
    คุยกันก็ไม่ได้ เห็นกันนานก็ไม่ได้ อาการอย่างนี้เป็นอาการหลงผิด
    ๑๘๒) ถ้าได้ ทิพจักขุญาณ แล้ว ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป เขาก็ใช้กำลังใจ
    ติดต่อเฉพาะ คำว่า เฉพาะในที่นี้ เฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-
    พุทธเจ้า
    หากว่าท่านจะถามว่า เราจะติดต่อพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ตอนนี้
    ผมก็ขอตอบว่า ให้ท่าน ฝึกทิพจักขุญาณ ให้คล่องเสียก่อน แล้วก็ทำให้
    ใจของท่านให้เข้าถึงพระโสดาบันเสีย และเวลาที่เราต้องการที่เราจะพบ
    จะเห็นอะไร เขาใช้อารมณ์แบบนี้ คือ ต้องสร้างนิมิต คือทิพจักขุญาณ
    ให้แจ่มใส คือดูใจของเราเองให้มันแจ่มใส ให้เห็นกระแสจิตของตนเอง
    เห็นกระแสจิตของตนเองแจ่มใสจนกระทั่งไม่มีสีอื่นเจือปน มีสีแก้วใสเป็น
    ประกายสวยสดงดงาม นี่แสดงว่าจิตว่างจากกิเลสแล้ว จิตตอนนี้ว่างจากกิเลส
    กิเลสไม่ยุ่ง ถ้าจิตกิเลสมันยุ่งนิดเดียวมันก็ถูกหลอก เมื่อจิตว่างจากกิเลส
    มีกระแสผ่องใสเต็มที่ ตอนนี้เราจะพบสมเด็จพระมหามุนีได้อย่างไม่ยาก
    และเราเห็นท่านก็แจ่มใส เห็นท่านได้แจ่มใส เวลาจะพูด จะคุย จะทูลถาม
    อะไร พระองค์จะตรัสอะไรก็ชัดเจนจะนั่งอยู่นานแสนนานก็ได้ จะพูดกันมาก
    เท่าไรก็ได้ นั่งอยู่ตรงนี้จะคุยกับสัตว์นรก คุยกับเปรต คุยกับอสุรกาย คุยกับ
    พระยายม คุยกับเทวดา คุยกับพรหม คุยกับพระอริยเจ้าก็ได้ เหมือนว่านั่ง
    ใกล้ ๆ กัน แต่อารมณ์ ทิพจักขุญาณนี่เขาใช้ได้ทุกขณะ ไม่ใช่ไปนั่งทำจิต
    ให้เป็นสมาธิ ให้อารมณ์สบายและเห็นภาพว้อบ ๆ แว้บ ๆ ได้ยินเสียงบ้าง
    อะไรบ้าง นี่เป็นอารมณ์เฝือ
    ๑๘๓) ทิพจักขุญาณ มีวิธีฝึกได้หลายแบบตามนัย วิสุทธิมรรค ท่านแนะไว้
    ๓ แบบ แต่ก็ทำอย่างเดียวกัน คือ เพ่งไฟ เพ่งสีขาว เพ่งแสงสว่าง
    ที่เรียกว่า เตโชกสิณ คือ เพ่งไฟ โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว และเพ่ง
    แสงสว่าง
    ที่เรียกว่า อาโลกกสิณ เมื่อ เพ่งกสิณ ๓ อย่าง นี้ แม้เพียง
    อย่างใดอย่างหนึ่งจนปรากฏรูปกสิณนั้น ๆ ติดใจ คือนึกเมื่อไรเห็นภาพ
    คือจำภาพไม่ใช่เห็นทางตา เป็นความรู้สึกทางใจ ต่อไปภาพที่ปรากฏทางใจ
    นั้นเปลี่ยนจากสีเดิม สวยสดงดงามกว่าเก่า แพรวพราวคล้ายเพชรที่วางไว้
    กลางแสงแดดท่านให้ฝึกความรู้ คืออธิษฐาน ขอให้ภาพที่เห็นหายไป ขอให้
    ภาพที่ต้องการเห็นปรากฏแทน
    เช่น พระพุทธเจ้าท่านอยากทราบว่า เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ แสดง
    ปาฏิหาริย์พิเศษแล้วท่านทำอะไรต่อไป ภาพนั้นก็ปรากฏเห็นพระพุทธเจ้า
    ทุกพระองค์ เมื่อแสดงปาฏิหาริย์พิเศษแล้วต่างก็เสด็จไปเทศน์โปรดพระมารดา
    บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไม่ไปถึงชั้นดุสิต เพราะดาวดึงส์เป็นที่ประชุมของ
    เทวดา
    ทุกชั้น เป็นเมืองหลวงของเทวดาทุกชั้น ท่านจึงเลือกเอา
    ดาวดึงส์เป็นที่เทศน์ เพราะนอกจากพระมารดาจะได้ฟังเทศน์แล้ว เทวดา
    องค์อื่น ๆ จะได้พลอยได้ฟังไปด้วย
