คุณเทอด ใช้เวลาฝึกนานไหมคะ จึงฝึกแยกจิตออกจากกายได้ อารมณ์ใจในสงบเยือกเย็น ถึงมีทุกข์จืตก็ไม่ทุกข์ใช่ไหมคะ เป็นความสุขแบบเย็นๆ แบบที่สุขในโลกนี้ไม่เทียบเท่าใช่หรือไม่คะ จะลองเข้าไปศึกษาดูค่ะ ขอบคุณทั้งคุณเทอดและคุณ tjs ค่ะ
คุณ tjs กระทู้พร้อมรับภัยพิบัติเพื่อฝึกจิตเกาพระ หาไม่เจอค่ะ ใช่เข้าไปที่ ห้องวิทยาศาสตร์ ทางจิต-ลึกลับ , ไปห้องย่อยชื่อ ภัยพิบัติและการเตรียมการ, แล้วเข้าไปที่กระทู้ชื่อ จิตพร้อม? รับภัยพิบัติหรือเปล่าค่ะ หาชื่อกระทู้ที่คุณtjs บอกไม่เจอค่ะ ที่กระทู้ชื่อ พร้อมรับภัยพิบัติเพื่อฝึกจิตเกาะพระ รบกวนหน่อยนะคะ จะลองเข้าไปอ่านดูค่ะ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ
เข้าไปที่ ภัยพิบัติและการเตรียมการน้ำท่วมครับ แล้วคลิ๊กที่กระทู้ จิตพร้อมรับภัยพิบัติ โดยอาจารย์ ภูทยานฌาณ2ครับ เข้าไปขอสมัครเรียน ได้เลยครับ จะมีอาจารย์หลายท่านช่วยเหลือครับ
เนื่องจากกระผมมีภาระหลายอย่าง ไม่สามารถรับลูกศิษย์สอนจิตเกาะพระได้ แต่ก็ยินดีในการช่วยเสริมหรือแนะนำหากติดขัดในระหว่างปฏิบัติ ได้ครับ ด้วยความยินดีครับ
========= จากการสอบถามผู้รู้ ท่านบอกว่า ที่บริเวณนี้เป็นแหล่งโบราณที่มีอายุตั้งแต่2500-3000ปี มาก่อน และหลังจากนั้น ก็เสื่อมลง และมาเจริญรุ่งเรืองอีกเมื่อ1300-1500ปีที่ผ่านมา ทราบจาก 1กระดูกที่ฝั่งซ้อนทับกันหลายชั้น ลึกลงไป 2ทราบจากพระปรางคเจดีย์ที่หักพังลงมา จากฐานของเจดีย์มีการสร้างใหม่ครอบทับของเก่าหลายชั้น แสดงให้ทราบว่า หลายยุค นั่นเองครับ ชาวบ้านเล่าว่าเมื่อก่อนเขาไม่ทราบ รู้แต่ว่า เป็นที่หลวงให้สามารถทำไร่ ได้ ก็เวลาทำไร่ต้องไถพรวนดิน บ้างก็พบชิ้นส่วนของ พระพุทธรูปที่แตกหัก อิฐ ของใช้เช่น กำไลแหวน ลูกปัด หม้อดินสมัยก่อนและอื่นๆ จวบจนปี2513ทางราชการเข้าไปตรวจสอบจึงทราบและอยู่ในความดูแลของกรมศิลป์ครับ
บ้านผมเลยนะครับ ตรงนั้น ห่างแค่ 700 เมตรเอง ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ผมส่งข้อความ PM หาท่าน tjs นานแล้วครับ ยังรอคำตอบอยู่นะครับ ขอบคุณครับ
============= ต้องขออภัยด้วยครับ ยังไม่ได้ตรวจดูให้เลยครับ พรุ่งนี้ผมต้องไปตรวจเยี่ยมโรงงานที่โคราช ที่ถามมามีหลายข้อ จะตอบให้วันศุกร์นะครับ รออีกหน่อยครับ สาธุ
สำหรับผมประมาณ3เดือนครับ จิตไม่สุขไม่ทุกข์ จิตนิ่งมากนิ่งซะจนเหมือนไม่มีจิต ทุกข์ต่างๆก็เข้ามาได้ทางกาย จิตวางเฉยครับ
========= หากทำได้อย่างนี้เป็นปรกติ ก็ถือว่าทรงอารมณ์ว่างได้เป็นปกติ จัดว่าดีมากที่สุดครับ นี่แหละอารมณ์พระนิพพานชั่วขณะ อย่าว่าแต่รูปกายเลย แม้แต่นาม อย่างจิตเราก็วางเฉย ความคิดเป็นอัตตาแม้ความมีในคำว่าจิตตนก็ไม่มี ให้มันดับให้หมด เมื่อว่างเป็นปรกติ เห็นสภาพแท้ในอนัตตา แล้ว นั่นแหละแสดงว่าเดินมาถูกทาง ที่เหลือคือซึมซับผลในความว่าง เรียนรู้ สภาวะนี้ จนท้ายที่สุดคือ ว่างเปล่า จริงๆ เข้าถึงนิพพานแท้สักทีครับ ขออนุโมทนาครับ สาธุ
เกิดความสงสัยว่าหากจิตเข้าใกล้นิพพานหรือมีสภาวะนิพพานได้ชั่วขณะ อย่างนี้ เจ้ากรรมนายเวรเค้ารู้ แล้วเค้าไม่เร่งทวงหนี้หรือคะ?
