การฝึกสะเดาะกุญเเจเเละอิทธิวิธี

ในห้อง 'ประสบการณ์ ผลของการสวด' ตั้งกระทู้โดย noonei789, 3 มีนาคม 2016.

?
  1. ปฐวีกสิณ(กสิณดิน)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เตโชกสิณ(กสิณไฟ)

    50.0%
  3. วาโยกสิณ (ธาตุลม)

    50.0%
  4. อากาสกสิณ (อากาศ)

    0 vote(s)
    0.0%
  5. อาโลกสิณ(กสิณแสงสว่าง)

    0 vote(s)
    0.0%
  6. อาโปกสิณ (ธาตุน้ำ/ของเหลว)

    0 vote(s)
    0.0%
  7. โลหิตกสิณ(กสิณสีเเดง)

    0 vote(s)
    0.0%
  8. นีลกสิณ(กสิณสีเเดง)

    0 vote(s)
    0.0%
  9. ปีตกสิณ(กสิณสีเหลือง)

    0 vote(s)
    0.0%
  10. โอทาตกสิณ(กสิณสีขาว)

    50.0%
Multiple votes are allowed.
  1. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    สังโยชน์ 10 คำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม จ.อุทัยธานี
    [​IMG]
    1) นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงกับสังโยชน์ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิด ตามแบบเข้าใจเอาเอง
    2) สำหรับญาติโยมพุทธบริษัท ที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน จะได้ทราบอารมณ์ของจิตว่าท่านทั้งหลายทำเวลานี้ถึงไหนแล้ว ความจริงก่อนที่จะบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ แต่ว่าพระพุทธเจ้าเองท่านทรงยืนยัน ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเป็นภาระของท่าน แต่ว่าบุคคลใดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้ท่านทรงยืนยัน อันนี้จำเป็น
    แต่ว่าส่วนใหญ่พระสาวกก็จะไม่ยืนยัน คือ ว่าจะแนะนำให้เข้าใจเอง ฉะนั้นสำหรับญาติโยมพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน อาตมาก็ขอนำ สังโยชน์ 10 มาเป็นเครื่องวัดกำลังใจ
    สังโยชน์ 10 ประการ 3 ข้อ เป็นคุณธรรมของพระโสดาบันหรือสกิทาคามี คือ
    - สักกายทิฏฐิ สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ตัวนี้เป็นตัวปัญญานะ เป็นตัวตัดกิเลสทั้งหมด แต่ว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์นี่ตามฐานะ ถ้าฆราวาสก็คือศีล 5 คือ ศีล 5 เป็นสำคัญ ยังไม่ถือศีล 8 ถ้าถือศีล 8 เป็นพระอนาคามี คือว่าถ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์แน่นอน แล้วก็ใช้ได้ สักกายทิฏฐิ ถ้าญาติโยมมีความคิดอยู่เสมอว่าชีวิตต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิต หมายความว่าพยายามหลบความชั่ว คือบาปไว้เสมอ
    - วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    - สีลัพพตปรามาส รักษาศีล 5 เคร่งครัด แล้วก็ขอแถมอีกนิด
    - อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตทรงตัวอย่างนี้ได้จริง ขอให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงเรียกผู้นั้นว่า พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี วัดใจเอาเองก็แล้วกันนะ
    3) สังโยชน์ทั้ง 10 ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตตผล เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ 10 ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้จะได้ผลเร็วเพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี่แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้
    4) เราจะต้องมีสติอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติตัวสำคัญ นั่นคือ จะต้องมีความรู้สึกว่า
    - สักกายทิฏฐิ อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราจะไม่มีการติดอกติดใจอยู่ในร่างกายของเรา และร่างกายของบุคคลอื่น เราถือเสมือนว่าร่างกายเป็นสภาวะอันหนึ่ง ๆ หรือ บ้านเช่าที่เราใช้อาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
    - วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ปัญญาพิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เสมอ
    - สีลัพพตปรามาส เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนไม่ลูบคลำศีล
    - กามฉันทะ เป็นฉันทะ เป็นภัยสำหรับเรา เราพยายามหาทางทำลายกามฉันทะให้พินาศไปจากจิต
    - เราจะตัดปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของจิต ด้วยอำนาจความโกรธ ความพยาบาทให้สิ้นไป
    - เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันติดอยู่เฉพาะในรูปฌาน
    - เราจะต้องไม่ติดอยู่เฉพาะในอรูปฌาน ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง ถ้ามีปัญญาเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก และก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าร่างกายของตน ร่างกายของสัตว์ ที่เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้ พิจารณาใน กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐาน หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัว หรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ อย่าไปติดในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก
    แล้วก็พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่ง คือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์อะไร จึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าเราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขาคิดอาฆาตมาดร้ายเขา เพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ถ้าใครเขาจะว่าอะไร มันก็ไม่หนัก ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า นินทา ปสังสา นินทาและสรรเสริญเป็นของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลว มันก็ไม่ดีไปตามคำที่เขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดี เราก็ไม่เลวไปตามเขาพูด
    - มานะ เราจะตัดมานะความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาให้หมดไป นึกไว้เสมอนะ อย่าลืมไม่ได้ และก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า การที่เราจะยึดถือตัวตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งขัน หรือถ่อมเกินไป ไม่ควรคิด คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสบาย จะเสมอหรือไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะต่ำกว่าฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า ฉันเป็นมิตรที่ดีของท่าน เท่านี้พอ
    - อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว
    - อวิชชา ใช้ปัญญาจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชาตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็นอนุสัย ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝัน ท้อแท้อยู่ในความคิดว่า
    ถ้าเราเป็นพระอนาคามีเราก็มีความสบาย ไม่ควรจะมีความทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามที่เรายังไม่ทำสำเร็จกิจ เราก็จะต้องทำต่อไป ไหน ๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไปให้มันหมดกิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต
    5) อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุด หรือโดยตรงนั้นคือ สังโยชน์ 10 ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถตัดสังโยชน์ได้แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลาจำกัดก็แย่ บางท่านที่มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้ได้กำไรมาก
    ที่ีมา:http://palungjit.org/smati/books/index.php?cat=153
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2016
  2. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    โดยส่วนตัวปรารถนาพุทธภูมิอยู่นะคะยังไม่ใช่พระอริยเจ้า เเต่ยึดหลัก 5 ข้อเเรกของการตัดสังโยชน์10 มานานเเล้วค่ะ
    1.เคารพในพระรัตนตรัย
    2.ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    3.รักษาศีล5เเละกรรมบท10
    4.อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
    5.ไม่ประมาทในความตาย นึกถึงความตายเป็นอารมณ์
    ส่วนการเจริญกรรมฐานเเละ 5 ข้อเเรกที่ว่ามา เป็นความชอบที่ติดในจิตเเบบเเนบเเน่น โดยเฉพาะมรณานสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่ติดตัวมาตั้งเเต่เด็กๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2016
  3. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    เหตุผลที่ไม่ควรปรามาสบุคคลผู้ปรารถนาพุทธภูมิ โดยคุณวรกันต์
    เห็นในกระทู้ส่วนใหญ่ จะมีความเห็นเกี่ยวกับพุทธภูมิ หรือ พระโพธิสัตว์ มากมาย
    บางท่าน ก็หวังดี แนะนำให้ลา บางท่าน ก็เขียนว่า เป็นการปรารถนาที่ยาก มีได้น้อย ทางทีดีให้เลิกปรารถนา เสียดีกว่า อะไรประมาณนี้

    อยากจะบอกให้ทุกๆท่านว่าไม่ควร ปรามาสกับบุคลลที่ปรารถนาพุทธภูมินะครับ

    ด้วยเหตุผลที่อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ

    หากมีใครสักคนหนึ่งซึ่งอาจเคยฆ่าคนมามากมายแต่กลับใจได้ อยากบวชเป็นพระ แต่มีคนทัดทานไม่ควรบวชหรอก แกฆ่าคนมาเยอะ บวชไปศาสนาจะแย่เปล่าๆ

    มาวิเคราห์ะกัน

    ไม่ควรเอามารวมกันครับ เพราะผลแห่งกรรมแยกกัน
    การบวชในพุทธศาสนา ถือเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา เป็นมหากุศล แม้บุคคลนั้นเคยทำบาปมามาก(แต่ไม่ใช่อนันตริยกรรมนะครับ) การบวชก็ยังถือเป็นบุญ มหาศาล เท่ากับ บุคคลที่ทำความดีมาตลอดไม่เคยฆ่าสัตว์ แล้วมาบวช
    เพราะสิ่งเหล่านี้ขึ้นกับว่า การบวชแล้วบุคคลนั้นประพฤติปฎิบัติตามศีลของพระอันดีงาม หรือไม่

    ส่วนผลของการฆ่าสัตว์ เขาย่อมได้รับกรรมนั้นเช่นกัน แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่

    กรรมจึงให้ผล แยกกันครับ ขึ้นอยุ่กับว่า กรรมใดจะส่งผลก่อน

    การปรามาส หรือ บอกให้ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ยกเลิกลาพุทธภูมิ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เปรียบเหมือน การห้ามไม่ให้คนไปบวช เพราะรู้ว่า บุคคลนั้นบวชไปก็ไม่ได้ทำตัวดี หรือ ทำไม่ได้

    อันนี้ผิดมหันต์นะครับ เพราะผลบุญจากการบวชย่อมเท่ากัน ในทุกคน แต่ผลบุญหลังจากการปฎิบัติัตัวหลังจากเป็นพระก็อีกส่วนหนึ่งแยกกัน

    ถ้าใครคิดที่จะบวชด้วยจิตอันเป็นกุศลแล้ว ไม่ว่าใครคิดก็ย่อมเป็นมหากุศลเช่นกัน การที่คุณปรามาสพุทธภูมิ หรือ บอกให้ลาพุทธภูมิ ไม่ว่าจะหวังดี หรือ อะไรก็ตามแต่ กรรมย่อมจะส่งผลให้คุณอย่างแน่นอน เพราะเหมือนเรากำลังจะไปห้ามไม่ให้เขาทำมหากุศล

    ดังที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเคยกล่าวเตือนไว้ ว่า หากใครปรารถนาพุทธภูมิ ก็ปล่อยเขา ไม่ควรที่จะไปยุ่งเขา

    เพราะว่าผลกรรมของการห้ามผู้อื่นปรารถนาพุทธภูมิ ก็เหมือนกับ การห้ามไม่ให้เขาสร้างมหากุศล ซึ่งผู้ห้ามย่อมได้รับบาปอย่างมหันต์ อย่างน้อยก็ทางมโนกรรม และวจีกรรมไปเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เรายังไม่ทราบหรอก จนกว่าเราจะได้รับผลของกรรมนั้น ซึ่งน่ากลัวมากๆครับ

