แผ่นดิน พระพุทธเจ้าหลวง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย สร้อยฟ้ามาลา, 20 กันยายน 2008.

  1. พรรณนา

    พรรณนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +1,178
    เพราะมีเหตุ เนื่องจากอยู่ใกล้บ้าน โรงเรียนเค้าดังจริง ครับพี่สร้อย แต่คนขับรถแท็กซี่ไม่รู้จัก จภ. จะพาไปส่ง ถ.จักรพงษ ซิหนิ...
     
  2. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ไม่รู้เคยโพสต์ไปยัง ^^

    [​IMG]
     
  3. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]

    130 ปี เตี่ยยืนอยู่ คู่แผ่นดิน ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ครบรอบวันคล้ายวันพระประสูติกาล
    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
    กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
     
  4. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580

    [​IMG]
     
  5. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    เก็บกระทู้:cool::cool:
     
  6. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    เสด็จประพาสต้น



    [​IMG]


    (ข้อความที่ย้ายมาจากกระทู้ห้องท่องเที่ยว - อาหารการกิน ๐๖/๐๑/๒๕๕๓)

    ความตั้งใจแรกที่จะเขียนคือ กระทู้ แผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง ตั้งใจจะรวมเรื่องราวต่างๆ ในแผ่นดินของพระองค์ พระราชกรณียกิจต่างๆ แต่เรื่องราวที่ได้ประมวลมาแล้วในกระทู้นั้นอาจจะขัดต่อลิขสิทธิ์ของผู้เขียนต้นฉบับ เรื่องราวต่างๆ จึงได้ชะงักไป สร้อยฟ้ามาลาจึงขอหยุดตรึกตรองสักพักใหญ่ๆ และกระทู้ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอีกเลยเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว รู้สึกเสียดายในเรื่องราวที่ต้องการเผยแพร่ให้หลายๆ คนได้รับทราบ ซึ่งในใจจริงไม่อยากละเมิดสิทธิ์ของผู้ใด เพราะเรื่องราวที่ลงไปก็มิได้คัดออกมาเพื่อ"ขาย" แต่มุ่งเพื่อส่งเสริมความรู้ในเรื่องที่ไม่เคยรู้ หรืออาจจะรู้แล้วลืมเลือนไป ให้ประทับไว้ตราบนานเท่านาน


    มาคราวนี้ อดใจไว้อยู่นาน ว่าจะลงดี หรือไม่ลงดี แต่เรื่อง เสด็จประพาสต้น นี้ เป็นเรื่องที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ จึงขอกราบทูลต่อดวงพระวิญญาณของพระองค์ขอทรงอนุญาต ขออัญเชิญมาเผยแพร่เพื่อเทิดพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ให้เป็นที่ประจักษ์ถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์.....


    สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์บรรยาย เรื่อง เสด็จประพาสต้น โดยมีความว่า

    “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชอัธยาศัยโปรดในการเสด็จประพาสตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติมา เสด็จประพาสแทบทุกปี เสด็จไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ ในพระราชอาณาเขตบ้าง เสด็จไปถึงต่างประเทศบ้าง ได้เคยเสด็จตามณฑลหัวเมืองในพระราชอาณาเขตทั่วทุกมณฑล เว้นแต้มณฑลภาคพายัพ มณฑลเพชรบูรณ์ มณฑลอุดร และมณฑลอีสานเท่านั้น ด้วยเมื่อในรัชกาลที่ ๕ ทางคมนาคมถึงมณฑลเหล่านั้นจะไปมายังกันดารนัก เปลืองเวลาและลำบากแก่ผู้อื่น จึงรออยู่มิได้เสด็จจนตลอดรัชกาล

    ในการเสด็จประพาสต้นหัวเมืองใหญ่น้อยในพระราชอาณาเขตนั้น บางคราวก็เสด็จไปเพื่อทรงตรวจจัดการปกครอง จัดการรับเสด็จเป็นทางราชการ บางคราวก็เสด็จเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถ ไม่โปรดให้จัดการับเสด็จเป็นทางราชการที่เรียกว่า “เสด็จประพาสต้น” อยู่ในการเสด็จเพื่อสำราญพระอิริยาบถ แต่โปรดให้จัดการเสด็จไปให้ง่ายยิ่งกว่าเสด็จไปประพาสเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างสามัญ คือไม่ให้มีท้องตราสั่งหัวเมืองให้จัดทำที่ประทับแรม ณ ที่ใดๆ สุดแต่พอพระราชหฤทัยที่จะประทับที่ไหนก็ประทับที่นั่น บางทีก็ทรงเรือเล็กหรือเสด็จโดยสารรถไฟไป มิให้ใครรู้จักพระองค์ การเสด็จประพาสต้นเริ่มมีครั้งแรกเมื่อรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) รายการเสด็จประพาสต้นครั้งนี้นายทรงอานุภาพได้เขียนจดหมายเล่าเรื่อประพาสต้นไว้โดยพิสดาร

    เหตุที่เรียกว่าประพาสต้นนั้น เกิดแต่เมื่อเสด็จในคราวนี้ เวลาจะประพาสมิให้ใครรู้ว่าเสด็จไป ทรงเรือมาดเก๋ง ๔ แจว ลำ ๑ เรือนั้นลำเดียวไม่พอบรรทุกเครื่องครัว จึงได้ทรงซื้อเรือมาดประทุน ๔ แจวที่แม่น้ำ อ้อมแขวงจังหวัดราชบุรีลำ ๑ โปรดให้เจ้าหมื่นเสมอใจราชเป็นผู้คุมเครื่องครัวไปในเรือนั้น เจ้าหมื่นเสอมใจราชชื่ออ้น จึงทรงดำรัสเรียกเรือลำนั้นว่า “เรือตาอ้น” เรียกเร็วๆ เสียงเป็น “เรือต้น” เหมือนในบทเห่เรือว่า

    “พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย” ฟังดูก็เพราะดี แต่เรือมาดประทุนลำนั้นใช้อยู่ได้หน่อยหนึ่ง เปลี่ยนเป็นเรือมาดเก๋ง ๔ แจว อีกลำ ๑ จึงโปรดให้เอาชื่อเรือต้นมาใช้เรียกเรือมาดเก๋ง ๔ แจวลำที่เป็นเรือพระที่นั่งทรง อาศัยเหตุนี้ ถ้าเสด็จประพาสโดยกระบวนเรือพระที่นั่งมาดเก๋ง ๔ แจว โดยพระราชประสงค์จะมิให้ผู้ใดทราบว่าเสด็จไป จึงเรียกการเสด็จประพาสเช่นนี้ว่า “ประพาสต้น” คำว่า “ต้น” ยังมีที่ใช้อนุโลมต่อมา จนถึงเครื่องแต่งพระองค์ในเวลาทรงเครื่องอย่างคงสามัญเสด็จไปประพาส มิให้ผู้ใดเห็นแปลกประหลาดผิดกับคนสามัญ ดำรัสเรียกว่า “ทรงเครื่องต้น” ต่อมาโปรดให้ปลูกเรือนฝากระดานแบบไทย เช่นพลเรือนอยู่กันเป็นสามัญขึ้นที่ในพระราชวังดุสิต ก็พระราชทานนามเรือนนั้นว่า “เรือนต้น” ดังนี้

    การเสด็จประพาสต้นเมื่อราว ร.ศ.๑๒๓ เป็นการสนุกยิ่งกว่าเคยเสด็จไปสำราญพระราชอิริยาบถแต่ก่อนมา ที่จริงอาจกล่าวว่า เป็นประโยชน์ราชการบ้านเมืองได้อีกสถาน ๑ เพราะเสด็จเที่ยวประพาสปะปนไปกับหมาราษฎรเช่นนั้น ได้ทรงทราบคำราษฎรกราบทูลปรารภกิจสุขทุกข์ ซึ่งไม่สามารถจะทรงทราบได้โดยทางอื่นก็มาก ด้วยเหตุทั้งปวงนี้ต่อมาอีก ๒ ปี ถึง ร.ศ.๑๒๕ (พ.ศ.๒๔๔๙) จึงเสด็จประพาสต้นอีกคราว ๑ เสด็จประพาสต้นคราวนี้หาปรากฏมาแต่ก่อนว่า มีผู้หนึ่งผู้ใดได้เขียนจดหมายเหตุไว้เหมือนเมื่อคราวเสด็จประพาสต้นครั้งแรกไม่ จนถึง พ.ศ.๒๔๖๗ พระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฏทรงปรารถนาจะใคร่พิมพ์หนังสือประทานตอบแทนผู้ถวายรดน้ำสงกรานต์ ตรัสปรึกษาสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี – สมเด็จหญิงน้อยพระธิดา ทรงค้นหนังสือเก่าซึ่งได้ทรงเก็บรวมรวมไว้ พบสำเนาจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นครั้งที่ ๒ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์โดยดำรัสให้สมเด็จหญิงน้อยทรงเขียนไว้ในเวลาสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมชนกนาถ เป็นตำแหน่งราชเลขาธิการฝ่ายในอยู่ในเวลาเมื่อเสด็จประพาสคราวนั้น จึงประทานสำเนามายังหอสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร และมีรับสั่งมาว่าหนังสือเรื่องนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ถึง ๑๗ ปีแล้ว ผู้ซึ่งยังไม่ทราบเรื่องเสด็จครั้งนั้นมีมากด้วยกัน ถ้าแห่งใดควรจะทำคำอธิบายหมายเลขให้เข้าใจความยิ่งขึ้นได้ ก็ให้กรรมการช่วยทำคำอธิบายหมายเลขด้วย จึงได้จัดการทำถวายตามพระประสงค์ทุกประการ”



    ก็เป็นความบังเอิญที่สร้อยฟ้ามาลาไปค้นเจอเรื่องราวการเสด็จประพาสต้นครั้งที่ ๒ ร.ศ.๑๒๕ ซึ่งก็ได้คัดมาเก็บไว้นานแล้ว ส่วนการเสด็จประพาสต้น ครั้งแรก ร.ศ.๑๒๓ เคยได้ซื้อหนังสือมาอ่านนานหลายปีแล้ว หยิบมาอ่านทีไร ก็ยังไม่เคยเบื่อสักที.....