============= กรรม หากว่ากันตามความเป็นจริง วิบากกรรม ย่อมให้ผลตามกาลของมัน เมื่อ จิตเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพาน วิบากกรรมก็ยังให้ผลตามวาระของมันไม่อาจเป็นอื่น ส่วนจิตของเจ้ากรรมนายเวร ที่ยังตามให้โทษนั้น ข้อนี้ก็ต้องอธิบายเป็นสองส่วนคือ 1 ส่วนที่เห็นในกระแสหรือกำลังบุญจากจิตที่เข้ากระแสนิพพาน จิตเจ้ากรรมนายเวรส่วนนี้กลับใจและร่วมอนุโมทนา จิตเหล่านี้จึงเลิกพยาบาทและกลับใจช่วยเหลือ เพราะจิตที่เข้ากระแสนิพพาน มีกำลังบุญมาก ย่อมแผ่ให้สรรพสัตว์ได้สงบสุขและพ้นทุกข์ชั่วขณะ หรือได้ไปเกิดใหม่เปลี่ยนภพภูมิใหม่ 2ส่วนที่เคยทำบาปกรรมไว้หนักมาก หรือส่วนที่มีทิฏฐิที่แรงกล้า ไม่ยอมให้อภัย ผูกจิตพยาบาทไว้แน่นหนา เมื่อรู้ว่าจิตเรากำลังเข้าสู่กระแสนิพพาน เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ ก็จะพยายามทำทุกวิธีการเพื่อเป็นมารขัดขวางทำร้าย เราอย่างหนัก ดังนั้น ผู้ที่ฝึกจิตมาถึงตรงนี้ จะต้องไม่ประมาท และขอให้ระลึกเสมอว่า เพราะเราเคยทำบาปกรรมไว้กับเขา จงเมตตาต่อเขาให้มาก จงใช้ความดีช่วยเหลือเขา แม้เราจะต้องเจอเรื่องร้ายๆมากมายสักเท่าใด ขอให้รู้ทันและให้อภัยเขาและจงหมั่นเพียรทำความดี ปฏิบัติธรรม ชำระจิตให้ขาวสะอาดยิ่งขึ้น ที่สุดย่อมผ่านอุปสรรคไปได้ครับ ขอให้ตั้งมั่นจริงครับ สาธุ
================= ตอบให้แล้วครับเมื่อวาน ส่วนกรณีการปฏิบัติธรรมของคุณ กระผมเห็นว่า คุณยังขาดอีกหลายอย่าง การที่เป็นคนทำอะไรไม่จริงใจ ไม่มั่นคงเพราะความแปรปรวนทางความคิดและความเบื่อหน่ายและความไม่เที่ยงในโลกปัจจุบัน กระผมขอแนะนำให้คุณจงนำเอา ความแปรปรวนไม่เที่ยงทั้งหลายนำกลับมาพิจารณาเป็นวิปัสสนา ที่ตั้งของสมาธิ ให้อาศัยศรัทธา คือดึงความศรัทธาในพระพุทธเจ้าให้มาก ให้อ่านประวัติท่านบ่อยๆ แล้วให้ตั้งมั่นในการทำสมาธิเพื่อเป็นวิธีออกจากหรือหลุดพ้นจากความไม่เที่ยงแปรปรวนทั้งหลาย การภาวนาให้ใช้พุทธโธและมีจับภาพพระพุทธเจ้าที่ท่านชอบ เพื่อสร้างสมาธิ ให้ทำตรงนี้ให้ได้ก่อน นะครับ แล้วในขั้นต่อๆไปก็ไม่ยากแล้วผมจะค่อยแนะนำต่อนะครับ
เมื่อวานกระผมและสหายส่วนหนึ่ง ได้ไปทำบุญถวายสังฆทาน และปัจจัย แก่ ท่านเจ้าอาวาสวัด ก้อนแก้ว ฉะเชิงเทรา และได้ร่วมทำบุญสร้างวิหาร เก็บสรีระสังขาร หลวงพ่อทอง ซึ่งบรรจุอยู่ในโลงแก้ว กายสังขารท่านไม่เน่าไม่เปื่อย แต่มีสภาพขาวเป็นเหมือนหิน ก่อนกลับจึงได้กราบสักการะ และตั้งใจว่า ปลายปีนี้ทอดกฐินจะขอร่วมบุญด้วย ซึ่งคาดว่า วิหารท่าน น่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้พอดีครับ จึงขอเชิญทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญในครั้งนี้ร่วมกันครับ สาธุ
พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่อง การรักษาสติ เอาไว้มากและทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง และทรงมอบหลักปฏิบัติไว้ ที่ว่าด้วยสติ นั่นคือ มหาสติปัฏฐาน4อันเป็นทางสายเอก ซึ่งประกอบด้วย ๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณากาย ซึ่งเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงรูปนั้นเป็นอสุภะ(ความไม่งาม,ความน่าเกลียด) เป็นการทำลาย สุภวิปลาส(สำคัญว่างาม,ว่าน่ารัก) ๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาเวทนา ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงเแล้ว นามเป็นทุกข์ เป็นการทำลาย สุขวิปลาส(สำคัญว่าเป็นสุข) ๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาจิต ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วนามเป็นอนิจจัง เป็นการทำลาย นิจจวิปลาส(สำคัญว่าเที่ยง) ๔. ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาธรรม ซึ่งเป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว รูป และนามนั้น เป็นอนัตตา เป็นการทำลาย อัตตวิปลาส(สำคัญว่าเป็นตัวตน) ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พึงเห็นความสำคัญของพระธรรมเรื่องนี้ การเจริญมหาสติปัฏฐาน4 จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ขอให้เราท่านทั้งหลาย จึงเจริญสติปัฏฐาน4อยู่เป็นปกติอย่าให้ขาด และเจริญให้มากยิ่งขึ้น เพราะพระธรรมบทนี้สร้างปัญญาให้เรามากมายนัก จนที่สุดคือมีปัญญาวิมุติ เกิดญาณทัสนะ รอบรู้ รู้แจ้งในอาสวักขยญาณ หลุดพ้นทุกข์ได้ในที่สุดครับ สาธุ
เมื่อวันหยุดที่ผ่านมานี้ กระผมได้ไปทำบุญ และกราบสักการะ หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา ที่ปราจีน มาครับและได้ร่วมทำบุญสร้างมหาเจดีย์ ที่ทางวัดกำลังก่อสร้างอยู่ หลังจากกนั้นตกเย็นก็ได้ ไปร่วมทำบุญ งานประจำปี วันอินทราราม ซึ่งได้ไปร่วมทำบุญและกราบสักการะหลวงพ่อคุ้ม พระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์ ประจำวัดและหมู่บ้านละแวกนั้น ครับ จึงบอกกล่าวทุกท่านมาเพื่อร่วมอนุโมทนาบุญครับ อีกนิดครับ คำคมที่ได้จาก หลวงพ่อ ตอนไปทำบุญ ท่านสื่อจิตกล่าวว่า หนทางแห่งการสร้างบารมี ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่ความจริงคือทุกย่างก้าว ย่อมมีขวากหนามทิ่มทำร้าย ขอให้เรามีจิตใจอันแน่วแน่ ตั้งมั่น สิ่งที่คาดหวัง จะต้องสำเร็จ ขอให้อดทน เรียนรู้ ทำความเข้าใจกับอุปสรรคที่เกิดขึ้น อันเป็นธรรมดา นั่นเองครับ สาธุ