    ถ้าท่านปรารถนาสาวกภูมิ มุ่งสู่ความเป็นอริย ก็อาจจะไม่ได้รับผลของกรรมนั้น
    เพราะพระอรหันต์ สามารถหลุดจากกรรมบางอย่างได้ (ที่ไม่ใช่อนันตริยกรรม)
    โดยไม่ต้องใช้กรรมทั้งหมด ดังเช่น พระองคุลีมาล ที่ฆ่าคนเกือบพันคน ก็ยังไม่ต้องใ้ช้กรรมตรงจุดนี้


    แต่ถ้าหาก ปรารถนาพุทธภูมิแล้วละก็ ท่านก็จะได้รับผลกรรมนี้แน่นอนครับ
    เพราะบุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิจะต้องใช้กรรมของตนเองทั้งหมด ไม่ว่ากรรมนั้นจะเบาบางเพียงใด (ดังเช่นแม้แต่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เศษกรรมต่างๆของท่านก็ยังตามมาแม้ในชาติที่พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า หลายอย่าง รายละเอียดไปหาอ่านเอาดูนะครับ)
    ที่มา :http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4.138237/page-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2016
  4. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    "ปรามาสพระ" กรรมที่ทำได้ง่ายๆ แต่มีวิบากร้ายแรงเกินจะรับไหว

    นำเรื่องกรรมปรามาสภิกษุมาเล่าสู่กันฟัง เป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวังกัน ในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนเราต้องช่วยกันจรรโลงรักษาพุทธศาสนาก็จริง แต่ความจริงแท้เป็นอย่างไรยังไม่ปรากฏ จึงต้องสำรวมและระมัดระวังกันให้มาก

    กรรมของอัมปาลี เกิดเป็นโสเภณี
    บุรกรรมของอัมพปาลีเกิดขึ้นในอดีตชาติเมื่อครั้ง ๓๑ กัปก่อน ครั้งนั้นเป็นพุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระสิขีทศพล นางอัมพปาลีเกิดเป็นธิดาตระกูลพราหมณ์ในนครอมรปุระ วันหนึ่งนางได้ด่าภิกษุณีรูปหนึ่งว่าเป็นหญิงแพศยา ด้วยเหตุที่ภิกษุณีรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ กรรมนี้จึงเป็นกรรมหนักมาก เมื่อทำกาละแล้วนางอัมพปาลีจึงต้องไปรับกรรมหมกไหม้อยู่ในนรกนานแสนนาน
    เมื่อพ้นกรรมหนักจากนรกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เศษของกรรมได้ส่งผลให้นางอัมพปาลีต้องเกิดเป็นหญิงแพศยามานับหมื่นๆ ชาติ จนถึงพุทธกาลปัจจุบันนางเกิดขึ้นโดยการอุบัติ (โอปปาติกกำเนิด) เป็นสาวสวยที่โคนต้นมะม่วงในพระราชอุทยานกรุงเวสาลี จึงได้ชื่อว่า อัมพปาลี แต่ด้วยเศษของอกุศลกรรมที่เคยด่าพระเถรีในครั้งนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ ความงามของนางจึงเป็นโทษ เพราะทำให้บรรดาเจ้าชายลิจฉวีทะเลาะแย่งชิงกันเพื่อจะได้นางไปเป็นสนม คณะผู้พิพากษาแห่งวัชชีต้องยุติข้อขัดแย้งโดยตัดสินให้อัมพปาลีเป็นหญิงแพศยา เป็นนางคณิกานคร เป็นสมบัติของทุกคน การแย่งชิงนางจึงสงบลงได้
    (ภายหลังบวชเป็นภิกษุณีและสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


    กรรมของโสไรยบุตร จากชายกลายเป็นหญิง
    โสไรยบุตร เป็นบุตรเศรษฐีในโสไรยนครซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ใกล้กรุงสาวัตถี เขามีภริยา และมีบุตรชายแล้ว ๒ คน
    วันหนึ่ง โสไรยบุตรนั่งยานออกไปอาบน้ำนอกนครกับบริวาร ระหว่างทางเห็นพระมหากัจจายนเถระกำลังบิณฑบาตอยู่ พระเถระรูปนี้มีรูปสวย มีผิวพรรณวรรณะงดงามดังทองคำ โสไรยบุตรเห็นพระเถระแล้วเผลอใจคิดไปว่า “สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้น่าจะได้เป็นภริยาของเรา”
    ด้วยจิตอันเป็นอกุศลต่อพระเถระขีณาสพผู้ล่วงอาสวะแล้ว เพศชายของโสไรยบุตรจึงหายไป กลับกลายเป็นเพศหญิงมาแทนที่ โสไรยบุตรกลับกลายเป็นโสไรยธิดา เป็นกุลธิดารูปงาม ด้วยความตกใจและความอายเธอจึงลงจากยานแอบหนีไป คนรู้จักแม้มองเห็นก็จำไม่ได้ว่ากุลธิดานี้คือโสไรยบุตร
    โสไรยธิดาลงจากยานแล้วไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เธอจึงเดินตามขบวนเกวียนสินค้าขบวนหนึ่งไป เมื่อเดินจนเมื่อย เธอจึงถอดแหวนให้ และขอนั่งไปบนเกวียน
    ขบวนเกวียนนั้นเดินทางถึงตักกศิลา แคว้นคันธาระ นายเกวียนคิดว่าบุตรเศรษฐีในกรุงตักกศิลายังไม่มีภริยา กุลธิดาผู้นี้มีรูปงามสมกัน เขาจึงพาโสไรยธิดาไปพบบุตรเศรษฐีหวังได้รางวัล บุตรเศรษฐีเห็นนางแล้วหลงรัก รับนางเป็นภริยา
    โสไรยธิดาจึงได้เป็นภริยาของบุตรเศรษฐีกรุงตักกศิลา ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์ และมีบุตรกับสามี ๒ คน ตอนนี้เธอจึงมีบุตรแล้ว ๔ คน บุตร ๒ คนแรกมีเธอเป็นบิดาอยู่ที่โสไรยนคร ส่วนบุตรอีก ๒ คนมีเธอเป็นมารดาอยู่ร่วมกันที่ตักกศิลา
    (ต่อมาโสไรยธิดาธิดาได้ขอขมาพระเถระจึงได้กลับเพศเป็นชาย ออกบวช และสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


    กรรมของอุคคเสน จากบุตรเศรษฐีเป็นนักแสดงกายกรรม
    ในอดีตกาลครั้งพุทธกาลของพระกัสสปทศพล ชนจำนวนมากช่วยกันสร้างเจดีย์บูชาพระบรมศาสดา ในครั้งนั้นมีสองสามีภรรยามีจิตศรัทธาขนของกินของใช้บรรทุกยานเดินทางไปร่วมงานก่อสร้างพระเจดีย์ ระหว่างทางพบพระเถระองค์หนึ่งกำลังบิณฑบาตอยู่ ภรรยาเห็นพระเถระจึงบอกสามีว่าของกินในยานเรามีจำนวนมาก นายจงนำบาตรของพระคุณเจ้ามาเพื่อถวายภิกษาเถิด
    เมื่อสามีรับบาตรมาแล้วภรรยาก็ใส่บาตรนั้นจนเต็ม ให้สามีนำกลับไปถวายพระเถระ เสร็จแล้วภรรยาได้กล่าวคำปรารถนาว่า ท่านเจ้าข้า ด้วยผลบุญที่ดิฉันและสามีได้ถวายภิกษาแก่ท่านนี้ ขอให้ดิฉันทั้งสองได้เห็นธรรมอันท่านได้เห็นแล้วด้วยเถิด พระเถระตรวจดูความปรารถนานั้นเห็นว่าจะสำเร็จสมความปรารถนาในพุทธกาลถัดไป ท่านจึงทำอาการยิ้ม
    ภรรยาเห็นพระเถระยิ้มจึงพูดกับสามีว่า ดูสินาย พระคุณเจ้าของเราท่านยิ้มเหมือนเด็กนักฟ้อนเลย สามีเห็นดีเห็นงามตามภรรยาตอบว่า จริงสิ
    แม้คำพูดนี้จะไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ แต่ก็เป็นกรรมที่ทำกับพระเถระขีณาสพ ในพุทธกาลปัจจุบันภรรยาผู้นั้นจึงเกิดมาเป็นหญิงนักฟ้อน ส่วนสามีได้เกิดมาเป็นบุตรเศรษฐีในนครราชคฤห์ชื่อว่า อุคคเสน แต่เพราะเห็นดีเห็นงามไปกับภรรยาด้วยเขาจึงมีกรรมต้องออกจากเรือนเศรษฐีไปเร่ร่อนอยู่ในคณะมหรสพกับหญิงผู้เป็นภรรยา
    (ภายหลังทั้งสองสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


    กรรมของพระจูฬปันถก

    จูฬปันถกเป็นหลานชายราชคฤห์เศรษฐี พี่ชายชื่อมหาปันถกซึ่งออกบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วมาชวนให้ออกบวชด้วย จูฬปันถกจึงออกบวชในสำนักของพระพี่ชาย แต่ด้วยกรรมเก่าเมื่อครั้งบวชเป็นภิกษุในพุทธกาลก่อน เคยพูดเยาะเย้ยภิกษุรูปหนึ่งว่าปัญญาทึบ แม้จะมีวาสนาบารมีจากการบวชมาแล้ว แต่กรรมเก่านั้นได้ส่งผลให้พระจูฬปันถกมีปัญญาทึบมาก พระพี่ชายให้ท่องคาถาแค่ ๔ บาท ใช้เวลาท่อง ๔ เดือนยังท่องไม่ได้ จนถูกพระพี่ชายไล่ให้สึกไปยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูวิหาร
    (สุดท้ายได้อุบายธรรมโดยตรงจากพระบรมศาสดา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก และมีปัญญามาก)


    กรรมของวัสสการพราหมณ์ เกิดเป็นลิง

    วัสสการพราหมณ์เป็นมหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ เป็นคนมีปัญญามากกว่าอำมาตย์อื่นจึงเป็นที่ไว้วางพระทัยของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้รับมอบหมายให้ไปเฝ้าทูลถามราชกิจจากพระบรมศาสดาบ่อยๆ แต่วัสสการพราหมณ์เป็นคนนอกศาสนา แม้จะไปเฝ้าพระศาสดาบ่อยครั้ง แต่ก็ไปเพราะพระบัญชาของพระเจ้าอชาตศัตรู ไม่ได้ไปเพราะนับถือพระรัตนตรัย
    วันหนึ่งวัสสการพราหมณ์เห็นพระมหากัจจายนะเถระลงมาจากเขาคิชฌกูฏิ ด้วยความคะนองปากจึงเอ่ยวาจาเปรียบพระกัจจายนะเถระว่าคล้ายลิง พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า การพูดปรามาสพระอรหันต์ขีณาสพผู้พ้นอาสวะแล้วเป็นกรรมหนัก กรรมนี้จะทำให้วัสสการพราหมณ์ต้องไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในวัดเวฬุวัน ต้องขอขมาโทษจากพระเถระจึงจะพ้นจากกรรมนี้ได้
    วัสสการพราหมณ์ฟังแล้วไม่ได้ทำตาม แต่ก็ครั่นคร้ามว่าคำของพระศาสดาไม่เคยคลาดเคลื่อน เขาจึงเร่งปลูกไม้ผลสารพัดชนิดภายในวัดเวฬุวัน และว่าจ้างคนมาดูแลสวนเป็นอย่างดี หวังเพียงว่าเมื่อต้องไปเกิดเป็นลิงเขาจะได้มีผลไม้กิน
    เมื่อทำกาละแล้ว วัสสการพราหมณ์ก็ได้ไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในเวฬุวันวิหารสมดังพุทธดำรัส เวลาใครเอ่ยชื่อเรียกวัสสการพราหมณ์ ลิงตัวนี้ก็จะเข้ามายืนใกล้ๆ ด้วยความเข้าใจ