    และคราวนี้ก็จะลงถึงการเสด็จประพาสต้น ร.ศ.๑๒๗ ด้วย....



    เรื่อง เสด็จประพาสต้น นี้ จะค่อยๆ ทยอยลงที่ละตอน ของจดหมายเหตุ......


    [​IMG]

    .........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • K7771110-01.jpg
      K7771110-01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.8 KB
      เปิดดู:
      2,173
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2013
  7. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    พระนามและชื่อที่ได้อำพรางไว้


    ในจดหมายนายทรงอานุภาพ

    .......................



    นายอัษฎาวุธ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา

    นาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>ทรงอานุภาพ คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

    นายวงศ์ตะวัน คือ เจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ (โต บุนนาค)

    หลวงรัตนาวุธ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖

    ท่านมหาสม คือ กรมพระสมมตอมรพันธุ์

    เจ้านายที่ตามเสด็จ ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระปิตุฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี กับ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์

    ขุนสวรรค์วินิต คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต

    นายมานพ คือ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ

    หมื่นสรรพกิจ คือ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ
    <O:p


    ...............................</O:p
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  8. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    จดหมายนายทรงอานุภาพ
    เล่าเรื่องเสด็จประพาสต้นครั้งแรก


    ...........................





    จดหมายฉบับที่ ๑



    <O:p



    บางปะอิน
    ณ วันที่ ๑๒ เดือนกรกฎาคม ร.ศ.๑๒๓




    <O:p

    ถึง พ่อประดิษฐ์
    ฉันมาตามเสด็จคราวนี้ หมายว่าจะมาตั้งหน้ากินและนอนให้สบายจนเสด็จกลับ อย่างเคยมาตามเสด็จบางปะอินเที่ยวก่อน ๆ แต่เที่ยวนี้เห็นจะต้องพลัดที่นาลาที่อยู่ไปเที่ยวเตร็ดเตร่หลายวันที่เดียว ด้วยได้ทราบว่าจะเสด็จไปประพาสเมืองราชบุรีหรือย่างไรยังไม่รู้แน่ไม่ได้ เป็นแต่เห็นเขาตระเตรียมเรือแพชุลมุนกันอยู่
    <O:p
    เหตุที่จะเสด็จประพาสต่อไปในคราวนี้ ได้ทราบว่าเมื่อก่อนจะเสด็จขึ้นมาบางปะอิน พระเจ้าอยู่หัวไม่ใครจะทรงสบาย หมายจะเสด็จขึ้นมาพักรักษาพระองค์ตามเคย ก็มีพระราชกังวลและพระราชกิจติดตามขึ้นมา หาเวลาพักไม่ใครได้จึงไม่ทรงสบายมากไป เสวยไม่ได้และบรรทมไม่หลับทั้งสองอย่าง หมอเห็นว่าจะต้องเสด็จประพาสเที่ยวไปให้พ้นความรำคาญ อย่าให้ต้องทรงเป็นพระราชธุระในราชกิจอย่างใด ๆ เสียสักคราวหนึ่ง จึงจะรักษาพระองค์ให้ทรงสบายได้ดังเก่าโดยเร็ว เจ้านายผู้ใหญ่ที่มาตามเสด็จจึงพร้อมกันกราบบังคมทูล ขอให้ทรงระงับพระราชธุระเสด็จประพาสตามคำแนะนำของหมอ ทรงดำริเห็นชอบด้วยจึงจะเสด็จไปประพาสตามลำน้ำด้วยกระบวนเรือปิกนิกพ่วงเรือไฟไปจากบางปะอินนี้ จะเสด็จไปถึงไหนและจะเสด็จไปกี่วันฉันยังหาทราบไม่ เป็นแต่ทราบว่าการเสด็จครั้งนี้เจ้ากระทรวงท่านห้ามปรามไม่ให้จัดการรับเสด็จตามทางราชการ จะให้เป็นการเสด็จอย่างเงียบ ๆ แล้วแต่พอพระราชหฤทัยจะเสด็จที่ใด หรือประทับที่ใดได้ตามพระราชประสงค์ อย่าให้มีเรื่องขุ่นเคืองรำคาญพระราชหฤทัยได้เลยเป็นอันขาด
    ส่วนตัวฉันเองนั้น ท่านสั่งให้ตามเสด็จด้วยในคราวนี้ ต้องตระเตรียมหาผู้คนเสบียงอาหารลงเรือ ได้เรือ ๖ แจวลำหนึ่งจะไปด้วยกันกับนายอัษฎาวุธ หวังใจว่านายอัษฎาวุธจะไม่เจ็บไข้ลงกลางทางอย่างเมื่อไปตามเสด็จเมืองชวาด้วยกันคราวนั้น
    ขอจบจดหมายฉบับนี้เพียงนี้ที ด้วยกำลังจัดเรือแพวุ่นวาย แล้วจึงจะจดหมายบอกข่าวคราวมาให้ทราบต่อไป

    </O:p


    นายทรงอานุภาพ หุ้มแพร




    <O:p-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ปิกนิก(PICNIC) การไปเที่ยวชั่วระยะสั้น ๆ มีอาหารไปเลี้ยงกันด้วย ในรัชกาลที่ ๕ พวกเราคนไทยส่วนมากพึ่งจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ยังมิได้คิดคำศัพท์ต่าง ๆ ขึ้นใช้ในภาษาของเรา นามทั้งหลายมักเรียกตามภาษาอังกฤษ ซึ่งมักจะอ่านไปตามตัวอักษรเป็นสำเนียงไทย ๆ นามเหล่านี้มีปรากฏในหนังสือหลายแห่ง เช่น สะเตชั่น(สถานี) สลิปเปอร์(รองเท้าแตะ) ติเก็ต(บัตร)<O:p</O:p
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  9. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    จดหมายฉบับที่ ๒





    วัดโชติทายการาม คลองดำเนินสะดวก
    วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๓

    <O:p
    ถึง พ่อประดิษฐ์
    ฉันได้บอกมาในจดหมายฉบับก่อนว่า จะจดหมายส่งข่าวคราวการเสด็จประพาสมาให้ทราบเนือง ๆ วันนี้ประทับแรมอยู่ที่วัดโชติทายการาม คลองดำเนินสะดวก ฉันมีเวลาว่างอยู่บ้างจึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้ฝากเขามาให้ หวังใจว่าจะไม่ไปหายสูญเสียกลางทาง
    เสด็จออกจากบางปะอิน เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๓ ล่องมาตามลำแม่น้ำ เรือฉันมาล่วงหน้า ทราบว่าเสด็จประทับวัดปรมัยยิกาวาสครู่หนึ่ง แล้วเลยประพาสสวนสะท้อนของนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>บุตร ที่แม่น้ำอ้อม แขวงเมืองนนทบุรีว่ามีสะท้อนอย่างดี ๆ ที่สวนนั้นมาก กำลังสะท้อนออกผล เจ้าของสวนเชิญเสด็จเก็บสะท้อน ทราบว่าเป็นที่พอพระราชหฤทัย และทรงพระกรุณาแก่เจ้าของสวนมาก เวลาเย็นเสด็จมาประทับแรมที่หน้าวัดเขมา จอดเรือพระที่นั่งเข้ากับสะพานหน้าวัดอย่างเราไปเที่ยวกัน ใช้ศาลาน้ำหน้าวัดเป็นท้องพระโรง ไม่มีพลับพลาฝาเลื่อนอย่างใด เข้าพนักงานเจ้าของท้องที่ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าจะเสด็จมาประทับแรมที่นั้น การล้อมวง กงกำจัดกันตามแต่จะทำได้ ดูก็สนุกดี จนเวลา ๒ ทุ่มเศษกรมหลวงนเรศร์เสนาบดีกระทรวงนครบาลจึงเสด็๗ไปถึง ได้ยินรับสั่งว่า “อาสน์แข็ง ๆ ก้นไม่รู้ พอรู้ก็รีบมา จะต้องนั่งอยู่ยันรุ่ง”
    วันที่ ๑๕ เวลาเช้า ออกกกระบวนล่องลงมาเข้าคลองบางกอกใหญ่และคลองภาษีเจริญ ฉันมากระบวนหน้าตามเคย ประจวบกเวลาหัวน้ำลง เมื่อพ้นหนองแขมเจอเรือไฟที่ไปก่อน ติดขวางคลองอยู่ลำหนึ่ง ฉันจึงปล่อยเรือไฟที่จูงเรือให้คอยตามเรือไฟลำหน้า ส่วนตัวฉันเองให้คนแจวเรือล่องเลยไปจอดคอยเรือไฟที่น้ำลึกบ้านกระทุ่มแบน รอ ๆ อยู่เท่าใด ๆ ก็ไม่เห็นเรือไฟตามออกมา น้ำก็แห้งงวดลงทุกที พอแน่ใจว่าเรือไฟคงติดเสียกาลคลองแล้ว ก็พอนึกขึ้นได้ว่าครัวมอเสบียงอาหารอยู่ในเรือไฟหมดทั้งนั้น และดูนายอัษฎาวุธดูท่าจะออกหิว จึงชวนกันขึ้นบก เดินไปเที่ยวซื้อข้าวแกงกินที่ตลาดบ้านกระทุ่มแบน ไปเจอคนผัดหมี่ดี คุยว่ารู้จักคุ้นเคยกับเจ้าคุณเทศา ผ่านมาเป็นต้องแวะกินหมี่เสมอ ซื้อเสบียงอาหารได้พอกันแล้ว ได้ยินเสียงละครที่โรงบ่อน นายอัษฎาวุธเกิดอยากดูละคร พากันไปดูไปเจอเจ้าของละครเจ้ากรรม รู้จักว่าฉันเป็นหุ้มแพรมหาดเล็ก ต้องรีบหนีพากันมาลงเรือ แต่กระนั้นก็ไม่พ้น พอประเดี๋ยวเจ้าหมี่เจ้าหม่าพากันมารุมมาตุ้ม พิธีแตกเพราะนายอัษฎาวุธทีเดียว ถ้านายอัษฎาวุธไม่พาไปดูละคร ก็คงจะได้กินข้าวแกงกันในตลาดให้สนุก นี่กลับต้องกินสำรับคับค้อนแล้วตอบแทนเขาแทบไม่ไหว
    จอดรอกระบวนเรือเสด็จอยู่จนค่ำ กลางคืนน้ำขึ้น เรือไฟพวกล่วงหน้าหลุดออกมาได้ทีละลำสองลำ ถามดูก็ไม่ได้ความว่ากระบวนเสด็จอยู่ที่ไหน จนยามกว่าจึงได้ความจากเรือลำหนึ่งว่าประทับแรมอยู่ที่หน้าวัดหนองแขม ฉันก็เลยจอดนอนคอยเสด็จอยู่ที่กระทุ้มแบนนั่นเอง ครั้นรุ่งเช้าวันที่ ๑๖ ออกเรือล่วงหน้ามาคอยเสด็จอยู่ที่ปากคลองดำเนินสะดวก พอประมาณ ๔ โมงเช้ากระบวนเรือเสด็จมาถึง เลยเข้าคลองต่อมาน้ำกำลังท่วมทุ่งท่วมคันคลองเจิ่งทั้งสองข้าง แล่นเรือได้สะดวก พอบ่ายสัก ๓ โมงก็มาถึงหลักหก หยุดกระบวนประทับแรมที่วัดโชติทายการาม
    เวลาบ่ายทรงเรือเล็กพายไปประพาสทุ่ง คือไร่ที่น้ำท่วม เจ้าของไร่กำลังเก็บเอาหอมกระเทียมขึ้นผึ่งตามนอกชานบ้านเรือนตลอดจนบนหลังคาเพราะไม่มีที่ดิน น้ำท่วมเป็นทะเลหมด ไปถึงบ้านแห่งหนึ่งเจ้าของเป็นผู้หญิงกำลังตากหอมกระเทียม พอเห็นเรือก็ร้องเชื้อเชิญให้แวะที่บ้าน เห็นได้ว่าแกไม่รู้จักว่าใครเป็นใคร คงเข้าใจว่าเป็นพวกขุนนางที่ตามเสด็จ ครั้นเสด็จขึ้นเรือนแล้วเพียงต้อนรับยายผึ้งยังไม่พอใจ ยังเข้าไปยกหม้อข้าวกับกระบะไม้ใส่ชามกะลา มีผักกาดผัดหมู ปลาเค็ม น้ำพริก กับอะไรอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแกหาไว้สำหรับแกกินเองในเวลาเย็นมาตั้งจะเลี้ยงอีก
    ใครเคยตามเสด็จประพาสไปรเวตมาแต่ก่อนย่อมเข้าใจดีว่า ถ้ามีช่องสนุกในการที่จะได้ทรงสมาคมกับราษฎรเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว ที่พระเจ้าอยู่หัวของเราจะเว้นเป็นไม่มี พอยายผึ้งเชิญพวกเราก็เข้าล้อมสำรับกับพระเจ้าอยู่หัวด้วยกัน ว่ากันคนละคำสองคำ เจ้าเจ๊กฮวดลูกยายผึ้งอายุราวสัก ๒๐ ปีมาช่วยยกสำรับคับค้อน ขณะเมื่อพวกเรากินเลี้ยง เจ๊กฮวดมันนั่งดู ๆ พระเจ้าอยู่หัว ประเดี๋ยวเอ่ยขึ้นว่า “คล้ายนักคล้ายนักขอรับ” ถามว่าคล้ายอะไร มันบอกว่า คล้ายรูปที่เขาตั้งไว้ตามเครื่องบูชา พอประเดี๋ยวก็ลุกขึ้นนั่งยอง ๆ เอาผ้าปูกราบพระเจ้าอยู่หัว “แน่ละขอรับไม่ผิดละเหมือนนัก” ยายผึ้งยายแพ่งเลยรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัว แต่ก็ได้พระราชทานมากอยู่ เห็นจะหลายสิบเท่าราคาสำรับกับข้าวที่ยายผึ้งเลี้ยง
    เสด็จเที่ยวนี้ตั้งต้นชอบกลดี ทีจะสนุกมาก ตั้งแต่เสด็จออกจากบางปะอิน พระเจ้าอยู่หัวทรงสบายขึ้นมาก
    <O:p</O:p