    นี่เป็นความประสงค์ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เรื่อง ญาณ นี้มีความ
    สำคัญอย่างนี้ ควรที่ท่านผู้สนใจทุกท่านจะลองฝึกดูบ้างเผื่อว่าเป็นบุญบังเอิญ
    ไปได้ญาณนี้เข้าก็จะมีอารมณ์ผ่องใส หายข้องใจใน กฏของกรรม และ
    สามารถจะทราบว่า คนตายแล้วไปเกิดที่ไหน เพราะกรรมอะไรเป็นเหตุนำไป
    เขามีความสุข ความทุกข์ เพราะมีอะไรเป็นเหตุ คนที่จนหรือรวยเพราะอะไร
    ให้ผลถ้าฝึกได้ และรู้แล้วจะได้เลือกทำแต่กรรมที่ให้ผลเป็นสุขและร่ำรวย
    ไม่มีทุกข์ และไม่ยากจนขัดสนทั้งเป็นการเข้าถึงพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
    ๑๘๔) เมื่อรู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออกแล้ว หลังจากนั้นให้ทำ ทิพ-
    จักขุญาณ
    ให้เกิดขึ้น อุทุมพริกสูตร นั้น ท่านสอนหลักสูตรวิชชาสาม
    โดยตรง ให้สร้างทิพจักขุญาณ ให้เกิดขึ้นแล้วสามารถจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
    ได้ตามใจเราชอบ เราอยากจะเห็นเทวดาหรือนางฟ้าเราก็เห็นได้ ชาวสวรรค์
    เราก็เห็น ชาวพรหมโลกเราก็เห็นได้ เราจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต
    เห็นอสุรกาย เห็นสัตว์เดรัจฉานก็สามารถเห็นได้
    ท่านกล่าวไว้ตามบาลีว่า พรหมอยู่ที่ไหน เรานั่งอยู่ตรงนี้เรามองเห็น
    เราสามารถคุยกับพรหมได้ เทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ เราเห็นเรา
    สามารถคุยกับเทวดาหรือนางฟ้าได้ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย อยู่ที่ไหน
    เราสามารถจะเห็นได้
    ก็รวมความว่า ทุกอย่างที่เราต้องการจะรู้ เราต้องการจะเห็น เรารู้ได้
    เราเห็นได้โดยฉับพลัน และต่อไปท่านก็บอกว่า เมื่อมีการคล่องตัวแบบนี้
    ต่อไปก็ทำ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ให้เกิดขึ้น คำว่า ปุพเพนิวาสา-
    นุสสติญาณ
    ก็หมายถึง การระลึกชาติ ให้ระลึกชาติถอยหลังได้โดย
    ไม่จำกัดชาติ สร้างญาณให้คล่องแคล่ว
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2010
  8. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    อนุโมทนาสาธุค่ะ เห็นด้วยกับคุณ วิญญาณนิพพาน ทุกประการค่ะ บางที่สิ่งที่เราเห็นในนิมิตรนั้น บางทีเราก็นึกปรุงแต่งเองว่าอยากเห็นโน่นเห็นนี่ ต้องลองคิดใคร่ควรทั้งลืมตาและหลับตาหลาย ๆ ครั้ง ถ้ายังเห็นเป็นเรื่องเก่าอยู่ นั่นคือนิมิตร จริงเหมือนท่าน อ. ดูกรรมหลาย ๆ ท่านทำ ต้องนึกย้อนไปซัก 3 ครั้ง ท่านถึงจะทายมาให้เราได้อ่ะคะ อีกอย่างนะคะ อย่างลูกกลม ๆ ที่คุณเห็นนั้นตามไปไหนด้วยตลอดเวลานั้น ในเรื่องกสินจะบอกไว้ว่า นั่นคือตัวคุณ มันเหมือนกับคุณแบ่งร่างไปอีกร่างนึง ไปไหนเค้าก็จะตามคุณไปด้วย คือที่เล่ามาก็เพราะเพื่อนเราก็ติดตรงนี้แบบคุณ ให้คุณเฉยๆไว้ ปฏิบัติต่อไป เอาจิตที่ลอยออกนอกให้กลับมาเข้าร่างคุณซะ ร่างจะไม่สั่นไหว ไม่งั้นจะเจอพวกที่ชอบลองของมาพบนะคะ เพื่อนเราโดนมาแล้วเกือบตาย หลงไปเลย ตอนนี้ก็ช่วย ๆ กันดึงกลับมาอ่ะคะ ขอให้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆนะคะ สาธุค่ะ
     