    กรรมของปัญจปาปี

    อดีตกาลครั้งสิ้นพุทธกาลจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนไปแล้ว มีหญิงยากไร้คนหนึ่งอาศัยในนครพาราณสี วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งขยำดินเหนียวเพื่อใช้ทาฝาเรือนอยู่ ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเที่ยวบิณฑบาตหาดินเหนียวเนื้อดีเพื่อจะนำไปทาเงื้อมฝาที่อยู่อาศัยของท่านที่ชำรุด มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
    หญิงยากไร้นั้นรู้สึกโกรธ เธอทำหน้าบึ้ง มองค้อน และทำปากหมุบหมิบพูดประชดประชันพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า เช้าก็บิณฑบาตอาหาร พอสายยังมาบิณฑบาตดินเหนียวอีก พระปัจเจกพุทธเจ้าประสงค์จะโปรดหญิงยากไร้นั้น ท่านจึงยืนสงบนิ่งอยู่ ครั้นหญิงยากไร้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าสงบนิ่งอยู่ในอาการสำรวมเช่นนั้น ความรู้สึกโกรธก็หายไป กลับมีจิตเลื่อมใส เธอจึงยกดินเหนียวก้อนใหญ่ใส่ลงในบาตร
    เมื่อถึงกาลกิริยาแล้ว หญิงยากไร้นั้นได้ไปเกิดเป็นธิดาของหญิงทุคตะ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ประตูนอกเมืองพาราณสีนั้นเอง และด้วยวิบากกรรมที่เธอทำกิริยาไม่งามต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ร่างกายของเธอจึงผิดปกติ ๕ อย่าง คือ มือ เท้า ปาก ตา และจมูก เป็นหญิงอัปลักษณ์ ใครเห็นใครเมิน ใครมองก็รังเกียจ บางคนแค่เห็นหน้าก็จะอาเจียน ชาวบ้านเรียกเธอว่า ปัญจปาปี หรือหญิง ๕ บาป แต่เพราะกุศลกรรมที่ใส่บาตรด้วยดินเหนียว ผิวกายของนางจึงอ่อนนุ่มมาก ใครได้สัมผัสนางเป็นต้องหลงรักทุกคน ต่อมานางจึงได้เป็นราชินีถึงสองนคร มีสามีทีเดียวถึงสองคน


    พลั้งปากปรามาสแล้วขอขมา ยังไม่พ้นกรรม

    หลังการดับขันธปรินิพพานของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธต่างพร้อมใจกันเป็นสมานฉันท์ว่า จะสร้างมหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ เพื่อให้มนุษย์ และเทวาทั้งหลายได้มาสักการะบูชา ในสมัยนั้นพระอรหันต์เถระรูปหนึ่ง เห็นว่าหน้ามุขทางด้านทิศเหนือของพระเจดีย์ยังก่อสร้างไม่เสร็จ เพราะยังขาดทองคำอยู่เป็นจำนวนมาก ท่านจึงทำหน้าที่ผู้นำบุญไปโปรดญาติโยมตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวบุญนี้ ซึ่งมีสาธุชนร่วมบริจาคทองคำมามากบ้างน้อยบ้าง ไม่มีผู้ใดที่ไม่มีส่วนร่วมในบุญครั้งนี้ เพราะผู้คนในสมัยนั้นรักการให้ทานมาก
    พระเถระได้เดินทางมาถึงบ้านของช่างทองผู้หนึ่งเพื่อบอกข่าวบุญนี้ ขณะนั้นเองช่างทองกำลังทะเลาะกับภรรยา จึงได้พูดกับภรรยาด้วยอารมณ์โกรธเคืองว่า “ เธอจงโยนพระศาสดาของเธอลงน้ำไปเสีย ” แม้ภรรยากำลังทะเลาะกับสามี เนื่องจากเป็นคนรู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงให้สติสามีว่า “ พี่ทำกรรมหนักแล้ว พี่โกรธฉันก็ควรด่าฉันสิ แต่พี่ไปว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้น มันเป็นบาปหนักนะ ”
    ช่างทองฟังดังนั้นก็ได้สติ เกิดความสลดใจ เขาขอให้พระเถระยกโทษให้ พระเถระกล่าวว่า “ ท่านไม่ได้ล่วงเกินเราหรอก แต่ท่านล่วงเกินพระบรมศาสดา ท่านจงขอขมาต่อพระองค์เถิด ” ช่างทองถามพระเถระว่า “ พระคุณเจ้าผู้เจริญ จะให้กระผมทำอย่างไรดี จึงจะให้พระศาสดาอดโทษให้ ” พระเถระจึงบอกให้ช่างทองทำหม้อดอกไม้ทองคำสามหม้อ นำไปไว้ภายในที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และให้ขอขมาโทษที่ได้กล่าวล่วงเกินพระบรมศาสดาต่อหน้าพระมหาเจดีย์
    ช่างทองทำตามคำแนะนำของพระเถระ ได้ชักชวนลูกชายคนโตให้มาช่วยกันทำ แต่ได้รับการปฏิเสธว่า “ พ่อเป็นคนว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมไม่เกี่ยว เพราะฉะนั้น พ่อทำคนเดียวเถอะ ” เขาจึงชวนลูกชายคนกลาง ก็ได้รับการปฏิเสธอีกเช่นกัน แต่เมื่อชวนลูกชายคนเล็ก ลูกคนเล็กกลับคิดว่า “ ธรรมดา กิจธุระของพ่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ย่อมเป็นภาระของลูกด้วย เพราะภารกิจของพ่อคือหน้าที่ของลูก ” ดังนั้น ลูกคนเล็กจึงช่วยพ่อทำหม้อดอกไม้ทองคำจนสำเร็จ และนำไปบูชาพระเจดีย์
    ด้วยผลกรรมที่ช่างทองได้กล่าวร้ายต่อพระบรมศาสดาผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แม้จะขอขมาและตาม เศษกรรมก็ยังตามส่งผลให้ช่างทองเมื่อเกิดมา ต้องถูกลอยนํ้าถึง ๗ ชาติ


    แค่นึกปรามาส ตกนรกแล้วเป็นโรคร้ายซ้ำสอง


    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์ มีบุรุษเป็น โรคเรื้อนชื่อว่าสุปปพุทธะ เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ ก็สมัย นั้นแล พระผู้มีพระภาคแวดล้อมไปด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ สุปปพุทธกุฏฐิได้เห็นหมู่มหาชนประชุมกันแต่ที่ไกลเทียว ครั้นแล้วได้มีความดำริ ว่าหมู่มหาชนจะแบ่งของควรเคี้ยว หรือของควรบริโภคอะไรๆ ให้ในที่นี้แน่แท้ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปหาหมู่มหาชน เราพึงได้ของควรเคี้ยวหรือควรบริโภคใน หมู่มหาชนนี้เป็นแน่ ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิได้เข้าไปหาหมู่มหาชนนั้นแล้ว ได้เห็นพระผู้มีพระภาคแวดล้อมด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า หมู่มหาชนคงไม่แบ่งของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภค อะไรๆ ให้ในที่นี้ พระสมณะโคดมนี้ทรงแสดงธรรมอยู่ในบริษัท ถ้ากระไร แม้ เราก็พึงฟังธรรม เขานั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งในบริษัทนั้นเอง ด้วยคิดว่า แม้เราก็จักฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดใจของบริษัททุก หมู่เหล่าด้วยพระทัยแล้ว ได้ทรงกระทำไว้ในพระทัยว่า ในบริษัทนี้ ใครหนอ แลควรจะรู้แจ้งธรรม พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นสุปปพุทธกุฏฐินั่งอยู่ในบริษัทนั้น ครั้นแล้วได้ทรงพระดำริว่า ในบริษัทนี้ บุรุษนี้แลควรจะรู้แจ้งธรรม พระองค์ ทรงปรารภสุปปพุทธกุฏฐิตรัสอนุปุพพิกถาคือ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษแห่งกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และทรงประกาศอานิสงส์ในเนกขัมมะ เมื่อใด พระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่าสุปปพุทธกุฏฐิมีจิตควร อ่อน ปราศจากนิวรณ์ เฟื่องฟู ผ่องใส เมื่อนั้น พระองค์ทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้า ทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่สุปปพุทธกุฏฐิในที่นั่งนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา เหมือนผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น ฯ
    ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิมีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันบรรลุ แล้ว มีธรรมอันรู้แจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งถึงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลง บรรลุถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เชื่อต่อผู้อื่นใน ศาสนาของพระศาสดา ลุกจากอาสนะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตาม ประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่ วันนี้เป็นต้นไป ฯ

    ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ครั้งนั้นแล แม่โคลูกอ่อนชนสุปปพุทธกุฏฐิผู้หลีกไปไม่นานให้ล้มลง ปลงเสีย จากชีวิต ลำดับนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สุปปพุทธกุฏฐิอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้ สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว กระทำกาละ คติของเขาเป็น อย่างไร ภพหน้าของเขาเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิเป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และ ไม่เบียดเบียนเราให้ลำบากเพราะธรรมเป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิ เป็นพระโสดาบัน เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งสาม มีความไม่ตกต่ำเป็น ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ฯ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ สุปปพุทธกุฏฐิเป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีแล้ว สุปปพุทธกุฏฐิเป็นเศรษฐีบุตรอยู่ในกรุงราชคฤห์นี้แล เขาออกไปยังภูมิเป็นที่เล่นในสวน ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่าตครสิขีกำลังเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนคร ครั้นแล้วเขาดำริว่า ใครนี่ เป็นโรคเรื้อนเที่ยวไปอยู่ เขาถ่มน้ำลายแล้วหลีกไปข้างเบื้องซ้าย เขาหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นปีเป็นอันมาก สิ้นร้อยปี สิ้นพันปี สิ้นแสนปีเป็นอันมาก เพราะ ผลแห่งกรรมนั้นยังเหลืออยู่ เขาจึงได้เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ อยู่ใน กรุงราชคฤห์นี้แล เขาอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว สมาทานศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ครั้นอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วสมาทาน ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็น ผู้เข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาย่อมไพโรจน์ล่วงเทวดา เหล่าอื่นในชั้นดาวดึงส์นั้นด้วยวรรณะและด้วยยศ ฯ