    นายทรงอานุภาพ



    <O:p</O:p



    <O:p-------------------------------------------------------------------------------------------------------------</O:p

    การล้อมวง – การรักษาความปลอดภัยถวายเจ้านายชั้นสูงด้วยวิธีกวดขันคนที่จะเข้าออกในบริเวณที่ประทับ ส่วนกงกำ ที่ต่อมานั้นเป็นคำชนิดที่เรียกในภาษาไวยากรณ์ว่า อุทานเสร้อยบท คำเช่นนี้มีอยู่มากเสมอในพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๕
    <O:p</O:p
    อาสน์แข็ง – หมายถึงการที่ผู้ใหญ่ห่างผู้น้อยในความรับผิดชอบของตนว่าอยู่ในที่ลำบาก ดั่งเช่นที่ปรากฏในเรื่องนิทานบทกลอนต่าง ๆ เป็นต้นว่า สังข์ทองที่กล่าวถึงพระอินทร์ว่า “ทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน อมรินทร์เร่งคิดสงสัย จึ่งสอดส่องทิพยเนตรดูเหตุภัย ก็แจ้งใจในนางรจนา แม้นมิไปช่วยจะม้วยมอด....”
    <O:p</O:p
    หุ้มแพร - เป็นยศข้าราชการกรมหมาดเล็กในสมัยก่อนเทียบเท่านายร้อยเอก<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    จดหมายฉบับที่ ๓