วิถีแห่งบุญทาน ของข้าพเจ้า เคยย้อนมองไปในอดีตว่า ทำไมถึงได้ชอบทำบุญทำทาน คำตอบที่ได้คือ 1เริ่มต้น ใหม่ๆ นั้นต้องการอยากมั่งมีทรัพย์สินเงินทองมากๆ จึงอยากทำบุญทานมากๆ เพราะเชื่อว่าจะได้มีกินมีใช้ไม่หมดสิ้นเป็นอริยทรัพย์เบื้องต้น 2ลำดับถัดมา เมื่อทำบุญทานมากขึ้น จิตเราเริ่มซึมซับในความดีในบุญกุศล บุญทานที่เราทำนี้ ไม่ได้หวังเรื่องความมั่งมีหรือเจริญในทรัพย์มากมายนัก แต่ที่ทำบุญทานนั้นเพราะปราถนาให้ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น เห็นประโยชน์ของผู้อื่นเป็นสำคัญเมื่อได้ทำได้ช่วยเหลือแล้วก็เป็นสุข มาก ดีใจสุขใจ ที่ทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ชั่วขณะ หรือทำให้เขามีความสุขได้ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ได้ทำเพื่อหวังอะไรในความมีของตนเองที่อยากได้อยากมี 3 ในปัจจุบัน การที่เราชอบทำบุญทาน ก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ที่ทำไปเพราะปราถนาช่วยผู้อื่นหรือเพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นและพุทธศาสนาแล้วนั้น ยังหมายรวมถึง การเพ่งเห็นในกิเลสที่ตนมีสั่งสมเอาไว้ การทำบุญทานจึงหมายรวมถึงการมีความสุขที่เราได้ขจัดหรือทำลายความตระหนี่ ความหวงในทรัพย์ของตน เล็งเห็นว่า จิตที่ดีงามขาวสะอาดนั้น ต้องดีงามด้วยความปราถนาดีแก่ผู้อื่น เป็นการชำระกิเลสของตนด้วยนั่นเองเป็นประการสำคัญ ถึงเวลานี้ลองสำรวจจิตตนดูก็จะพบคำตอบใหม่ๆว่า สักแต่ว่าทำบุญทาน อย่าไปคิดอะไรหรือหวังอะไร ให้รู้แค่เพียงว่าต้องทำ สักแต่ว่าทำ ทำไป ทำไป ตามกำลัง และโอกาสเท่าที่มี ที่พร้อม ทำไปแบบนั้นทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้อยากได้อยากมีหรือไม่อยากได้ไม่อยากมีอะไร รู้แค่เพียงว่า ต้องทำและทำไป จนกว่าจะหมดลมหายใจก็เท่านั้นครับ ถามว่ามีความรู้สึกอย่างไรเมื่อทำบุญ ใหม่ๆก็มีความสุข พอมากเข้าก็รู้สึกว่ายิ่งทำยิ่งทำยิ่งมีความสุขมาก พอทำมากขึ้นไปอีก กลับรู้สึกว่างคือ สงบนิ่ง แม้สุขจะเกิดมากบ้างน้อยบ้าง แต่จิตกลับสงบนิ่งแค่รู้และปล่อยวาง รู้แล้วปล่อยวาง ก็เท่านั้นจริงๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในบุญทาน แต่รู้แค่ว่าให้ทำต่อไป สักแต่ว่าทำ ยิ่งๆขึ้นไปตามกำลังและโอกาสเท่านั้นเองครับ สาธุ
มีคนถามข้าพเจ้าว่า วิหารทานอะไรยิ่งใหญ่มีอนิสงค์มาก ผมจึงตอบไปว่าวิหารทานที่ยิ่งใหญ่มาก คือวิหารทานที่เป็นวิหารธรรม อันเป็นวิหารที่ก่อให้เกิดปัญญา หลุดพ้นทุกข์ได้นั่นเองครับ แล้วแบบไหนเขาถึงเรียกว่าวิหารทานที่เป็นวิหารธรรม จึงตอบว่า วิหารทานที่เป็นวิหารธรรมได้แก่ 1อุโบสถ เพราะเป็นสถานปฏิบัติธรรมและกิจของสงฆ์ 2เจดีย์วิหาร เพราะเป็นที่เก็บพระบรมธาตุ อันเป็นอมตะธาตุ อมตะธรรม เป็นสถานที่ที่น้อมนำจิตไปสู่ธรรม 3ศาลาปฏิบัติธรรม 4กุฏฺิสงฆ์เพื่อให้พระสงฆ์ปฏิบัติธรรม 5 การเจริญพรหมวิหารทานเพื่อให้จิตดำรงอยู่ด้วยอุเบกขาธรรมเจริญจิตเข้าสู่วิหารธรรม [ข้อนี้อาศัยการรักษาศีลและการปฏิบัติธรรมเป็นการสร้างวิหารธรรมให้เกิดขึ้นภายในมโนจิตของตน อันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากและรักษาไว้ได้ยากครับ]