    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่ง อุทานนี้ในเวลานั้นว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงละเว้นบาปทั้งหลายในสัตว์โลก เหมือน บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อทางอื่นที่จะก้าวไปมีอยู่ ย่อมหลีกที่อันไม่ ราบเรียบเสียฉะนั้น ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2016
  5. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 4 มีนาคม 2559 เวลา 03.00-03.40 น.
    ปฏิบัติภาวนาโดยทำจิตเเบบสะสมกำลังก่อน ยังไม่ได้อธิษฐานการสะเดาะกุญเเจ
    วันที่ 4 มีนาคม 2559 ช่วงกลางคืน
    ฝึกได้ 5 นาทีเพราะนิวรณ์ตัวง่วงนอนเข้าเเทรก จึงพักผ่อนอิริยาบถโดยการนอนในกรรมฐาน เพราะโดยส่วนตัวในชีวิตประจำวัน ยืน เดิน นั่ง นอน จะภาวนาตลอด
    วันที่ 5 มีนาคม 2559 ช่วงบ่าย พอดีไม่มีคนอยู่บ้าน วันนี้ได้จุดธูป 5 ดอกพร้อมเทียนขาว 5 เล่มเเต่ยังขาดดอกไม้คงไม่เป็นไร เป็นวันเเรกที่ขอบารมีพระเเบบเปล่งเสียงเพื่อขออนุญาติฝึกการสะเดาะกุญเเจเเละอิทธิวิธีอย่างเป็นทางการสักที
    วันที่ 5 มีนาคม 2559 เวลา 21.03-22.08 น.
    สวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอขมาพระรัตนตรัย เเละสมาทานพระกรรมฐานเเบบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เริ่มบริกรรมคาถาเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ ไม่มีนิวรณ์5เเทรก ไม่มีความสงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรในขณะปฏิบัติขอให้จิตทรงสมาธิให้เเนบเเน่นที่สุด หายใจเข้า ทะพะ หายใจ มะนะ จิตระงับนิวรณ์ห้าได้ดี เป็นคาถาที่ดีเยี่ยม ช่วงเเรกจะมีปีติไม่เเรง เเละผ่านช่วงนั้นไปได้เร็ว จิตเข้าออกสลับฌาณได้รวดเร็ว จับปีตกสิณได้ถึงปฏิภาคนิมิตเพียงไม่กี่นาที ทรงภาพไว้ได้ ภาพนิมิตกสิณหายก็ไม่นึกเสียดาย
    ฝึกเป่าเเม่กุญเเจเเบบหลวงพ่อปาน อุทิศส่วนกุศลเเบบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วันที่ 5 มีนาคม 2559 เวลา 03.50-04.58 น.
    สวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอขมาพระรัตนตรัย เเละสมาทานพระกรรมฐานเเบบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เริ่มบริกรรมคาถาเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ ไม่มีนิวรณ์5เเทรก ไม่มีความสงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรในขณะปฏิบัติขอให้จิตทรงสมาธิให้เเนบเเน่นดี
    ลองตั้งคำบริกรรมเเบบตั้งต้นเป็น หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะทะ เเล้วเเบบปฏิโลมเป็น หายใจเข้า ทะพะ หายใจออก มะนะ จิตเข้าฌาณได้ไวจำอารมณ์เเบบนี้ได้ หัดเป่ากุญเเจเเบบหลวงพ่อปาน เเต่ไมไ่ด้เป่าหลายรอบ 1 ชั่วโมงจะเป่าเเค่สองรอบ อุทิศส่วนกุศลเเบบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2016
  6. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วิธีการทรงอารมณ์จิตให้เป็นฌาน(วันที่ 2 พฤษภาคม 2521) ที่มา :คำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม
    บรรดาท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็เห็นจะต้องพูดกันในระยะเริ่มต้น เพราะว่าไม่ได้อยู่กันซะนาน สำหรับการเจริญพระกรรมฐาน โดยเฉพาะผู้ใหม่หรือว่าท่านผู้ปฏิบัติมาเก่าแต่ไม่ได้เรื่อง คำว่าไม่ได้เรื่องก็เพราะว่า (1) ไม่มีความเคารพในพระธรรมวินัย (2) ไม่เคารพต่อระเบียบ (3) ก้าวก่ายในกิจการงานของบุคคลอื่น (4) ไม่มองจริยาของตัวเอง และก็ (5) ปราศจากความรู้สึกผิดชอบ อย่างนี้เรียกว่าจะใหม่หรือเก่าก็ตามไม่ได้เรื่องด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่จะได้เรื่องจริง ๆ หรือเป็นคนดีจริง ๆ ตามคติของพระพุทธศาสนา พระบาลีบทหนึ่งที่เราพูดกันฟังแล้วปีหลายหน นั่นก็คือ "อัตตนา โจทยัตตานัง" จงเตือนตนด้วยตนเองเสมอ คำว่าเตือนตนด้วยตนเอง ก็พึงทราบว่าเรามีหน้าที่อะไร เวลานี้เรามีสภาวะเป็นอย่างไร เราเป็นพระ เราเป็นเณร เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราอยู่ในของเขตของพระพุทธศาสนา สำนักนี้เป็นสำนักปฏิบัติสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เป็นสำนักที่ตั้งอยู่ในความเมตตาปรานี หวังความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จรณะ 15 ฟังกันอยู่เสมอ พระวินัยฟังกันอยู่เสมอ อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 อย่างนี้เป็นต้น เราฟังอยู่กันเป็นปกติ แต่ว่าเวลาที่เราจะพูด เวลาที่เราจะทำอะไร จิตของเรามีความรู้สึกเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิรัจฉานคาถา วาจาที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรม วาจาใดที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมก็ดี ดิรัจฉานจริยา จริยาที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมก็ดี อันนี้มาจากจิต เรายังมีอยู่หรือประการใด เขาห้ามการมั่วสุมซึ่งกันและกัน ที่สำนักนี้เขาห้ามบุคคลอื่นเข้าไปสู่ห้องของบุคคลอื่น และก็มีระเบียบหลายประการ ซึ่งความจำเป็นจริง ๆ นั้นมันไม่มี ที่ว่าไม่จำเป็นต้องตั้งระเบียบก็เพราะว่า ถ้าคนดีก็ตั้งอยู่ในศีลและก็ธรรมวินัย ที่จำจะต้องมีระเบียบก็เพราะว่าคนไม่ดี คนไม่ดีมีอยู่ในขอบเขตนี้ จึงจะต้องจำจะต้องสร้างระเบียบซ้อนพระวินัยออกมา ฉะนั้น ขอได้โปรดทราบท่านที่ใหม่ก็ดี ท่านที่เก่าก็ดี หรือว่ามาอาศัยอยู่ชั่วคราวก็ดี ถ้ามีจิตนึกอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้อยู่ในขอบเขตของพระพุทธศาสนา จะต้องพึงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระวินัย ถ้ามีความรู้อยู่อย่างนี้ก็ไม่มีเรื่องหนักใจหรือยุ่งยากใด ๆ เกิดขึ้น ภายในสำนัก หากว่าจะถามว่า นี่สอนกรรมฐานหรือ ก็มีความรู้สึกว่ากรรมฐานเขาเรียนกันแบบนี้ "อัตตนา โจทยัตตานัง" จงเตือนใจของตนเองไว้เสมอ ว่าเราดีเพียงใดเราเลวเพียงใด ถ้าหากว่าเรายังมีความรู้สึกว่าเรายังเลวอยู่ ไม่เหมาะสมกับขอบเขตของพระพุทธศาสนา นั่นก็แสดงว่าเราจัดว่าเป็น โฆษบุรุษ โฆษสตรี ซึ่งไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในขอบเขตของพระพุทธศาสนาต่อไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราเป็นคนหาประโยชน์มิได้ เป็นผู้ทำลายตนเองเป็นสำคัญ ในเมื่อถ้าเราทำลายตนเองได้ ก็ชื่อว่าเราทำลายหมู่คณะด้วย แล้วก็จงอย่าคิดว่าวาจาก็ดี จริยาก็ดี อารมณ์ก็ดี ที่มีความรู้สึกนึกคิดนี้มันจะเป็นความลับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเก รโห นามะ ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลก คนชั่วย่อมมีความเดือดร้อนในทุกที่ทุกสถาน คนดีย่อมมีความเป็นสุขจะอยู่ที่ไหนมันก็เป็นสุข ถ้าเราดี เป็นอันว่าเขตของพระพุทธศาสนาต้องการให้คนเป็นคนดี เมื่อไม่ดีพระพุทธเจ้าไม่ทรงเลี้ยง และพระสาวกทั้งหมดก็ไม่เลี้ยงคนเลวเช่นเดียวกัน จงอย่าคิดว่าเรามีความสำคัญ นี่ความรู้สึกอย่างนี้เป็นคติในพระพุทธศาสนา ฉะนั้น ขอทุกท่านที่ได้นามว่า พระโยคาวจร ซึ่งแปลว่า เป็นผู้มีความประกอบในความเพียร หรือมีความประพฤติประกอบไปด้วยความดี จงรักษากำลังใจไว้ในขอบเขต ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระบรมโลกเชษฐ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวินัยละไม่ได้ ถ้ามีพระวินัยดีพระพุทธเจ้าก็ยังทรงไม่เรียกว่า พระ ทรงเรียกว่า สมมติสงฆ์ คือ เป็นผู้มีจิตเป็นสมาธิดี คือ เป็น สัมมาสมาธิ คือ คิดถูก ทรงอารมณ์ไว้ถูก ทรงอารมณ์ดีคิดถูก พระพุทะเจ้าก็ยังไม่ทรงเรียกว่า พระ ทรงเรียกว่า สมมติสงฆ์ แต่ว่าเป็น กัลยาณชน มีวินัยครบถ้วนเป็น สาธุชน เพราะองค์สมเด็จพระทศพลจะทรงเรียกว่า พระ ก็ต่อเมื่อถึง พระโสดาบัน ความจริงอารมณ์พระโสดาบันถึงอรหันต์ สำนักของเราพูดจนน่าเบื่อ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่กำลังใจของบุคคลบางคน พระบางรูป ยังหยาบมาก ไม่มีความละอายในความชั่ว ยังประพฤติตัวนอกรีตนอกรอย อันนี้พูดนี่ไม่มีใครเขาฟ้อง