    เมืองราชบุรี
    วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๓




    ถึง พ่อประดิษฐ์
    วันนี้ฉันเหนื่อยเหลือทน ไม่ได้คิดว่าจะเขียนจดหมายฉบับนี้ ตั้งใจว่าจะนอน แต่เหตุใดไม่ทราบนอนไม่หลับ มาคิดขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้จะตามเสด็จลงไปเมืองสมุทรสงคราม อยู่ห่างทางรถไฟ จะส่งจดหมายมาถึงพ่อประดิษฐ์ยากจึงลุกขึ้นนั่งเขียนจดหมายฉบับนี้ในเวลาเห็นจะราวสักสองยาม ถ้าเขียนวิปลาสคลาดเคลื่อนอย่างใดบ้าง ขออภัยโทษเถิดอย่าถือเลย
    ในจดหมายฉบับก่อนได้บอกข่าวตามเสด็จมาถึงวัดโชติทายการาม ครั้น ณ วันที่ ๑๗ เวลาเช้า กระบวนเสด็จออกจากที่ประทับแรมมาถึงเมืองราชบุรีราวเวลาเที่ยง จอดเรือพระที่นั่งประทับที่หน้าบ้านเทศา พอจอดเรือแพกันเรียบร้อย ฉันไปฟังราชการที่พลับพลาได้ข่าวว่ารับสั่งให้เตรียมรถไฟพิเศษจะเสด็จไปไหนในบ่ายวันนั้นไม่ทราบ เป็นแต่ได้รับคำสั่งว่าให้ฉันไปตามเสด็จด้วย จนกระทั่งออกรถไฟแล่นลงไปข้างใต้ จึงเข้าใจว่าเห็นจะเสด็จเมืองเพชรบุรี นั่งไปสักครู่หนึ่งก็ได้ทราบความจริงดังคาดว่าจะเสด็จเมืองเพชรบุรี นัยว่าว่าจะจู่ไปไม่ให้ผู้ใดทราบ ด้วยมีพระราชประสงค์จะใคร่ทอดพระเนตรบ้านเมืองในเวลาเป็นปกติ ไม่ได้จัดการตระเตรียมอย่างหนึ่งอย่างใดไว้รับเสด็จแต่อย่างไร เมื่อรถไฟไปถึงสะเตชั่นบ้านปากท่อหยุดรถหลีกรถเมืองเพชร พบเจ้าพระยาสุรพันธ์ยืนยิ้มคอยรับเสด็จอยู่ที่สะเตชั่น ดูเป็นที่ประหลาดใจกันมาก ด้วยการที่เสด็จก็สั่งกันเป็นปัจจุบันทันด่วน และได้กำชับเจ้าพนักงานรถไฟมิให้บอกไปเมืองเพชรว่าจะเสด็จ เหตุใดความนี้จึงรู้ไปถึงเจ้าพระยาสุรพันธ์ถึงล่วงหน้ามารับเสด็จอยู่ได้เป็นครึ่งทาง ใคร ๆ ซักไซ้ไต่ถามเจ้าพระยาสุรพันธ์ ว่าทำไมจึงได้รู้ว่าจะเสด็จ ท่านก็ยิ้มเยาะบอกว่าคอยสืบอยู่จึงได้ทราบ ทำให้เกิดฉงนสนเท่ห์แปลกันไปต่าง ๆ จนท่านผู้ที่เป็นต้นรับสั่งเรื่องเสด็จวันนี้จะออกตกใจ เกรงความผิดว่าจะไม่ปิดข่าวเสด็จได้มิดชิดตามพระราชประสงค์ ต่อมีรับสั่งซักไซ้ จึงได้ความจากเจ้าพระยาสุรพันธ์กราบทูลว่าบ่าวมาอยู่ที่สะเตชั่นรถไฟได้ทราบจากนายสะเตชั่นว่าได้รับโทรเลขสั่งไปจากเมืองราชบุรี ว่าจะมีรถไฟพิเศษไปเมืองเพชรบุรีในบ่ายวันนั้น บ่าววิ่งไปบอกเจ้าพระยาสุรพันธ์ เจ้าพระยาสุรพันธ์นึกว่ารถไฟพิเศษนี้ บางทีจะเกี่ยวด้วยการเสด็จสักอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงรีบขึ้นรถบ่ายจากเมืองเพชร คาดว่าถ้าไม่พบเสด็จในรถไฟพิเศษก็จะเลยมาเฝ้าฟังราชการที่เมืองราชบุรี มิได้สั่งให้ตระเตรียมการรับเสด็จไว้อย่างใดอย่างหนึ่งในเมืองเพชร ได้ความดังนี้ ดูสมกับกิริยาเจ้าพระยาสุรพันธ์ เมื่อได้ทราบว่าจะเสด็จเมืองเพชรจริง ๆ ดูท่านตกใจวุ่นวาย จะไปโทรเลขสั่งโน่นสั่งนี่จนต้องคุมตัว และต้องสั่งเจ้าพนักงานมิให้รับโทรเลขของเจ้าพระยาสุรพันธ์ไปส่ง และมิให้บอกข่าวเสด็จล่วงหน้าไปเมืองเพชรบุรีเป็นอันขาด เมื่อไปถึงเมืองเพชรบุรีสังเกตดูก็เห็นได้ว่า ไม่มีการรู้ว่าจะเสด็จจริง ผู้คนเป็นปกติตามธรรมเนียมเมือง ต่อทรงพระดำเนินไปตามถนนเป็นนาน เจ้าเมืองกรมการวิ่งกระหืดกระหอบมาทีละคนสองคนใส่เสื้อมากลางทางบ้าง สวมถุงเท้ากันบ้าง มาแต่ด้วยสลิปเปอร์บ้าง วิ่งกันให้ไขว่ไปทั้งเมืองดูก็สนุกดี ประทับเสวยที่เมืองเพชรแล้วเสด็จรถพิเศษกลับมาแรมเมืองราชบุรี
    วันที่ ๑๘ กรกฎาคม วันนี้ประจวบเป็นวันกำหนดบวชนาคบุตรพระแสนท้องฟ้า เวลาเช้าเสด็จประพาสตลาดแล้วเลยเสด็จไปมอดพระเนตรแห่บวชนาคที่วัดสุตนาถ การแห่นี้ก็แห่อย่างนาคราษฎร มีกลองยาวเถิดเทิงตามแบบที่เคยเห็นกัน ถ้าจะว่าก็ไม่น่าสนุก แต่บังเอิญในเวลาเถิดเทิงตีอยู่ในลานวัด มีอ้ายบ้าคน ๑ ซึ่งพระเลี้ยงไว้ในใต้ถุนกุฏิออกสนุกขึ้นมาอย่างไรกรากออกมาช่วยรำ ใครจะห้ามก็ไม่ฟัง เจ้าพนักงานจะไปไล่ก็มีรับสั่งว่า ช่างมันเถิด อ้ายบ้ารำไปรำมาประเดี๋ยวแลบลิ้นหลอกแล้วก็เดินออกไปเสียจากวัด ใครจะไปเรียกให้มารำอีกก็ไม่รำ
    เวลาบ่ายวันนี้ทรงเรือมาด ๔ แจว เรือไฟเล็กลากล่องน้ำไปประพาสในแม่น้ำอ้อม เรือลำเดียวอยู่ข้างจะยัดเยียด จึงมีพระราชประสงค์จะหาซื้อเรือ ๔ แจวสำหรับตามเรือมาดพระที่นั่งสักลำหนึ่ง ช่วยกันเสาะหาไปตามทางไปเห็นที่บ้านแห่ง ๑ จึงแวะเข้าไปถามซื้อ ได้ความว่าเป็นเรือของกำนันเหม็น แต่เป็นเรือชำรุดหาได้ซื้อไม่ ที่เรียกว่ากำนันเหม็นนั้น ที่จริงแกจะชื่ออะไรก็ไม่ทราบแต่บ้านเรือนของแกเหม็นเต็มที จึงสมมติกันว่าแกควรจะชื่อเหม็น ข้อนี้ฉันเห็นเป็นคติระวังอย่าให้บ้านเรือนสกปรก ถ้าเสด็จไปประพาสไปแวะพบจะได้รับสมมติชื่อว่าหลวงเหม็นพระเหม็นอะไรก็จะเป็นได้ ไปจนถึงวัดเพลงจึงซื้อเรือมาดประทุม ๔ แจวได้ลำ ๑ พระราชทานชื่อว่าเรือต้นได้ยินรับสั่งถามให้แปลกันว่าเรือต้นแปลว่ากระไร บางท่านแปลว่าเรือเครื่องต้น บางท่านแปลว่าเรือทรงอย่างในเห่เรือว่า “ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย” ดังนี้ แต่บางท่านก็แปลเอาตื้น ๆ ว่าหลวงนายศักดิ์เป็นคนคุมเครื่องมหาดเล็กตามเสด็จ หลวงนายศักดิ์ชื่ออ้น รับสั่งเรียกว่า ตาอ้น ตาอ้น เสมอ คำว่าเรือต้นนี้ก็จะแปลว่าเรือตาอ้นนั้นเอง แปลชื่อเรือต้นกันเป็นหลายอย่างดังนี้อย่างไรจะถูกฉันก็ไม่ทราบแน่ แต่วันนี้กว่าจะเสด็จกลับมาถึงเมืองราชบุรีเกือบยาม ๑ ด้วยต้องทวนน้ำเชี่ยวมาก เหนื่อยบอบมาตามกัน เริ่มเรียกการประพาสวันนี้ว่า ประพาสต้น เลยเป็นมูลเหตุที่เรียกการประพาสไปรเวตในวันหลัง ๆ ว่า ประพาสต้นต่อมา
    วันที่ ๑๙ เสด็จเรือมาดแจวประพาสทุ่งทางฝั่งตะวันออก ฉันไปตามเสด็จไม่ทัน ต่อมาเวลาค่ำจึงไปที่พลับพลา ได้ยินโจษกันเป็นปัญหาขึ้นอย่าง ๑ ว่า ในเมืองไทยทุกวันนี้ก็มีรถไฟไปมาได้รวดเร็ว ถ้าจะไปเที่ยวกันในทางรถไฟสักวันหนึ่งสองวันไม่มีอะไรไปเลยมีแต่เงินติดกระเป๋าไปอย่างผู้ดี ๆ เช่นนี้ จะไปเที่ยวได้หรือไม่ บางคนว่าไปได้ บางคนมีนายวงศ์ตะวันเป็นต้น ซึ่งเคยไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเห็นว่าจะไปไมได้ ขัดข้องด้วยไม่มีโฮเต็ลที่พักเป็นต้น ความทั้งนี้ทราบถึงพระกรรณ จึงตกลงว่าควรจะทดลองดูให้เห็นจริงในเที่ยวนี้ พรุ่งนี้จะเสด็จที่แห่งใดแห่งหนึ่งด้วยรถไฟ แล้วและกลับทางเรือจนถึงพลับพลาแรมไม่มีอันใดไปนอกจากเงิน ลองดูสักทีจะมีติดขัดอย่างใดบ้าง ฉันได้รับคำสั่งให้ไปตามเสด็จด้วย มานึกดูก็ชอบกล ถ้าเป็นคนเลวจะขัดข้องอันใดมี เที่ยวซื้อข้าวแกงตามตลาดหรือเที่ยวขอเขากินก็จะได้ ส่วนที่อยู่ที่พักจะไปอาศัยบ้านเรือนเขา หรือแม้ที่สุดจะไปอาศัยนอนตามวัดก็ไม่เห็นจะขัดข้อง เขาเที่ยวกันเช่นนั้นถมไป แต่นี่ท่านเป็นเจ้าเป็นนายเป็นผู้ลากมากดี ซึ่งรังเกียจกับข้าวของกินที่เขาวางเร่ขายไว้ตามตลาด และรังเกียจความโสโครก จะไปหาที่พักอาศัยให้สมควรดูก็เป็นการยากที่จะหาได้ แต่อย่างไรคงจะได้เห็นกันในวันพรุ่งนี้
    วันที่ ๒๐ กรกฎาคม เสด็จอาศัยรถไฟบ่ายที่จะไปกรุงเทพฯ ที่ใช้คำว่าเสด็จอาศัยในที่นี้ เพราะเสด็จรถไฟชั้น ๓ ประทับปะปนไปกับราษฎร ไม่ให้มีใครรู้ว่าใครเป็นใคร เพื่อจะใคร่ทรงทราบว่าราษฎรอาศัยไปมากันอย่างไร เจ้าพนักงานรถไฟก็เหลือดีมีอัธยาศัยรู้พระราชประสงค์ที่จริงแกรู้แต่แกล้งทำเฉยมาเรียกติเก็ตตรวจพวกเราเหมือนกับราษฎรทั้งปวง ทำไม่ให้ผิดกันอย่างไร ต่อผู้ใดสังเกตจริง ๆ จึงจะพอเห็นได้ว่าหน้าแกออกจะซีด ๆ และเมื่อไปเรียกติเก็ตพระเจ้าอยู่หัวมือไม้แกสั่นผิดปกติ
    เรื่องทดลองเดินทางด้วยไม่มีอะไรนอกจากเงินตามที่ได้ปรึกษากันเมื่อคืนนี้นั้น เป็นตกลงว่าจะเสด็จไปลงที่โพธาราม หาเสวยเย็นที่นั้นแล้วจะหาเรือล่องกลับเมืองราชบุรี ได้แบ่งหน้าที่ไปเป็นพนักงานพาหนะพวก ๑ พนักงานครัวพวก ๑ ต่างมีหน้าที่ที่จะต้องจัดทำการที่เกี่ยวด้วยแผนกนั้น ๆ ให้ตลอดไป
    รถไฟในวันนี้ไม่สะดวกด้วยน้ำพักสะพานที่บ้านกล้วยเซไป รถไฟข้ามไม่ได้ ต้องไปหยุดรถให้คนโดยสารลงเดินไต่ทางไปขึ้นรถพ่วงใหม่ฟากสะพานข้างโน้น ฝนก็ตกออกจะลำบากบ้างเล็กน้อย แต่ก็มีประโยชน์อยู่บ้างที่เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานกองเสบียงได้เห็นปลาทูสดเจ๊กเอามาแต่เมืองเพชรบุรีกระจาดหนึ่ง จะเอาไปขายที่ไหนไม่ทราบ ว่าซื้อตกลงกันได้ปลาทูสดนั้นมาเป็นเสบียงสำหรับเวลาเย็น เป็นที่อุ่นใจว่าอาหารเย็นวันนี้จะไม่ฝืดเคือง ครั้นไปถึงโพธารามต่างกองต่างแยกกันเที่ยวทำการตามหน้าที่ที่กะไว้ พวกกองพาหนะก็เที่ยวหาเช่าเรือและหาที่อาศัยชุมนุมเลี้ยงกันเวลาเย็น พวกกองครัวก็เที่ยวซื้อหาอาหารเครื่องภาชนะใช้สอยต่าง ๆ คือ หม้อข้าวและถ้วยชามรามไห เป็นต้น ได้พร้อมแล้วก็หุงข้าวต้มแกงตามลำพังฝีมือพวกที่ไปตามเสด็จสำเร็จได้เลี้ยงกันพอเวลาพลบค่ำ ที่คาดหมายไปว่าจะได้กินสนุกยิ่งกว่าอร่อยเป็นการคาดผิดทั้งสิ้น อาหารวันนี้อร่อยเหลือเกิน ดูเหมือนจะกินอิ่มจนเกือบเดินไม่ไหวแทบทุกคน
    เวลาสัก ๒ ทุ่มออกเรือที่เช่าเขา ๓ ลำ ล่องลงมาจากโพธาราม เรือเหล่านี้เป็นเรือประทุน ๒ แจว ที่เขาบรรทุกของสวนขึ้นไปขาย เสร็จแล้วจ้างเจ้าของเขาแจวลงมาส่ง
    ได้บอกมาข้างต้นว่า การเสด็จวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครรู้ว่าใครเป็นใคร แต่มาเกิดกลแตกขึ้นเมื่อขาล่องเรือลงมาในประทุนเรือลำพระที่นั่ง เจ้าของเขามีพระบรมรูปเข้ากรอบติดไว้ที่เครื่องบูชา ไปรับสั่งถามยายเมียเจ้าของเรือว่ารูปใคร ยายนั่นกราบทูลว่า พระรูปเจ้าชีวิต รับสั่งถามต่อไปว่า แกได้เคยเห็นเจ้าชีวิตหรือไม่ แกกราบทูลว่าเคยเห็น ๓ หน รับสั่งถามว่าได้เห็นที่ไหนบ้าง แกกราบทูลว่า “ได้เห็นในบางกอก ๒ หน กับมาเห็นวันนี้อีกหน ๑” ล่องมาถึงเมืองราชบุรีเวลา ๔ ทุ่ม เขียนมาถึงนี่ออกหาวนอนเต็มทีขอยุติเรื่องราวตอนนี้เพียงนี้