  9. THEFOOL23

    THEFOOL23 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2010
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +136
    กสินคับ กสินแสงสีขาว คับ คือ กสินที่ทำให้เกิด ทิพท์จักขุ หรือ ก็คือ ตาทิพท์ คับ อยากเห็นอะไร เรารำพึงใน จิต ก็จะเห็นสิ่งที่ต้องการเห็นได้ด้วย ตาใน คับ หรือใน ตาเนื้อก็ได้ ถ้าเข้า สมาธิ เข้าฌาน ทรง ฌาน อยู่คับ

    เห็นได้ไม่นาน เพราะ จิต มีกำลังน้อย อยู่แค่นั้นละคับ เพราะไปส่งจิตออกนอก หมด พลัง กำลังจากจิตที่ส่ง มา มันใช้หมดไปคับ

    ไอ้ดวงกลมๆ ที่ว่า คือ ดวง กสิน นั้นเองคับ ตามที่บอกไปนะ คุยกันไม่ได้ก็เพราะ ยังคุยไม่เป็นนะ 555+

    ต่อไป ทำสมาธิ อย่า ส่งจิต ออกนอกไปรับรู้เรื่องพวกนี้ คับ อย่าไปอยากเห็น นั้น เห็นนี้ ทำให้ได้ คับ

    ให้อยู่กับ จิต ตัวเอง พอ ถ้ามัวแต่ส่งจิต ออกไปดูนั้นดูนี้ มันจะใช้กำลัง ใช้ พลังที่ทำมาจาก สมาธิ ไปหมด พอหมด กำลัง มันก็ตกคับ

    ให้กลับมาอยู่กับ ตัวเอง เจอ นิมิตอะไรก็ ตัดไปให้หมด

    จับภาพ กสิน นั้นไว้ ทำสมาธิ เพ่ง ดวงกลมๆ ก็ชัดเจนแจ่มใสมากยิ่งขึ้น แล้วทำให้อยู่นานๆ ทำให้ ชำนาญ จะช่วย สมาธิ ได้ มากมาย มหาศาล ทำให้คล่องๆ คับ ถ้าไม่คล่อง ไม่ต้องเปลี่ยน เป็น กสิน สีอื่นคับ เพราะ กสิน เสื่อมได้ง่ายๆ