เพราะผมบอกแล้วว่าขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลก ฉะนั้น ขอทุกท่านจงตั้งตนไว้ในความดีครบถ้วน มิฉะนั้นความเดือดร้อนจะถึงท่าน นั่นก็คือ ความไม่ปรารถนาไม่คบค้าสมาคมจะมีขึ้น และเราจะไปไหน ไปที่ไหนเราก็ชั่วที่นั่น ความชั่วมันอยู่ที่ไหน ความชั่วมันมาจากหนึ่ง โลภะ ความโลภ พระเขาบวชเพื่อตัดความโลภ แต่ว่าเรายังประกอบอาชีพไม่ใช่งานส่วนรวมเป็นงานส่วนตัว มาทำค้าขายโดยปราศจากความร่ำรวย สะสมทรัพย์สิน อย่างนี้เป็นตังดึงไปสู่อบายภูมิ ความชั่วกำลังใจอีกอันหนึ่งที่เป็นรากเหง้าของความชั่วเช่นเดียวกันนั่นก็ คือ โมหะ ความหลง หลงว่าเราดี หลงว่าเราประเสริฐ หลงว่าเราเป็นผู้เลิศดีกว่าใคร ๆ ทั้งหมด แต่ถ้าความหลงประเภทนี้มีขึ้นดูอย่าง พระเทวทัต แต่ว่าสันดานคนชั่วย่อมไม่รู้ตัวอยู่เสมอ ขอทุกท่านจงอย่าทำใจเป็น อลัชชี ไม่มีความอายต่อความชั่ว เราจงพากันมี หิริ ความละอายต่อความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วที่จะทำให้เราเดือดร้อน ความเดือดร้อนต้องมีแน่สำหรับคนชั่ว มันหนีไปไม่พ้น แล้วเราก็มานั่งดูใจของเราว่ามันชั่วไหมล่ะ สำหรับพระก็ขอแยกรากเหง้าความชั่วไว้เป็น 4 อย่าง คือ (1) ราคะ ความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศอารมณ์อย่างนี้ยังมีอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง รูปสวยไม่ใช่หมายถึงรูปคนเพียงอย่างเดียว รูปสัตว์ รูปวัตถุ ใด ๆก็ตาม เสียงเพราะจะเป็นเสียงคนหรือเสียงดนตรีก็ตาม พระที่ติดในเสียงเพลงเขาไม่เรียกว่าพระ ไม่เรียกว่าพระ เมื่อห่มผ้ากาสาวพัสตร์เขาเรียกว่า สัตว์นรก กลิ่นหอมไม่ว่าหอมอะไรทั้งหมด ถ้าเราติดจิตเราก็ชั่ว รสอาหาร ซึ่งมีรสอร่อยมันเป็นความเลว ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเวลากินให้พิจารณาเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญา เห็นว่าอาหารมาจากธาตุของความสกปรก เราไม่กินเพื่อความอ้วนพี เราไม่กินเพื่อความผ่องใส เราไม่กินเพื่อยังกิเลสให้เกิดขึ้นในใจ กินเพื่อยังอัตภาพให้ทรงอยู่เพื่อปฏิบัติความดี การสัมผัสระหว่างเพศเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ถ้าเราเอาจิตไปจับมันก็ชั่ว ฉะนั้น พระที่มีอาการเกลือกกลั้วกับกามารมณ์ทั้ง 5 ประการ จึงจัดว่ามีอารมณ์จิตชั่วอย่างยิ่ง ฉะนั้น ถ้าหากว่าพระของเรา ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้จงรู้ตัวว่าท่านคือ คนชั่ว ประการที่ 2 ความโลภ อยากจะได้ทรัพย์ได้สินเขามาเพื่อจะ สร้างตนให้มีฐานะ ความโลภย่อมฆ่าคนชั่ว การประกอบอาชีพที่ไม่ตรงกับเพศที่เราทรงอยู่ ซึ่งเป็นอาการของความชั่ว มิจฉาวณิชชา การ ค้าขายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเป็นความชั่วอย่างยิ่ง จัดเป็นลักษณะของความโลภ ขาดความสันโดษเป็นคนชั่ว ถ้าเป็นพระก็พระชั่ว เป็นเณรก็เณรชั่ว ชั่วอย่างนี้ไปไหนเป็นสัตว์ในอบายภูมิ คือ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น ประการที่ 3 ถ้าความโกรธ ความพยาบาท ความระแวงสงสัย ในบุคคลอื่นว่าจะเป็นศัตรูกับเรา ความจริงพระพุทธเจ้าให้วางเสีย ถ้าเราดีแล้วใครเขาจะมาเป็นศัตรูกับเรา การระแวงสงสัยบุคคลอื่นว่าจะเป็นศัตรูนี่เป็นอารมณ์ของความชั่วเพราะตัวไม่ ดี ถ้าเราดีแล้วเราจะวิตกกังวลอะไรกับบุคคลอื่น ที่จะมาว่าเราชั่ว จงพยายามดูตัวว่าเราปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า เราปฏิบัติตามระเบียบหรือเปล่า เราฝ่าฝืนอะไรบ้าง ถ้าเราฝ่าฝืนก็แสดงว่าเราเลว จะไปโทษคนอื่นเขาได้อย่างไร ถ้าเราดีเสียทุกอย่างมีพระธรรมวินัยครบถ้วน อยู่ในระเบียบ มีจิตทรงสมาธิเป็นฌานสมาบัติ มีวิปัสสนาญาณแจ่มใสมันจะชั่วตรงไหน ในเมื่อใจของเราไม่ชั่ว วาจามันก็ไม่ชั่ว กายมันก็ไม่ชั่ว ความสำคัญในตัวเรามันอยู่ที่ใจอย่างเดียว ที่พูดให้ฟังอย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่วัด ก็มีโอกาสที่จะทราบจริยาของท่านที่อยู่ที่วัด หากว่าท่านผู้ใดชั่วตามนี้ จงรีบพิจารณาตัวเองว่าควรจะอยู่หรือควรจะไป เพราะอะไร เพราะว่าลักษณะของความชั่ว อาการของความชั่วที่เราพูดกันมาแล้วว่าไม่มีใครต้องการ ถ้าโอกาสนี้มาถึงท่านเมื่อใด ขอได้โปรดทราบ จงทราบว่าท่านชั่วจนเกินกว่าที่เราจะต้องการเอาไว้ในสำนัก อย่าไปหาอำนาจภายนอกเข้ามา ไม่มีใครเขายอมรับอำนาจใด ๆ ทั้งหมด ที่พูดนี่ไม่ได้ด่าใคร ไม่ได้ว่าใคร แนะนำให้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อย่าง พระวักกาลิ เมื่ออยู่กับพระพุทธเจ้าไม่สนใจในธรรมปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสวัสดิ์โสภาคย์ก็ทรงขับ พระฉันนะ ซึ่งเป็นสหชาติของพระพุทธเจ้า เป็นคนหัวแข็งไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัย องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงให้พระเลิกคบค้าสมาคม คือลง พรหมทัณฑ์ สำหรับสำนักของเราไม่อนุญาตให้มีการมั่วสุมซึ่งกันและกัน ไม่ให้เข้าห้องของบุคคลอื่น อันนี้เรามีอยู่แล้ว ถ้าหากว่ามีพระท่านใด พระบางองค์หรือส่วนใหญ่เขาไม่คุยด้วย เขาไม่คบค้าสมาคมด้วย ต่างองค์ต่างอยู่ในตามเฉพาะในกิจของเขา อย่างนี้อย่าพึงว่าเขาเป็นผู้ประทุษร้าย เพราะว่าเขาปฏิบัติตามระเบียบวินัยและกฎข้อบังคับ สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ใช่สำนักคุยกัน ไม่ใช่สำนักมั่วสุมซึ่งกันและกัน คนที่ชอบคุย คนที่ชอบมั่วสุม คนที่ชอบพูดปรารภเรื่องของบุคคลอื่นเป็นคนเลวที่สุด ซึ่งไม่มีใครต้องการ ผมเองก็ไม่ต้องการ _เป็นอันว่าอารมณ์จิตอย่างนี้ ขอทุกท่าน ที่เป็นพระใหม่ก็ดี เป็นพระเก่าก็ดี จงอย่าทำเพราะมันเป็นความชั่ว พระเก่าถ้าชั่วก็พาให้พระใหม่ชั่วไปด้วย ฉะนั้น ขอพระเก่าก็ดี พระใหม่ก็ดี จงอย่าคลุกคลีกับความชั่ว ถ้าใครเขาทำตัวผิดจากระเบียบวินัย พระธรรมวินัยก็ดี ระเบียบข้อบังคับก็ดี จงพยายามเอาตัวออกห่างเสีย มิฉะนั้นท่านจะชั่วหรือเดือดร้อนด้วย เพราะว่าอะไร ถ้าถูกขับเขาก็ขับท่านด้วย ถูกลงโทษเขาก็ลงโทษท่านด้วย ถูกปราบปรามเขาก็ปราบปรามท่านด้วย ถ้าถูกจับกุมเขาก็จับกุมท่านด้วย เพราะอะไร เพราะว่าเวลานี้วัดเราอยู่ในเขตของการเพ่งเล็งของเจ้าหน้าที่ โดยที่เจ้าหน้าที่คิดว่าบุคคลผู้คิดจะทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย มีอยู่ในขอบเขตของเรา นี่ผมได้ยินข่าวมาเสมอ ต่อนี้ไปถ้าจิตใจของเราจะทรงความดีเราจะทำยังไง เลี้ยวเข้ามาหากรรมฐานที่เราเรียนกันแล้วเรียนกันอีก ที่ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ก็เพราะว่ามีสันดานไม่จำ เป็นความเลวของสันดาน นั่นก็คือบทต้นที่สุดที่เราสอนกันว่า จงทรงอารมณ์อยู่ใน อาณาปานุสสติกรรมฐาน พยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้าใช้คำภาวนาก็ใช้คำว่า พุทโธ ทรงอารมณ์ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าเป็นพระเก่ามีกำลังใจดี ถ้ามีความเข้มแข็งก็จะสามารถได้ ทิพจักขุญาณ ถ้าหากว่าวิสัยทิพจักขุญาณไม่มี ถ้าเราทรงอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปกติ เพียงแค่อย่างเลวเดือนเดียว อย่างเลวที่สุด 3 เดือน จิตเราก็ทรงก็ทรงฌาน คนที่มีจิตทรงฌานเขามีอารมณ์สงบ ไม่มีความฟุ้งซ่าน ไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่มีความรักในระหว่างเพศ ไม่มีความโลภในทรัพย์สิน ไม่มีการอิจฉาริษยา ไม่ระแวงบุคคลอื่นใดว่าจะเป็นศัตรูกับเรา ไม่มีความมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นี่จิตเพียงเท่านี้ ขอท่านจงพยายามทำให้ได้ มันก็ไม่ยากนัก ดูตัวอย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความจริงพวกเรานี่ น่าจะให้พระเจ้าอยู่หัวท่านมาเอาอย่างเรา แต่ว่าขอเตือนว่า ขอให้ทุกท่านจงเอาอย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชภารกิจมากยากต่อการปฏิบัติ ให้มีการทรงตัวในด้านสมาธิ แต่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงสมาธิได้ดี สามารถเข้าฌานออกฌานได้ทุกอย่าง ครั้งที่แล้วพระองค์ทรงให้ผมบันทึกเสียงถวายไป ผมนั่งอยู่ชายทะเล