    นายทรงอานุภาพ


    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_5744_1.jpg
      IMG_5744_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82 KB
      เปิดดู:
      1,512
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2013
  11. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    [​IMG]

    จดหมายฉบับที่ ๔






    เมืองสมุทรสงคราม



    วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๓





    ถึง พ่อประดิษฐ์

    ในจดหมายฉบับที่ฉันส่งไปจากเมืองราชบุรี ได้เล่าถึงเรื่องที่ไปทำครัวปัจจุบันเลี้ยงกันที่โพธาราม บรรดาผู้ที่ได้ไปในวันนั้น ตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวเป็นต้นลงมาพากันเห็นคุณในการทำครัวเลี้ยงกันในเวลาเที่ยวหาความสบายเช่นนี้ ว่าเป็นเหตุให้เจริญอาหารดีกว่าบริโภคอาหารซึ่งกุ๊กทำเป็นอันมาก จึงตกลงกะการให้มีเครื่องครัวปัจจุบันติดไปในเวลาเสด็จประพาสต้น คือมีหม้อข้าวเตาไฟ ถ้วยชามและเครื่องครัวบรรทุกไปในเรือมหาดเล็ก กำหนดว่าไปถึงตลาดจะมีที่ซื้อหาเสบียงอาหารได้แห่งใด จะแวะซื้อเสบียงอาหารและไปหาที่ทำครัวเลี้ยงกันในระยะทางทุกโอกาสที่จะมีจะทำได้ ส่วนพวกที่ตามเสด็จนั้นก็แบ่งหน้าที่กันตามถนัด ใครทำกับข้าวของกินเป็นก็มีหน้าที่เป็นหน้าเตาสำหรับทำกับข้าวของกิน ที่หุงข้าวดีเป็นพนักงานหุงข้าว ส่วนตัวฉันนั้นอยู่ในพวกที่ทำอะไรไม่เป็นแต่ท่านไม่ยอมให้กินเปล่า จึงต้องรับหน้าที่เป็นกองล้างชามกับคุณหลวงรัตนาวุธ นายอัษฎาวุธและท่านมหาสม รวมสี่คนด้วยกัน ที่จริงนายวงศ์ตะวันก็ทำอะไรไม่เป็น ควรจะมาเข้ากองล้างชามด้วยกัน แต่เขาอายดูเหมือนจะเห็นว่า การล้างถ้วยชามนั้นเป็นหน้าที่เลวทรามนัก สู้ไปอาสาพวกหน้าเตาให้เขาใช้สอยขอดเกล็ดปลาและสับหั่นไปตามเพลง ที่จริงหน้าที่กองล้างชามนั้นเป็นการประณีตมาก เมื่อฉันเล่าให้ฟัง พ่อประดิษฐ์ก็คงจะเห็นได้ว่าไม่ใช่การเลวเลย คือในกองนี้มีสบู่ แปรง ผ้าสำหรับเช็ด และส้มสำหรับฟอกจัดลงไว้ในหีบ ซึ่งเที่ยวซื้อเอาตามตลาดเหมือนกับหีบปิกนิกเป็นเครื่องมือสำหรับตัว เมื่อเสด็จไปถึงที่ใดซึ่งกะว่าจะเป็นที่ทำครัวและเลี้ยงอาหาร หน้าที่ของพนักงานกองล้างชาม ในเบื้องต้นจะต้องเที่ยวตรวจหาว่าสถานที่ใดควรจะเป็นที่เลี้ยงและเป็นที่ทำครัวได้ ยกตัวอย่างดังว่าจะทำครัวเลี้ยงกันที่วัดแห่งใดแห่งหนึ่ง พอจอดเรือเข้าไปพนักงานกองล้างชามก็ต้องขึ้นก่อน ไปเที่ยวหาที่ว่าจะควรใช้การเปรียญหรือศาลาน้ำจะเหมาะดี เมื่อตกลงสมมติที่แล้ว กองล้างชามจะต้องเที่ยวหาโอ่งอ่างและน้ำสำหรับใช้ให้พอการ กระบวนเที่ยวค้นคว้าเหล่านี้เกือบจะถูกหมากัดก็หลายครั้ง บางทีก็ไปตกร่อง บางทีหัวโดนชายคา มีอันตราย ต้องการความกล้าหาญอยู่บ้าง ครั้นได้ที่แล้วต้องลงมือล้างถ้วยชามฟอกด้วยสบู่ให้สะอาดหมดคาว และเรียบเรียงไว้จ่ายแก่พวกหน้าเตาให้ทันต้องการใส่กับข้าว ล้างชามเสร็จแล้วคราวนี้ต้องปูเสื่อปูพรม ตั้งกระโถนคนทีและยกกับข้าวไปเรียบเรียง เสร็จแล้วพนักงานล้างชามยังมีหน้าที่ที่จะต้องเชื้อเชิญบริษัทให้พร้อมกันมาบริโภคอาหารจึงเป็นเสร็จธุระ ที่ฉันพรรณนามาถึงหน้าที่กองล้างชามนี้อยู่ข้างจะยืดยาว แต่ถ้าไม่พรรณนาให้เข้าใจ พ่อประดิษฐ์ก็จะเห็นว่าหน้าที่ของฉันเลวทราม เพราะที่จริงชื่อกองล้างชามไม่สู้เพราะมันไปเข้าสุภาษิตโบราณที่เขาว่า “อิ่มก่อนดูโขนดูหนัง อิ่มทีหลังล้างถ้วยชาม” เรื่องล้างชามออกจะเสียงชื่ออยู่จึงต้องอธิบายให้เข้าใจไว้