    แต่ ท่าน ได้ กสิน ไปแล้ว 1 อย่าง ก็หันมาเอาดี ทางด้าน กสิน คับ จะได้ไม่เสียของ ให้เปลี่ย่น สี กสิน เป็น กสิน ธาตุ อื่นๆ เอา ตามหนังสือ ที่ท่านอ่านได้เลย คับ

    แรกๆ อาจ ยาก แต่พอทำได้ ต่อไป ก็จะง่ายละคับ

    หรือ ถ้าไม่ต้อง การ กสิน ก็ ออก ภาวนา วิปัสนา ได้เลยคับ

    ควร พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ถนัดอันไหน ก็ จับอันนั้น มาทำให้เกิด ภาวมยปัญญา ใน สมาธิ เลยคับ

    แล้วก็ระวัง หนังสือ สอน นะคับ มั่ว ไม่ รู้จริง มีเยอะ คับ เรื่องพวกนี้ ถ้าไม่ได้ เขียน ออกมาจาก พระอรหันต์ จริงๆ มั่ว เยอะคับ

    จขกท ควรไปหา อาจารย์ คับ มีอาจารย์ สอน แนะนำ จะไม่เสียเวลา ประหยัดเวลา ไม่ต้องมา ครำทางเองคับ


    ควรไป หา พบ อาจาย์ ที่ เป็นจริงๆ ในการพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าไม่เป็น สอน ไม่ได้ บอกไม่ได้ คับ เรื่องพวกนี้ ว่า ต้อง ทำยังไง



    จขกท ฟัง คำเทศน์ พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต อันนี้เลยคับ

    ไก่ตัวแรก เทศน์เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2553


    หรือ ท่าทำได้ ให้ไปพบ พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต คับ แล้วเล่าให้ท่านฟังคับ


    วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) เลขที่ ๑ ม.๓ บ.หนองแหน ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

    แผนที่ทางไปวัดสันติพุทธาราม กดเบาๆ
    แผนที่ทางไปวัดสันติพุทธาราม กดเบาๆ2

    รายละเอียดการเดินทางสำหรับผู้ที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว
    - โดยการขึ้นรถตู้โดยสารสาย กรุงเทพ-จอมบึง จะมีให้บริการอยู่สามที่
    1. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
    2. หมอชิตใหม่
    3. สนามหลวง(ฝั่งโรงแรมรัตนโกสินทร์ และฝั่งข้างเซเว่นอีเลเว่นหลังกระทรวง)
    แนะนำให้ไปที่สนามหลวง รถเที่ยวแรกออก ประมาณตี 4 สามารถมาทันประเคนอาหารรอบเช้า เที่ยวที่2 ประมาณตี5
    - พอมาถึง อ. จอมบึงท่ารถ แล้วให้ต่อรถมอเตอร์ไซต์ จะมีอยู่สองวิน
    วินแรก เซเว่นอีเลเว่น ค่าโดยสารประมาณ 120 บาท
    วินที่สอง อยู่แถวๆตลาดสด ค่าโดยสารประมาณ 100 บาท
    บอกให้เขามาส่งที่วัดลูกศิษย์หลวงตามหาบัว



    ลองฟันเทศน์ ของพระอาจารย์สงบ มนัสสันโต นี้ดูคับ

    ควรทำอย่างไร เทศน์เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2553

    เสียเวลา ฟรี ๆ ไป 19 ปี เพราะโดนหลอก ทำสมาธิ ผิดทาง

    ฟังแล้ว ไม่ต้องเชื่อ แต่ฟังเอาไว้เป็น แล้วลองตัดสินด้วย ปัญญา ตัวเองดูคับ ว่าจริง หรือปลอม


    ผม ดีแต่ปาก พูดไปไม่ต้องเชื่อคับ อ่านเอา ขำๆ ก็พอคับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2010

แชร์หน้านี้

Loading...