ผมก็ใช้คลื่นทะเลเป็นกรรมฐาน เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับฟังแล้ว เมื่อ 14 เมษายน พึ่งได้มีการเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสว่า "ผมชอบเหลือเกิน เพราะว่าคลื่นทะเลนี่ ผมใช้เป็นกรรมฐานมาตลอดเวลา ที่รู้จักคลื่นทะเลเป็นกรรมฐาน ก็เพราะว่าเล่นเรือใบ" นี่เป็นจุดหนึ่งที่ความเข้าถึงความดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่นี่ก็จะขอพูดให้ฟัง เวลาเหลืออีก 5 นาที ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญสมาธิ จิตมีอารมณ์ทรงได้ดี ท่านทำยังไง ท่านทำแบบนี้ เวลาที่ท่านจะภาวนาท่านก็เอาจริงเอาจัง เอาจิตทรงตัว และเวลาจิตฟุ้งซ่าน ท่านก็ดูพระพุทธรูป ลืมตาดู คิดว่าพระพุทธรูปนี่เขาทำด้วยอะไร สีอะไร เอาใจไปอยู่ที่พระพุทธรูปเป็น พุทธานุสสติ นี่พูดตอนนี้เพราะว่า พระองค์ตรัสกับ พระเทพรัตนราชสุดา เมื่อปีที่แล้ว ผมกำลังเฝ้าท่านอยู่ ตรัสตามนี้ และประการที่ 2 พระองค์ตรัสว่า เวลาที่ผมเดินเล่น ถ้าผมต้องการเดิน 1 ชั่วโมงนี่ ผมสะพายเทปเดินไปด้วย ผมก็เดินแล้วผมก็ตั้งใจฟังเสียงจากเทป เอาจิตจับเฉพาะเสียงเทป เสียงอื่นผมไม่สนใจ ต้องการเดิน 1 ชั่วโมง ก็ฟังสองหน้า ต้องการเดิน 2 ชั่วโมง ก็ฟังสี่หน้า จิตจับอยู่เฉพาะในเทป เมื่อยามว่างจากกิจการงานอื่น ก็เปิดเทปในห้อง ฟังเสียงเทปแล้วก็คิดตาม เวลาที่จะทรงบรรทมก็จะฟังเทปจนหลับไป แต่บางครั้งฟังแล้วบังคับไม่ให้หลับมันก็ไม่หลับ บางทีฟังแล้วต้องการให้หลับฟังยังไม่ถึงเทปมันก็หลับ แสดงว่าพระองค์ทรงควบคุมกำลังใจได้ดี จริยาแบบนี้ ผมขอแนะนำให้ท่านทั้งหลาย จะเป็นพระใหม่หรือพระเก่าก็ตาม คนใหม่หรือคนเก่าก็ตาม จงสนใจและปฏิบัติเยี่ยงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยามว่างต้องการสงัด จับอารมณ์หายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออก โธ เพียงเท่านี้ แต่ถ้าหากถ้าจิตจับทรงสมาธิไม่อยู่ ก็ฟังเสียงเทป ชอบเทปอะไรก็ฟังอย่างนั้น ฟังมาฟังไป ฟังซ้ำ ๆ ให้ขึ้นใจ หรือใช้ปัญญาพิจารณาตามไปด้วย อย่างนี้จะช่วยให้เราอยู่ในขอบเขตพระวินัย อยู่ในขอบเขตของระเบียบ มีจิตทรงอารมณ์ของกุศลอยู่ตลอดเวลา ถ้าอารมณ์จิตทรงกุศลอยู่ตลอดเวลาก็ชื่อว่าเราเป็นคนดี เราเป็นเณรดี เราเป็นพระดี ความจุ้นจ้านไปห้องคนอื่นมันก็ไม่มี ความอยากดี อยากเด่น อยากประเสริฐมันก็ไม่มี ถ้าหากว่าจิตของเราทำได้อย่างนี้ จงจำไว้ว่า ตานี้เราจะลองฟังดู เวลาเรานอนไปเทปหนึ่งหน้าเราไม่ยอมให้หลับเราก็ไม่หลับ จิตจับอยู่เฉพาะที่เสียง เวลาฟังเสียงเทป จงเอาจิตจับที่เสียงทุกคำพูด อย่าให้ทุกคำพูดในเสียงนั้นคลาดจากหู หรือความรู้จากจิต จิตจับไว้เสมอ ต่อมาเมื่อเสียงนั้นชินฟังจนจำได้ ฟังหลาย ๆ หนก็ใช้ปัญญาพิจารณาตามไปในด้านของวิปัสสนาญาณ เพียงเท่านี้แหละ บรรดาท่านพระโยคาวจรทุกท่าน อารมณ์ของท่านจะทรงตัวได้ดีภายใน 1 เดือน หลังจากนั้น อารมณ์ฌานจะปรากฏประกอบไปด้วยปัญญา และความชั่วของท่านมันก็จะไม่มี ที่เรายังมีความชั่วติดอยู่ในใจ ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร เพราะว่าสันดานเรามันเลว ฟังแล้วได้ยินก็ฟังเหมือนไม่ได้ยิน เห็นแล้วทำเหมือนไม่เห็น ไม่รู้จักดูสภาวะของตัว ว่าตัวมีสภาพเช่นไร เอาล่ะ วันนี้ก็ขอยุติลงไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพระโยคาวจรทุกท่าน จงพากันตั้งกายให้ตรง ดำรงติดให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก สำหรับพระใหม่ เวลาหายใจเข้าให้นึกว่า พุธ แล้วหายใจออกให้นึกว่า โธ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านจะเห็นว่าสมควรจะเลิก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lplursir.jpg
      lplursir.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.3 KB
      เปิดดู:
      117
  7. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    คนที่จะฝึกสำเร็จต้องประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้เรื่อง มีจรณะ15ครบ ถือว่าอิทธิบาท4และบารมี10ครบถ้วนด้วย
    "ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถทรงได้ฌานที่หนึ่งก็ดี ฌานที่สองก็ดี ฌานที่สามก็ดี ถึงฌานที่สี่ยิ่งดีมาก แล้วเวลาเช้ามืด เช้ามืดนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าตอนเช้ามืดจิตของท่านทรงฌานได้ ปล่อยให้อารมณ์แนบสนิท ตามที่กำลังจะทรงได้ นั้นก็หมายความว่า จรณะทั้ง ๑๕ ข้อ คือ หนึ่ง สีลสัมปทา ท่านก็จะเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ บริสุทธิ์ ศีลไม่บกพร่อง อินทรียสังวร การสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ดีทั้งหมด เพราะใจมันทรงตัวในด้านกุศล ตาไม่เสีย หูไม่เสีย จมูกไม่เสีย เป็นต้น โภชเนมัตตัญญุตา การรู้จักประมาณในการบริโภค ผู้ทรงฌานนี่ฉันอาหารไม่มากนัก ถ้ายังไม่ถึงอย่าไปลดอาหารมันนะ ปล่อยมันตามสบาย เพราะอาการทางใจมันอิ่ม เรื่องรสอาหารไม่มีการยุ่ง พิจารณาอยู่เสมอว่า เรากินเพื่อทรงอยู่ เพื่อความหลงไม่มี ชาคริยานุโยค ก็เป็นผู้มีสติสมบูรณ์เหมือนคนตื่นอยู่ ศรัทธา ความเชื่อในพระพุทธเจ้ามีสมบูรณ์แบบไม่บกพร่อง ความละอายต่อบาปคือ หิริ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่วมีอยู่ พาหุสัจจะ ความทรงจำของผู้มีสมาธิดี จะมีอยู่เป็นปกติ วิริยะความเพียรก็จะทรงตัว สติ ก็จะทรงอยู่เสมอ ปัญญา จะรอบรู้เพราะปัญญานี่ ถ้าจะเกิดได้ก็เพราะอาศัยกำลังของสมาธิเป็นสำคัญ
    เป็นอันว่าเมื่อบรรดาท่านพระโยคาวจรทุกท่านสามารถทรงฌานได้ จะเป็นฌานแบบไหนก็ตาม แล้วจิตของท่านไม่ละเมิด ไม่ละทิ้งในฌานในยามเช้ามืด เป็นอันว่าจรณะทั้ง ๑๕ ประการจะสมบูรณ์แบบ ก็เป็นเหมือนว่า ท่านเป็นผู้ทรงอิทธิบาท ๔ ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วก็สามารถจะทรงความดีในบารมี ๑๐ ประการได้ครบถ้วน"
    คำสอน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    จรณะ หมายถึง ความประพฤติอันงดงาม มี 15 ประการ ได้แก่
    1.ศีลสังวร คือ ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์
    2.อินทรีย์สังวร คือ ความสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    3.โภชเนมัตตัญญุตา คือ ความรู้จักประมาณในการบริโภค
    4.ชาคริยานุโยค คือ การประกอบความเพียรที่ทำให้เป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ
    5.ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่น
    6.สติ คือ ความระลึกได้
    7.หิริ คือ ความละอายบาป
    8.โอตตัปปะคือ ความกลัวบาป
    9.พาหุสัจจะ คือความเป็นผู้ได้สดับมาก ( พหูสูต )
    10.อุปักกะโม คือ เว้นจากพยายามเพื่อฆ่า และพยายามเพื่อลัก
    11.ปัญญาและ รวมรูปฌาน 4 รวมเป็น 15สิ่ง เหล่านี้แสดงถึงว่า พระพุทธองค์ทรงมีศีลาจารวัตรที่งดงาม ทรงประพฤติปฏิบัติจรณะทั้ง 15 ประการมามากมายหลายภพหลายชาติ จึงทำให้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะจรณะทั้ง 15 ประการ เป็นพื้นฐานที่ทำให้พระองค์มีความหนักแน่น มั่นคงอย่างต่อเนื่องในการสร้างบารมี จนกระทั่งบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณตามความปรารถนาที่ตั้งใจไว้
    เพราะฉะนั้น คำว่า วิชชาจรณสัมปันโน จึง หมายความว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เพราะพระองค์ทรงประพฤติปฏิบัติจรณะทั้ง 15 ประการมาหลายภพหลายชาติ จึงทำให้พระองค์มีวิชชาที่รู้ในสิ่งที่สามารถกำจัดความมืด คือ อวิชชา และบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ด้วยพระองค์เอง
    บารมี ๑๐ ธรรมเครื่องบำรุงวิปัสสนาญาณ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    นักเจริญวิปัสสนาญาณที่หวังผลจริง ไม่ใช่นักวิปัสสนาทำเพื่อโฆษณาตัวเองแล้ว ท่านว่าต้องเป็นผู้ปรับปรุงบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วนด้วย ถ้าบารมี ๑๐ ยังไม่ครบถ้วนเพียงใด ผลในการเจริญวิปัสสนาญาณจะไม่มีผลสมบูรณ์
    บารมี ๑๐
    บุคคลที่ทำลายพระศาสนา