    เมื่อว่าถึงระยะทางที่เสด็จต่อมา วันที่ ๒๑ กรกฎาคม เวลาเช้าเสด็จประพาสตลาด ไปพบยายเจ้าของเรือที่แกเคยเห็นเจ้าชีวิต ๓ หน แกพาลูกมาเฝ้าทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องแต่งตัวแก่เด็กนั้นหลายอย่าง ประพาสตลาดแล้ว ออกเรือพระที่นั่งจากเมืองราชบุรี กระบวนเรือพลับพลาให้ล่องลงไปตามลำแม่น้ำใหญ่ไปคอยที่เมืองสมุทรสงคราม เสด็จเรือมาด ๔ แจว มีเรือต้นที่ซื้อใหม่เป็นเรือที่นั่งรอง พ่วงเรือไฟเล็ก เข้าทางแม่น้ำอ้อม ไปแวะซื้อเสบียงอาหารที่ตลาดปากคลองวัดประดู่ พวกเราเดินชุลมุนขวักไขว่กันไปตามเพลงไม่มีใครจะรู้จัก เขากำลังเล่นลิเกกันหน้าโรงบ่อน ฉันเดินไถลไปดู ไปพบทหารเรือซึ่งเคยเป็นบ๋อยพระยาชลยุทธ รู้จักกันมาแต่ก่อน เห็นมันรู้จักจึงกระซิบบอกอ้ายหมอนั่นว่า เอ็งอย่าอึกทึกให้ใครรู้ว่าเสด็จ ดูมันก็ทำนิ่งเฉยดีอยู่ไม่เห็นผู้ใดรู้เห็นวี่แวว จนกระทั่งเสด็จกลับลงเรือ พอเรือออกจากท่าเจ้าพิณพาทย์ลิเกก็ตีเพลงสรรเสริญพระบารมีส่งเสด็จ นี่แลจะเป็นด้วยเหตุบ๋อยพระยาชลยุทธไปโจษขึ้นหรืออย่างไรก็หาทราบไม่ ออกจากตลาดแจวเข้าคลองเล็กไปจนถึงวัดประดู่ หยุดพักทำครัวเสวยเช้าที่วัดนั้น กองล้างชามเที่ยวตรวจไปได้ความแปลกประหลาดที่วัดนี้ว่าเป็นหมอน้ำมนต์ มีผู้คนที่เจ็บไข้ไปคอยรดน้ำมนต์รักษาตัวอยู่หลายคน ได้ความเป็นโรคผีเข้าบ้าง ถูกกระทำยำเยียบ้าง และโรคอย่างอื่น ๆ บ้าง เมื่อเลี้ยงกันเสร็จแล้วจึงพร้อมกันไปดูรดน้ำมนต์ รดน้ำมนต์อย่างนี้ฉันก็พึ่งเคยเห็น คนพูดจากันอยู่ดี ๆ พอเข้าไปนั่งให้พระรดน้ำ ก็มีกิริยาอาการวิปลาสไปต่าง ๆบางคนก็เฝ้าแต่ขากเสลดพ่นน้ำลายดังขากปู ๆ ไปจนพระหยุดรดน้ำมนต์จึงหยุดขาก กลับหันมาบอกเราว่าสบายเบาในอกโล่งทีเดียว ยายแก่คน ๑ ตาบอด ลูกสาวพามาให้พระรดน้ำมนต์ พอรดแกก็ร้องครวญครางและวิงวอนว่ากลัวแล้ว จะไปแล้วเท่านั้นเถิดอย่างนี้จนพระหยุด ถามคนไข้ได้ความว่า ยายคนนี้เดิมมีผู้มาขอลูกสาวแกไม่ให้ เขาโกรธกระทำให้ผีสิงจนไม่เป็นสติอารมณ์ ต้องมารักษาตัวที่วัดประดู่ พอได้สติค่อยยังชั่วขึ้นสักหน่อย นี่แหละจะจริงเท็จเพียงใดก็ไม่ทราบ เล่าเท่าที่ตาเห็น แต่พวกเราที่ไปตามเสด็จไม่มีใครรับอาสาเข้าไปให้พระรดน้ำมนต์ถวายตัวจึงไม่มีพยานที่จะยืนยัน ถ้าหากว่าพวกเราเข้าไปจากปูลงสักคนก็เห็นจะน่าเชื่อขึ้นมาก ออกจากวัดประดู่ล่องกลับมาได้ยินเสียงกลองละครชาตรีมีอยู่ในสวน รับสั่งให้แวะเรือพระที่นั่งเข้าไป จะใคร่ทรงทราบว่าเขามีงานการอะไรกัน ไปพบละครชาตรีมีอยู่ที่บ้านตาหมอสี เป็นพลเรือนอย่างโบราณลงมาต้อนรับ เห็นตานี่จะนอนดูละครจนหลับ หน้าตายู่ยี่ ตัวยังเป็นรอยเสื่อ แต่แกต้อนรับแข็งแรงพูดจาอย่างเก่า ว่ายังงั้นซีพะว่ายังงี้ซีพะ ไม่ใช่ขอรับหรือจ๊ะจ๋า นาน ๆ ได้พบอย่างนี้น่าฟังดี ได้ความว่าลูกแกเจ็บได้บนบานไว้ ครั้นรักษาหายจึงได้มีละครชาตรีแก้สินบน ออกจากคลองวัดประดู่เย็นมากแล้ว เรือไฟลากล่องมาถึงแม่น้ำใหญ่จวนจะค่ำ หาที่ทำครัวเย็นก็ไม่ได้เหมาะ ล่องเรือลงมาเห็นบ้านแห่งหนึ่งสะอาดสะอ้านดี มีเรือนแพอยู่ริมน้ำ รับสั่งว่าที่นี่เห็นพอจะอาศัยเขาทำครัวสักครั้งหนึ่งได้ ให้กรมหลวงดำรงรับหน้าที่ขึ้นไปขออนุญาตต่อเจ้าของบ้าน กรมหลวงดำรงเสด็จขึ้นไปไต่ถาม ได้ความว่าเป็นบ้านนายอำเภอ นายอำเภอไปจัดฟืนเรือไฟที่ตรงบ้านข้าม อยู่แต่ภรรยา หารู้จักกรมหลวงดำรงไม่ ขออนุญาตทำครัวที่เรือนแพได้ดังปรารถนา พอขนของครัวขึ้นเรือนแพแล้ว กรมหลวงดำรงยังไม่ทันเสด็จลงมาจากบนเรือนใหญ่ นายอำเภอก็กลับมาถึงไม่ทันได้เหลียวแลเห็นพระเจ้าอยู่หัวที่เรือนแพ มุ่งหน้าตรงขึ้นไปถวายคำนับเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่เรือนใหญ่ นายอำเภอเพ็ดทูลกรมหลวงดำรงอยู่ไม่ทันได้กี่คำ นายอัษฎาวุธก็คลานศอกนำหนังสือรับสั่งไปถวายกรมหลวงดำรงว่า ขอให้เขารู้จักแต่กรมหลวงดำรงพระองค์เดียวเถิด ฉันนั่งดูนายอัษฎาวุธคลานเข้าเฝ้ากรมหลวงดำรง ทำท่าทางสนิทราวกับเป็นข้าไท แต่กรมหลวงดำรงนั้นพออ่านหนังสือรับสั่งแล้วดูพระพักตร์สลดเห็นประทับนิ่งไม่รับสั่งว่ากระไร เป็นแต่พยักพระพักตร์ให้นายอัษฎาวุธกลับลงมา อีกสักครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงรับสั่งกับนายอำเภอและกำนันผู้ใหญ่บ้านถึงราชการงานเมืองอะไรต่ออะไรอึงอยู่บนเรือน พวกกองครัวก็ทำครัวกันอยู่ที่เรือนแพ ทำเสร็จแล้วแต่งเครื่องให้คุณหลวง นายศักดิ์เชิญขึ้น ไปตั้งถวายกรมหลวงดำรงเสวยพร้อมกับเครื่องเคราที่เจ้าของบ้านเขาหาถวาย ครั้นเสร็จเรื่องแล้วเมื่อจะลงเรือ กรมหลวงดำรงเสด็จกลับมาจะลงเรือ นายอำเภอกำนันผู้ใหญ่บ้านตามลงมาส่งเสด็จมารุมมาตุ้ม พวกที่ไปตามเสด็จรับกระแสรับสั่งไว้ให้หมอบกรานรับเสด็จกรมหลวงดำรงอย่างเป็นข้าในกรม ส่วนพระเจ้าอยู่หัวเสด็จหลบออกไปบังอยู่เสียหลังเก๋งท้ายเรือ พระราชทานพระราชอาสน์ไว้สำหรับกรมหลวงดำรงประทับ กรมหลวงดำรงเลยทรงไถลว่าเดือนหงายสบายดีจะยืนอยู่หน้าเก๋ง รีบให้ออกเรือแต่พอพ้นหน้าบ้านก็รับสั่งบ่นใหญ่ ว่าเล่นอย่างนี้เต็มทีไม่สนุก แต่คนอื่นพากันหัวเราะกรมหลวงดำรงทั่วทั้งลำ เวลาสักยามหนึ่งจึงมาถึงที่ประทับเมืองสมุทรสงคราม
    วันที่ ๒๒ กรกฎาคม เวลาเช้าเสด็จไปทอดพระเนตรวัดพวงมาลัย แล้วเสด็จขึ้นไปประพาสตลอดคลองอัมพวา เสด็จเป็นอย่างประพาสต้นเหมือนเมื่อเสด็จวัดประดู่ แต่วันนี้เกิดเหตุขัดข้องประพาสไม่ได้สะดวก ด้วยในเมืองสมุทรสงครามนี้เขามีข้อบังคับกวดขัน ถ้าเรือหรือผู้คนแปลกประหลาดมาในท้องที่ ราษฎรบอกกำนันผู้ใหญ่บ้าน กำนันผู้ใหญ่บ้านต้องรีบลงเรือไปทักถามเป็นธรรมเนียมบ้านเมืองอยู่ดังนี้ วันนี้ไม่ได้บอกให้ใครทราบว่าจะเสด็จอัมพวา เขาคงจะมาทราบแต่ว่ามีเรือและคนแปลกประหลาดมาก็ทำตามหน้าที่ จนเรารำคาญแจวกระดิกไปข้างไหนก็พบแต่เรือกำนันผู้ใหญ่บ้านออกมาถามว่าเรือใครไปไหน หลบลำนี้ไปเจอลำโน้นเหมือนกับจะถูกล้อมจับ ใช่แต่เท่านั้นเจ้านายที่ไปตามเสด็จ ๒ พระองค์กับขุนสวรรค์วินิตมีญาติวงศ์พงศาและพวกพ้องอยู่ในแถวอัมพวานี้มาก ท่านพวกเหล่านี้พอเหลือบแลเห็น ก็พากันมาชื่นชมยินดีเรียกร้องกันติดตามมารุมมาตุ้ม ยิ่งหนีก็ยิ่งตาม ลงที่สุดพระเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จลงเรือต้นแยกไปประพาสแต่ลำเดียว ปล่อยเรือพระที่นั่งมาดไว้ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านและชาวอัมพวาติดตามให้พอใจ ฉันถูกอยู่กับเรือมาด นั่งนึกขันในใจที่พวกชาวบางช้างพากันยิ้มแย้มแจ่มใสติดตามมาเฝ้าเจ้านายที่เป็นญาติ และหมายจะพบปะขุนสวรรค์วินิต ไม่มีใครในพวกนั้นจะคิดเห็นเลยว่ามาทำความรำคาญแก่ท่านทั้ง ๒ นั้นสักเพียงใด เขามาดี ๆ จะโกรธขึ้งก็ยาก ขุนสวรรค์จึงออกปัญญาว่ายายหนูแก่แล้วแดดร้อนเอากลับไปบ้านเสียเถิด ยายหนูกลับไปประเดี๋ยวเรือลำนั้นกลับมาอีก ยายหมับแกไม่แก่เหมือนยายหนู และแกไม่กลัวแดดจะทำอย่างไร ช่วยกันคิดอ่านไล่พวกอัมพวาอยู่จนกระทั่งเสด็จกลับจากประพาสคลองอัมพวา แล้วจึงได้ออกเรือเลยไปพักเสวยเช้าที่วัดดาวดึงส์ เสร็จแล้วแจวต่อไปบางน้อย ประพาสบ้านกำนันจัน แล้วกลับทางแม่กลองมาถึงที่ประทับเวลา ๒ ทุ่ม
    วันที่ ๒๓ กรกฎาคม เวลาเช้าเสด็จทอดพระเนตรที่ว่าการเมืองแล้วเสด็จวัดอัมพวัน กลับมาถึงที่ประทับเวลาค่ำ พรุ่งนี้กำหนดจะเสด็จเมืองเพชรในกระบวนใหญ่ เพราะจะต้องข้ามอ่าวทะเลจากปากน้ำแม่กลองไปข้างบางตะบูน แต่น้ำมากเรือกระบวนจะออกอ่าวได้ต่อเวลาเที่ยง ได้ทราบว่าตอนเช้าจะเสด็จไปทอดพระเนตรจับปลาที่ละมุก่อนแล้วจึงจะเสด็จมาขึ้นเรือพระที่นั่งที่เมืองสมุทรสงคราม
    แต่เดิมฉันตั้งใจว่าจะไปเขียนจดหมายต่อเมื่อเสด็จไปถึงเมืองเพชรบุรี แต่เมื่อมาถึงเมืองสมุทรสงคราม ได้ข่าวว่ามีเรือเมล์เดินถึงกรุงเทพ ฯ ประจวบเรือเมล์จะออกพรุ่งนี้เช้า จึงได้จดหมายฉบับนี้ส่งมา





    นายทรงอานุภาพ


    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ถูกกระทำยำเยีย - ถูกกระทำตามวิธีไสยศาสตร์ ให้มีอันเป็นไปต่างๆ



    ....................................................

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1387608/[/MUSIC]
    ....................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2013
  12. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837

    [​IMG]

    จดหมายฉบับที่ ๕





    เมืองเพชรบุรี


    ณ วันที่ ๒๙ เดือนกรกฎาคม ร.ศ.๑๒๓




    ถึง พ่อประดิษฐ์

    จดหมายฉบับก่อนฉันส่งไปแต่เมืองสมุทรสงคราม บัดนี้ตามเสด็จมาประพาสเมืองเพชรบุรีได้ ๖ วัน จะเสด็จจากเมืองเพชรบุรีพรุ่งนี้ มีเวลาว่างอยู่บ้าง ฉันจึงได้จดหมายฉบับนี้ส่งมาบอกข่าวคราว

    วันที่ ๒๔ เวลาเช้าเสด็จทรงเรือฉลอม แล่นใบออกไปประพาสละมุที่เขาจับปลาตามปากอ่าวแม่กลอง มีเรือฉลอมแล่นไปในกระบวนเสด็จ ๓ ลำด้วยกัน เที่ยวซื้อกุ้งปลาที่เขาจับได้ตามละมุ แล้วต้มข้าวต้ม ๓ กษัตริย์ขึ้นในเรือฉลอม ที่เรียกว่า ข้าวต้ม ๓ กษัตริย์นั้นคือต้มอย่างข้าวต้มหมู แต่ใช้ปลาทู กุ้ง กับปลาหมึกสดแทรกแทนหมู เป็นของทรงประดิษฐ์ขึ้นในเช้าวันนั้นเอง ตั้งแต่ฉันเกิดมาไม่เคยกินข้าวต้มอร่อยเหมือนวันนั้นเลย เฉพาะเหมาะถูกคราวคลื่นราบลมดี เรือฉลอมแล่นใบเร็วฉิวราวกับเรือไฟ เสด็จพระองค์อาภาเป็นกัปตันถือท้ายเรือพระที่นั่ง แล่นลิ่วออกไปจากปากน้ำแม่กลองแต่อย่างไรแล่นไกลออกไปทุกที ๆ นานเข้าพวกเจ้าของเรือเห็นจะออกประหลาดใจแลดูตากันไปมา ท่านก็ทอดพระเนตรเห็นแต่เห็นท่านยิ้ม ๆ กัน ฉันออกเข้าใจว่าเห็นจะแล่นใบเลยไปเมืองเพชรแน่แล้ว ดูใกล้ปากน้ำบ้านแหลมเข้าทุกที พอแล่นเข้าไปในปากน้ำ ก็พบกับกรมหมื่นมรุพงศ์ทรงเรือไฟศรีอยุธยามาคอยรับเสด็จอยู่ที่ปากน้ำ เป็นอันเข้าใจได้ว่ามีอะไรที่จะเล่นกันสักอย่างหนึ่ง ซึ่งท่านได้ทรงนัดแนะกันไว้แล้วเป็นแน่ ได้ยินแต่กรมหมื่นมรุพงศ์กราบทูลว่าสำเร็จสนิทดีทีเดียว เสด็จลงเรือศรีอยุธยาแล่นขึ้นตามลำแม่น้ำเมืองเพชรบุรี พอจวนจะถึงเมืองรับสั่งเรียกพวกที่ไปตามเสด็จให้เข้าซ่อนตัวอยู่ในเก๋ง มีแต่กรมหมื่นมรุพงศ์ประทับอยู่หน้าเรือพระองค์เดียว ฉันแอบมองตามช่องม่านเมื่อแล่นผ่านพลับพลาเห็นเจ้าพระยาสุรพันธ์นั่งอยู่ที่นั้น ได้ยินเสียงกรมหมื่นมรุพงศ์ร้องรับสั่งขึ้นไปแก่เจ้าพระยาสุรพันธ์ว่า “เห็นจะเสด็จถึงค่ำละเจ้าคุณ ให้เตรียมคบไฟไว้เถิด ฉันจะขึ้นไปหาเสบียงที่ตลาดสักประเดี๋ยวจะกลับลงมา” แล้วเรือศรีอยุธยาก็แล่นลอดสะพานช้างขึ้นไปจอดหน้าบ้านเจ้าพระยาสุรพันธ์ เสด็จขึ้นประทับในบ้านเจ้าพระยาสุรพันธ์ แล้วรับสั่งให้กรมหมื่นมหิศรไปตามเจ้าพระยาสุรพันธ์มาเฝ้า ประเดี๋ยวใจเจ้าพระยาสุรพันธ์วิ่งตุบตับมาหน้านิ่วถวายคำนับแล้วยืนถอนใจใหญ่ มีรับสั่งว่ามาตอบแทนที่เจ้าพระยาสุรพันธ์ล่วงหน้าไปรับถึงบ้านปากท่อเมื่อเสด็จคราวก่อน เจ้าพระยาสุรพันธ์ก็ไม่เพ็ดทูลว่ากระไร พวกเราก็สิ้นเกรงใจลงนั่งหัวเราะเจ้าพระยาสุรพันธ์งอ ๆ ไปตามกันพอลับหลังพระที่นั่ง เจ้าพระยาสุรพันธ์ไพล่มาโกรธเอาพวกเราไม่เลือกหน้าว่าใคร กรมหมื่นมรุพงศ์เป็นผู้ถูกตัดพ้อต่อว่ามากกว่าผู้อื่น แต่ท่านยิ่งโกรธเท่าใดก็ยิ่งทำให้พวกเราหัวเราะยิ่งขึ้นจนหายโกรธไปเอง

    เสด็จประทับอยู่ที่เมืองเพชรบุรีนี้มาใคร่มีโอกาสได้ประพาสต้น เพราะไม่มีทางที่จะเล็ดลอดหลีกไปได้เหมือนแถวแม่น้ำราชบุรีและสมุทรสงคราม ความสนุกสนานแปลกประหลาดไม่ใคร่จะมี จะเล่าระยะทางที่เสด็จให้พ่อประดิษฐ์ทราบแต่พอเป็นเลา ๆ คือ วันที่ ๒๕ เสด็จประพาสทางเรือข้างเหนือน้ำ วันที่ ๒๖ เสด็จทางเรือไปประพาสบางทะลุ ประทับแรมที่บางทะลุคืนหนึ่ง ยุงชุมพอใช้ วันที่ ๒๗ เสด็จเรือฉลอมแล่นใบจากบางทะลุมาทางทะเลเข้าบ้านแหลมน้ำงวดเรือติดที่ปากอ่าว พายุฝนก็ตั้งมืดมาจะรออยู่ช้ากลัวจะถูกพายุ ผู้ที่ไปตามเสด็จจึงพร้อมใจกันอาสาลงลุยเลนเข็นเรือกับพวกเจ้าของเรือ สงสารแต่นายอัษฎาวุธ เขายอมยกให้แล้วว่าไม่ต้องลงก็ไม่ฟัง อุตส่าห์ลงลุยเลนเข็นเรือโคลนเปื้อนมอมไปทั้งตัว พอเรือพ้นตื้นเข้าปากน้ำได้ ก็ถูกฝนใหญ่เปียกกันมอมแมม กลับถึงเมืองเพชรบุรีสักทุ่ม ๑ วันที่ ๒๘ เช้าเสด็จประพาสพระนครคีรี ถวายพุ่มพระสงฆ์เข้าพระวษาด้วย วันที่ ๒๙ เช้าเสด็จประพาสวัดต่าง ๆ ในเมืองเพชรบุรี บ่ายวันนี้จะออกกระบวนเรือใหญ่ล่องลงไปประทับแรมที่บ้านแหลม พรุ่งนี้จะออกจากบ้านแหลมเสด็จไปประทับแรมเมืองสมุทรสาคร



    นายทรงอานุภาพ


    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    เสด็จพระองค์ภา - พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหมื่น (ต่อมา เป็นกรมหลวง) ชุมพระเขตอุดมศักดิ์ ผู้บังคับบัญชาการทหารเรือ ปรากฎพระนามว่าทรงถือท้ายเรือดีนัก


    กรมหมื่นมรุพงศ์ - กรมหมื่น (ต่อมาเป็นกรมขุน) มรุพงศ์ศิริพัฒน ขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า (พระนครศรีอยุธยา)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 507319.jpg
      507319.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.8 KB
      เปิดดู:
      2,848
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2013
  13. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    จดหมายฉบับที่ ๖



    บ้านปากไห่


    วันที่ ๖ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๓



    ถึง พ่อประดิษฐ์

    พรุ่งนี้ฉันจะกลับถึงบ้านแล้ว วันนี้เขียนจดหมายมาเล่าเรื่องที่ตามเสด็จให้พ่อประดิษฐ์ฟังเสียอีกฉบับ ถ้ามีเรื่องราวอะไรต่อไปนี้ จะเล่าให้ฟังเมื่อไปพบกับพ่อประดิษฐ์ในกรุงเทพฯ ทีเดียว