    เป็นนิสัย ไม่ควรมีในหมู่พุทธศาสนิกชน เพราะเป็นการดูแคลนพระพุทธศาสนาเกินไป พูดกันตรง ๆ ก็ว่า ไม่มีความเชื่อถือจริง และไม่ใช่นักปฏิบัติจริง ปฏิบัติตามเขา พอได้ชื่อว่าฉันก็ปฏิบัติวิปัสสนา คนประเภทนี้แหละที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรม เพราะทำไปไม่นานก็เลิก แล้วก็เอาความไม่จริงไม่จังของตนเองนี่แหละไปโฆษณา บอกว่าฉันปฏิบัตินานแล้ว ไม่เห็นมีอะไรปรากฏ เป็นการทำลายพระศาสนาโดยตรง

    ฉะนั้นนักปฏิบัติแล้ว ควรตั้งใจจริงเพื่อมรรคผล ถ้ารู้ตัวว่าจะไม่เอาจริง ก็อย่าเข้ามายุ่งทำให้ศาสนาเสื่อมทรามเลย ต่อไปนี้จะพูดถึงนักปฏิบัติที่เอาจริง

    ก่อนพิจารณาวิปัสสนา

    ทุกครั้งที่จะเจริญวิปัสสนา ท่านให้เข้าฌานตามกำลังสมาธิที่ได้เสียก่อน เข้าฌานให้ถึงที่สุดของสมาธิ ถ้าเป็นฌานที่ ๔ ได้ยิ่งดี ถ้าได้สมาธิ ๆ ไม่ถึงฌาน ๔ ก็ให้เข้าฌาน จนเต็มกำลังสมาธิที่ได้

    เมื่ออยู่ในฌานจนจิตสงัดดีแล้ว ค่อย ๆ คลายสมาธิมาหยุดอยู่ที่อุปจารฌาน แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณทีละขั้น อย่าละโมบโลภมาก ทำทีละขั้น ๆ นั้น จนเกิดเป็นอารมณ์ประจำใจ ไม่หวั่นไหวเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ไม่กำเริบแล้ว จึงค่อยเลื่อนไปฌานต่อไปเป็นลำดับ

    ทุกฌานปฏิบัติอย่างเดียวกัน ทำอย่างนี้จะได้รับผลแน่นอน ผลที่ได้ต้องมีการทดสอบจากอารมณ์จริงเสมอ อย่านึกคิดเอาเองว่าได้ เมื่อยังไม่ผ่านการกระทบจริง ต้องผ่านการกระทบจริงก่อน ไม่กำเริบแล้วเป็นอันใช้ได้

    ธรรมเครื่องบำรุงวิปัสสนาญาณ

    นักเจริญวิปัสสนาญาณที่หวังผลจริง ไม่ใช่นักวิปัสสนาทำเพื่อโฆษณาตัวเองแล้ว ท่านว่าต้องเป็นผู้ปรับปรุงบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วนด้วย ถ้าบารมี ๑๐ ยังไม่ครบถ้วนเพียงใด ผลในการเจริญวิปัสสนาญาณจะไม่มีผลสมบูรณ์

    บารมี ๑๐ นั้น มีดังต่อไปนี้

    ๑.ทาน

    คือ การให้ ต้องมีอารมณ์ใคร่ต่อการให้ทานเป็นปกติ ให้เพื่อสงเคราะห์ ไม่ให้เพื่อผลตอบแทน ให้ไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ และความสมบูรณ์ เต็มใจในการให้ทาน เป็นปกติ ไม่มีอารมณ์ไหวหวั่นในการให้ทาน

    ๒.ศีล

    รักษาศีล ๕ เป็นปกติ ศีลไม่บกพร่อง และรักษาแบบอุกฤษฏ์ คือ ไม่ทำศีลให้ขาดหรือด่างพร้อยเอง ไม่ยุคนอื่นให้ละเมิดศีล ไม่ดีใจเมื่อคนอื่นละเมิดศีล

    ๓.เนกขัมมะ

    การถือบวช คือ ถือพรหมจรรย์ ถ้าเป็นนักบวช ก็ต้องถือสิกขาบทอย่างเคร่งครัด ถ้าเป็นฆราวาส ต้องเคร่งครัดในการระงับอารมณ์ที่เป็นทางของนิวรณ์ ๕ คือ ทรงฌานเป็นปกติ อย่างต่ำก็ปฐมฌาน

    ๔.ปัญญา

    มีความคิดรู้เท่าทันสภาวะของกฎธรรมดา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปกติ

    ๕.วิริยะ

    มีความเพียรเป็นปกติ ไม่ท้อถอยในการปฏิบัติเพื่อมรรคผล

    ๖.ขันติ

    อดทนต่อความยากลำบาก ในการฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ อดกลั้น ไม่หวั่นไหว จนมีอารมณ์อดกลั้นเป็นปกติ ไม่หนักใจเมื่อต้องอดทน

    ๗.สัจจะ

    มีความจริงใจ ไม่ละทิ้งกิจการงานในการปฏิบัติความดีเพื่อมรรคผล

    ๘.อธิษฐาน

    ความตั้งใจ ความตั้งใจใด ๆ ที่ตั้งใจไว้ เช่น สมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เข้าไปนั่งที่โคนต้นโพธิ์ พระองค์ทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้ แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป หรือชีวิตจะตักษัยคือสิ้นลมปราณก็ตามที พระองค์ทรงอธิษฐานเอาชีวิตเข้าแลก แล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุในคืนนั้น

    การปฏิบัติต้องมีความมั่นใจอย่างนี้ ถ้าลงเอาชีวิตเป็นเดิมพันแล้วสำเร็จทุกราย และไม่ยากเสียด้วย ใช้เวลาก็ไม่นาน

    ๙.เมตตา

    มีความเมตตาปรานีไม่เลือก คน สัตว์ ฐานะ ชาติตระกูล มีอารมณ์เป็นเมตตาตลอดวันคืนเป็นปกติ ไม่ใช่บางวันดีบางวันร้าย อย่างนี้ไม่มีหวัง

    ๑๐.อุเบกขา

    ความวางเฉยต่ออารมณ์ที่ถูกใจ และอารมณ์ที่ขัดใจ อารมณ์ที่ถูกใจรับแล้วก็ทราบว่า ไม่ช้าอาการอย่างนี้ก็หมดไป ไม่มีอะไรน่ายึดถือ พบอารมณ์ที่ขัดใจก็ปลงตกว่า เรื่องอย่างนี้มันธรรมดาของโลกแท้ ๆ เฉยได้ทั้งสองอย่าง

    บารมี ๑๐ นี้ มีความสำคัญมาก ถ้านักปฏิบัติบกพร่องในบารมี ๑๐ นี้ แม้อย่างเดียว วิปัสสนาญาณก็มีผลสมบูรณ์ไม่ได้

    ที่ว่าเจริญกันมา ๑๐ปี ๒๐ ปี ไม่ได้อะไรนั้น ก็เพราะเป็นผู้บกพร่องในบารมี ๑๐ นี่เอง ถ้าบารมี ๑๐ ครบถ้วนแล้ว ผลการปฏิบัติเขานับวันสำเร็จกัน ไม่ใช่นับเดือนนับปี

    ฉะนั้น ท่านนักปฏิบัติเพื่อมรรคผลต้องสนใจปฏิบัติในบารมี ๑๐ นี้ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ
     
  9. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    พรุ่งนี้วันพระ เพื่อนบอกมาจะได้เตรียมดอกไม้บูชาพระที่บ้านค่ะ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 6 มีนาคม 2559 เวลา 23.20-23.55น.
    สวดมนต์บทไตรสรณคม พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอขมาพระรัตนตรัย สมาทานพระกรรมฐาน ปฏิบัติตามเเบบทุกคืนที่ผ่านมาเเต่คืนนี้ง่วงนอน สิ่งที่ลืมไม่ได้อีกอย่างในชีวิตประจำวันคือวิปัสนาญาณอย่างง่ายๆคือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเเละทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อย่าเห็นว่าชีวิตเกิดมามีความสุข. ถ้าคิดเเบบนี้อาจตกนรกเคยฟังจากเทศน์หลวงพ่อมา ให้ระลึกเสมอว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ โลกนี้ไม่ได้สวยสดงดงามเพราะมีสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เเม้เเต่ร่างกายคนสัตว์ก็เช่นกัน
     
  11. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันนี้วันพระ เตรียมถวายดอกไม้เเละจัดเครื่องบูชาครูอาจารย์สืบๆกันมามีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม เเละพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย หลวงพ่อปานวัดบางนมโคเเละพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด อันนี้ภาพอัดกรอบตั้งเเต่งานเป่ายันต์เกราะเพชรวัดท่าซุง 4 ก.ค. 2535ค่ะ ตอนนี้เหลือเเค่กรอบรูปไว้ระลึกถึงหลวงพ่อเเละสมเด็จองค์ปฐม ส่วนพระธาตุต่างๆก็ปัดฝุ่นตลับ เช็ดทำความสะอาดอย่างดี จัดใหม่ให้เป็นระเบียบค่ะ วันนี้จะเริ่มการสวดคาถาเงินล้านวันละ108 จบทุกวันโดยใช้สร้อยประคำเหล็กน้ำพี้ ได้มาจากพ่อเพราะท่านเอามาจากเเฟนของอาที่เสียชีวิต คงได้อานิสงค์มากอยู่คนที่
    เสียชีวิตไปเเล้วเพราะดิฉันเคยเอามาสวดคาถาเงินล้านตั้งเเต่ปีที่เเล้วเเต่ไม่ได้ท่องทุกวัน เเละฝึกอิทธิวิธีวันละ 2 ถึง 3 ชั่วโมง
    สิ่งที่น่าจะขาดไม่ได้สำหรับการฝึกสะเดาะกุญเเจเเละอิทธิวิธี ต่อไปนี้จะพยายามจัดทุกวัน
    1.ดอกไม้ 5 สี 2.ธูป 5 ดอก 3.เทียนขาว5เล่ม 4.เงินเหรียญเช่น 25 สตางค์,50 สตางค์,1บาท เพื่อหยอดในกระปุกรูปบาตร เงินที่เหลือก็จะไปถวายสังฆทาน
    ส่วนมโนยิทธิเเละญาณ8 จะเป็นดอกไม้ 3 สี, ธูป 3 ดอก, เทียนขาวหนัก1บาท ,เงินเหรียญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2016
  12. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 8 มีนาคม 2559 เวลา6.10-8.00 น.
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอขมาพระรัตนตรัย ภาวนาคาถาเงินล้าน 62 จบ โดยใช้ลูกประคำ สรุปคือเช้านี้เจริญกรรมฐานควบคาถาเงินล้านได้เกือบ3ชั่วโมงค่ะ. อุทิศส่วนกุศลตามเเบบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม จ.อุทัยธานีค่ะ อันนี้เป็นวิธีที่ดิฉันใช้มานานค่ะ

    ผลของการเจริญจนถึงฌานอย่างนี้ มีผลในปัจจุบันมากมายคือ
    ๑. ลาภเกิดมากมาย
    ๒. ผลทานเป็นเหตุให้เกิดความรักแก่ผู้ที่ได้รับ และเป็นผลในการตัดโลภกิเลส
    ๓. ผลของศีลทำให้เป็นคนน่ารัก และเป็นที่เคารพนับถือ
    ๔. ฌาน ทำให้อารมณ์ผ่องใสไม่ขุ่นมัว มีหน้าและใจแจ่มใสอยู่เสมอ และฌานนี้จะบันดาลให้ได้ทิพจักขุญาณ รู้เห็นภาพที่เป็นทิพย์
    เช่น สวรรค์ นรก เป็นต้น
    ๕. สามารถเปลื้องความเคลือบแคลงสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียได้ ตัดความเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างเด็ดขาด และเป็นกำลัง
    ของวิปัสสนาญาณ เป็นเหตุให้รู้แจ้งเห็นจริงได้ตามที่นักบุญทั้งหลายต้องการ

    เป็นอันว่า พระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ย่อมให้ผลสองประการ คือ
    ๑. ให้ผลร่ำรวยในโลกนี้ และเป็นที่รักที่เคารพของคนทั่วไป
    ๒. ให้ผลในชาติต่อไป ด้วยอำนาจทานทำให้ร่ำรวยศีลทำให้รูปสวย และอายุยืน ฌานทำให้ได้เกิดในพรหมโลก และเป็นปัจจัยแก่
    พระนิพพาน จัดว่าเป็นพระคาถาที่ให้ผลเป็นพิเศษที่หาได้ยาก

    ที่มา:จากหนังสือคาถาพระปัจเจกโพธิ์โปรดสัตว์ พระคาถาแก้จน พระคาถาเงินล้าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2016
  13. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ถาม : หลวงพ่อฤๅษีท่านเล่าให้ฟังเรื่องหลวงพี่อสุ่นวัดบางปลาหมอ เวลาท่านสร้างพระอุโบสถท่านเสกใบไม้ให้เป็นปลาแล้วให้คนงานอยากจะเรียนถามว่าการเสกใบไม้ให้เป็นปลานี้ใช้กรรมฐานกองไหน
    ตอบ : อันนี้ต้องเป็นกสิณสิบ ถ้ากสิณสิบชำนาญนี่อธิษฐานธาตุสี่เท่านั้นเอง มันจะปรับธาตุให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าถามว่าใช้กรรมฐานกองใด อย่างน้อย ๆ คุณต้องชำนาญกสิณแล้ว ถ้าไม่งั้นไม่ได้รับประทานแน่ ปลาตัวเดียวก็ไม่ได้หรอก

    ที่มา:krathon book ฉบับที่14 หน้า 2 ผู้ตอบคำถาม พระอาจารย์เล็ก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2016
  14. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 8 มีนาคม 2559 เวลา 20.50 ลืมดูนาฬิกาว่าปฏิบัติถึงกี่ทุ่ม
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สมาทานกรรมฐาน ฝึกเข้าออกสมาธิ ตามที่พระท่านมาสอนเเละเป่ากุญเเจ รู้สึกง่วงจึงนอนพัก
    วันที่ 9 มีนาคม 2559 เวลา 01.50-02.35 น.
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ อิติปิโสสามห้อง ขอขมาพระรัตนตรัย ภาวนาคาถาเงินล้านได้ครึ่งชั่วโมงน่าจะประมาณ15จบ ปวดหลังจึงนอนภาวนาต่ออีกสองจบเเล้วตัดหลับไปเองโดยอัตโนมัติ
    เวลา 06.15 สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ อิติปิโสสามห้อง ขอขมาพระรัตนตรัย สมาทานพระกรรมฐาน ภาวนาคาถาเงินล้าน 62 จบ อุทิศส่วนกุศลเเบบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม จ.อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2016
  15. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    อยากสอบถามครับ
    1. ตัวผมเคยภาวนานะมะพะทะ ก่อนนอนแล้วหัวใจเต้นแรงมากๆและรู้สึกว่าตัวสั่นสะเทือนมากยังกะแผ่นดินไหว อาการแบบนี้คืออะไรหรือครับ

    2. บางครั้งผมภาวนา หรือ นึกถึงความดีของพระรัตนตรัย แต่บางครั้งอาการปรามาสก็เกิดขึ้นในจิต พี่เคยเจออาการแบบผมเปล่าครั้บ ถ้าเจอแก้ยังไงเหรอครับ

    2.1พออาการแบบนี้เกิดขึ้น ผมก็ขอขมา แต่บางครั้งผมวิตกกังวลว่าความคิดปรามาสพระอาจจะเข้ามาในจิต เวลานึกถึงความดีของพระรัตนตรัย์ เลยไม่กล้านึกถึง เลยเจริญอานาปานุสติแทน

    2.2 พี่พิจารณาตัดขันธ์5 ตัวสัญญา หรือ ภาษาไทยแปลว่า ความคิดได้ไงหรือครับ

    และอยากขอยืนยัน ว่า ฌานสมาบัติ1 เนี่ยสุขมากๆ สุขกว่ากามสุข ทั้งหลาย
    แต่ก็อย่ายึดละกันตามที่ ท่านได้กล่าวมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2016
  16. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ตอบ คืออานิสงค์ของรูปฌาณที่1ถึง4 มีอานิสงค์ค่ะ คือถ้าจะปฏิบัติเพื่อเป็นพระอริยเจ้าขั้นพระอรหันต์ต้องไม่หลงทั้งในรูปฌาณเเละอรูปฌาณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2016
  17. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ในยุคของเรา ถ้าหากว่าคนยอมรับกฎของกรรมมากกว่านี้หน่อยเดียวเท่านั้นเอง อภิญญาจะปรากฏออกมาอีกเยอะ เพราะอภิญญาสามารถทำอะไรก็ได้ เกินกว่าคนทั่ว ๆ ไปมาก ถ้าหากไม่ยอมรับกฎของกรรมจะทำเขาวุ่นไปหมด ก็เลยรออยู่นิดเดียว ถ้าหากกำลังใจยอมรับกฎของกรรมเมื่อไร กำลังอภิญญาก็จะนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่
    สมัยเด็ก ๆ มี หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง จ.พิษณุโลก ท่านสามารถทำได้สารพัดเลย คนไปฟ้องร้องจะปรับอาบัติปาราชิกท่าน ปาราชิกที่ขาดจากความเป็นพระนั้น จะต้องบอกอุตริที่ไม่มีมนุษธรรมในตน แต่คราวนี้ของท่านทำได้จริง ๆ ก็เดือดร้อนจนกระทั่ง พันเอกปิ่น มุทุกัณฑ์ อธิบดีกรมศาสนาช่วงนั้น ท่านเดินทางไปดูด้วยตัวเอง แล้วก็กลับมาเขียนรายงานว่า หลวงพ่อยีท่านทำได้จริง ปรับท่านไม่ได้ พันเอกปิ่น มุทุกัณฑ์ ท่านรู้จริง เพราะตัวท่านเองเคยบวชและศึกษาเรื่องพวกนี้มาลึกซึ้งมาก
    ถาม : ท่านทำอะไรได้บ้าง ?
    ตอบ : สารพัดอภิญญาเลย เช่น บิณฑบาตข้าวเทวดามาเลี้ยงลูกศิษย์ก็มี ชาวบ้านคนไหนสงสัยก็ไปเอามาให้กินซึ่ง ๆ หน้า มีสมบัติใต้ดินอยู่ตรงไหนท่านก็ไปล้อมสายสิญจน์วง ๆ ไว้แล้วก็ขุดขึ้นมาหน้าตาเฉยเลย เอาเหรียญบาทเป็นโลหะแท้ ๆ มาดึงยึดออกเหมือนกับยืดหมากฝรั่งอย่างนั้น นั่นจริง ๆ ก็แค่กสิณน้ำ

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    หลวงปู่เทพโลกอุดร... มหาเถระเจ้าผู้ทรงอภิญญา เหนือโลกสามัญ
    เรื่องราวของหลวงปู่ใหญ่โลกอุดรนั้น เป็นที่กล่าวถึงในหมู่นักปฏิบัติทั้งหลายมีพระเถระทรงคุณวุฒิหลายท่าน ที่ยืนยันตรงกันว่าเคยเห็นหลวงปู่ใหญ่ ได้สัมผัส ได้รับการสั่งสอนพระกรรมฐานจากองค์หลวงปู่โดยพิสดาร เป็นที่กล่าวกันอีกว่า"แม้ผู้ใดได้เป็นศิษย์ทั้งหลายผู้นั้นจะเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์เหนือโลกเหนือสามัญชนคนทั้งหลาย" แต่ว่าผู้จะได้กราบได้เป็นสัมผัสบารมีหรือได้เป็นศิษย์ของท่านนั้นต้องสั่งสมบารมีธรรมมาแต่ปุเรนชาติ จึงมีวาสนาได้กราบไหว้หรือเป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร
    ทั้งนี้ดังมีเรื่องราวของหลวงพ่อยี แห่งวัดดงตาก้อนทอง ซึ่งได้พบพระธุดงค์ลึกลับและได้ฝากตัวเป็นศิษย์ฝึกฝน สมาธิ ฌาน จนมีพลังจิตกล้าแข็งสามารถเล่นแร่แปรธาตุเสกสิ่งต่างๆให้ขลังมีอานุภาพสารพัดได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งในภายหลังท่านเจ้าคุณถาวร จิตฺตถาวโร แห่งสวนป่าศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ได้เปิดเผยว่าแท้จริงแล้วหลวงพ่อยีท่านเป็นลูกบุญธรรมของหลวงปู่ใหญ่โลกอุดร หรือพูดง่ายๆก็คือพระลึกลับที่นำตัวเด็กชายยีไปเลี้ยงดูจนกระทั่งสั่งสอนวิชาให้พลังจิตแก่กล้าก็คือหลวงปู่โลกอุดรนั่นเอง
    อย่างไรก็ตามยังเป็นที่สงสัยว่าหลวงปู่โลกอุดรนั้นแท้จริงท่านคือใคร ครูบาอาจารย์หลายท่านยืนยันตรงกันว่าคือพระอุตตรเถระ พระอรหันต์สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ผู้มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เรื่องนี้มิได้กล่าวลอยๆ แต่เป็นคำยืนยันจาก “หลวงปู่โง่น โสรโย” พระอริยะเจ้าผู้ทรงอภิญญาสมาบัติแห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 9 มีนาคม 2559 เวลา 19.35
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ อิติปิโสสามห้อง ขอขมาพระรัตนตรัย
    วันที่ 10 มีนาคม 2559 เวลา 04.50-05.30 น.
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ อิติปิโสสามห้อง ฝึกภาวนา รู้สึกง่วงจึงนอนพัก
     
  19. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 10 มีนาคม 2559 เวลา 22.30
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ อิติปิโสสามห้อง ขอขมาพระรัตนตรัย ภาวนาคาถาเงินล้าน12จบ ภาวนาไปได้ 5 จบคำภาวนาหายทุกรอบพอครบรอบที่12จึงนอนภาวนาเเล้วตัดหลับไปเองอัตโนมัติ
    วันที่ 11มีนาคม 2559 เวลา 01.27-02.00 น.
    สวดมนต์บทไตรสรคมน์ อิติปิโสสามห้อง ขอขมาพระรัตนตรัย ภาวนาคาถาเงินล้าน13จบ รู้สึกปวดหลังจึงนอนภาวนาเเล้วตัดหลับไปเองโดยอัตโนมัติ
     
  20. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 12 มีนาคม 2559 เวลา 04.25-05.00 น.
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ อิติปิโสสามห้อง ขอขมาพระรัตนตรัย ภาวนาคาถาเงินล้าน 13 จบ รู้สึกง่วงเเละปวดหลังจึงนอนพัก
     

แชร์หน้านี้

Loading...