    ตั้งแต่ฉันจดหมายไปถึงพ่อประดิษฐ์ จากเมืองเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม บ่ายวันนั้นออกกระบวนเรือใหญ่ล่องลงมาประทับแรมที่บ้านแหลม ทอดพระเนตรเห็นเรือเป็ดทะเลทอดอยู่ที่นั่นหลายลำ รับสั่งว่าเรือเป็ดทะเลมีประทุนน่าจะสบายดีกว่าเรือฉลอม ใครกราบทูลไม่ทราบว่าเรือเป็ดทะเลแล่นใบเสียดดีกว่าเรือฉลอมด้วย จึงตกลงว่าจะลองเสด็จเรือเป็ดทะเลแล่นใบจากบ้านแหลมตรงมาเข้าปากน้ำท่าจีน เพราะเมืองสมุทรสงครามและคลองสุนัขหอนก็ได้เคยเสด็จประพาสแล้ว ตระเตรียมเรือเป็ดทะเลกัน ๓ ลำ พอเวลาเช้าก็แล่นใบออกจากปากน้ำบ้านแหลม ฉันตามเสด็จมาในเรือลำพระที่นั่ง ตอนเช้าคลื่นราบได้ลมดี ได้เห็นเรือเป็ดทะเลแล่นเสียดรวดเร็วดีกว่าเรือฉลอมจริงดังเขาว่า มาได้สัก ๒ ชั่วโมง พอพ้นปากน้ำแม่กลองมาตรงบ้านโรงกุ้งออก ๆ จะมีคลื่น เรือโยนแรงขึ้นทุกที ๆ มีคนที่ไปตามเสด็จด้วยกันเมาคลื่นลงหลายคน แต่ฉันมั่นใจว่าตัวเองคงไม่เมา เคยไปตามเสด็จทะเลมาถ้าจะนับเที่ยวก็แทบไม่ถ้วน ไม่เคยเมาคลื่นกับใครง่าย ๆ แต่อย่างไรวันนี้ดูออกจะสวิงสวายใจคอไม่สู้จะปกติ แต่แข็งใจทำหน้าชื่นมาได้สักชั่วโมงหนึ่ง คลื่นเจ้ากรรมก็หนักขึ้นลงปลายฉันเองก็ล้มขอนกับเขาอีกคนหนึ่ง ข้าวต้มสี่กษัตริย์ห้ากษัตริย์อะไรที่ทรงทำในวันนี้รับพระราชทานไม่ไหว ลงนอนแหมะอยู่หน้าเสาตอนศีรษะเรือนึกน้อยใจนายมานพ เห็นเพื่อนกันเมาคลื่นชอบแต่ว่าจะหาน้ำหาข้าวมาช่วยหยอด นี่กลับเอากล้องถ่ายรูปกันเล่นเห็นเป็นสนุก แต่จะตอบแทนอย่างไรเราก็เมาคลื่นเต็มทน ต้องนิ่งนอนเฉยจนเรือแล่นใบเข้าปากน้ำท่าจีนจึงลุกโงเงขึ้นได้ หิวเหมือนไส้จะขาด เที่ยวค้นคว้าหาอะไรกิน ได้แต่ข้าวต้มซึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้เก็บรักษาไว้พระราชทานชามหนึ่ง นอกจากนั้นจะเป็นลูกหมากรากไม้อะไรไม่มีเหลือ เพราะพวกที่เขาไม่เมาคลื่นว่ากันเสียชั้นหนึ่งแล้ว เหลืออยู่เท่าใดพวกที่หายเมาคลื่นก่อนฉันยังช่วยกันซ้ำเสียหมด เพราะฉันออกมานอนแน่วอยู่ทางหัวเรือ ลุกไม่ทัน ที่ได้กินข้าวต้มชามนั้นหนึ่งก็เพราะรับสั่งให้รักษาไว้พระราชทานฉันโดยเฉพาะ ถ้าหาไม่ข้าวต้มชามนั้นก็คงจะพลอยสูญไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามเถิด พอเข้าแม่น้ำได้ก็นึกสาปส่งว่า ขึ้นเชื่อว่าเรือเป็ดทะเลถึงจะแล่นใบเสียดดีกว่านี้อีกสักเท่าใด ๆ ก็เห็นจะไม่ยอมไปเรือเป็ดทะเลอีกแล้ว

    เสด็จมาถึงท่าจีน พอเวลาบ่ายแวะขึ้นซื้อเสบียงที่ตลาดบ้านท่าฉลอมแล้วเรือกระบวนใหญ่ยังมาไม่ถึง จึงได้พักทำครัวเย็นทีวัดโกรกกราก ตัวฉันเองยังรู้สึกบอบช้ำเรื่องเมาคลื่นไม่หาย นึกว่าถ้าได้อาบน้ำเสียสักทีเห็นจะสบาย จึงขึ้นไปขอน้ำอาบบนกุฏิพระ ไปเห็นตุ่มน้ำมนต์ตั้งเรียงกันอยู่บนนอกชานเป็นแถวเหมือนที่วัดประดู่ เข้าใจว่าท่านเจ้าของกุฏิ คงเป็นพระหมอน้ำมนต์ การก็จริงดังคาด พอฉันไปขออาบน้ำ ท่านก็เข้าใจว่าฉันจะไปขอรดน้ำมนต์ ชี้มือให้ไปนั่งที่ข้างตุ่ม ฉันได้เคยเห็นเยี่ยงอย่างที่วัดประดู่มาแล้ว จึงผลัดผ้าเข้าไปนั่งที่ข้างตุ่ม ทำท่าทางเอาอย่างตาจากปูที่ได้เคยเห็นมาแล้ว พระท่านก็เอาขันมาตักน้ำเสกเป่ารดน้ำมนต์ให้ ฉันนึก ๆ ในใจว่าน่าจะลองขากปูหรือดิ้นปัด ๆ ถวายพระสักที แต่ก็มายั้งใจเห็นไม่ได้การบาปกรรม และถ้าคนแถวนี้มีคนรู้จักว่าฉันเป็นใครก็จะเกิดเสียชื่อขึ้นจะเลยเห็นกรรมทันตา แต่น้ำมนต์ของท่านองค์นี้ดีจริง ตั้งแต่รดแล้วรู้สึกว่าโล่งใจหายเมาคลื่นสนิทดีทีเดียว

    วันที่ ๓๑ กรกฎาคม เวลาเช้าเสด็จกระบวนเรือต้นออกจากเมืองสมุทรสาครขึ้นไปตามลำน้ำ ไปพักทำครัวเช้าที่วัดบางปลา ส่วนกระบวนเรือใหญ่ ให้ตรงขึ้นไปจอดที่บ้านงิ้วรายแขงวงเมืองนครชัยศรี ระยะทางวันนี้ไกลด้วยไม่มีอะไรสนุกด้วย ที่สุดเมื่อเสด็จแวะทำครัวเย็นที่วัดตีนท่า ก็เป็นวัดศาลารวนเรจวนจะหักพัง ซ้ำถูกฝนถูกพายุ จนกลางคืนจึงได้ออกเรือแจวคลำขึ้นมามืด ๆ รวดตัวที่ได้น้ำขึ้น แจวตามน้ำขึ้นมาจนใกล้บ้านท่านา พบเรือไฟได้พ่วงต่อขึ้นมาถึงพลับพลาแรมเกือบ ๕ ทุ่ม

    วันที่ ๑ สิงหาคม เสด็จรถไฟไปประพาสพระปฐมเจดีย์ ทำครัวเช้าที่ลานพระ เจ้าคุณสุนทรเทศาแกงไก่ดีพอใช้ เพราะไก่พระปฐมเป็นที่เลื่องลืออยู่ด้วย แล้วลงเรือล่องมาประพาสที่พระประโทน มาพบมิวเซียมใหญ่ซึ่งโจษกันว่ามีอยู่นั้น คือท่านสมภารวัดพระประโทนเป็นผู้เก็บรวบรวมสะสมของโบราณที่ขุดได้ในแถวพระปฐมพระประโทนไว้มาก แต่ข่าวว่าเก็บซุกซ่อนมิได้ยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดดูเป็นอันขาด ครั้นเสด็จไปถึง ไปถามถึงเรื่องของเก่าท่านสมภารก็ยินดีเชิญเข้าไปในกุฏิแล้วยกหีบห่อของโบราณที่ได้สะสมไว้มาถวายให้ทอดพระเนตร และยอมให้ทรงเลือกแล้วแต่จะพอพระราชประสงค์ ทรงเลือกได้เครื่องสัมฤทธิ์ของโบราณ คือพระพุทธรูป เป็นต้น ซึ่งเป็นของแปลกดีหลายอย่าง ออกจากพระประโทนมาประทับทำครัวเย็นที่บ้าน ซึ่งพระยาเวียงไนออกไปตั้งผสมม้าอยู่ที่ธรรมศาลา แล้วเสด็จกลับมาทางเรือถึงบ้านงิ้วรายเวลาสัก ๒ ทุ่ม
    วันที่ ๒ สิงหาคม ฉันล่วงหน้าขึ้นมาก่อน ทราบว่าเสด็จแวะประพาสที่คลองภาษี แล้วเสด็จต่อมาถึงสองพี่น้องเวลาค่ำ

    ตามกำหนดเดิมกะว่าจะเสด็จถึงสองพี่น้องราวเวลาบ่ายสัก ๒ โมง จะประพาสบ้านสองพี่น้องและบ้านบางลี่ในเย็นวันนั้น รุ่งขึ้นจะออกกระบวนจากสองพี่น้องแต่เช้า ไปประทับแรมที่เมืองสุพรรณทีเดียว แต่เสด็จมาถึงเย็นเวลาไม่พอประพาส จึงต้องกะระยะทางแก้ใหม่ คือวันที่ ๓ เช้าประพาสบ้านสองพี่น้อง จะออกจากสองพี่น้องต่อเวลากลางวัน จะไปถึงเมืองสุพรรณไม่ได้ จะต้องจัดที่ประทับแรมกลางทางระหว่างสองพี่น้องกับเมืองสุพรรณอีกแห่งหนึ่ง รับสั่งให้กรมหลวงดำรงเสด็จไปเลือกและจัดที่สำหรับประทับแรม ฉันถูกมีหน้าที่ไปตามเสด็จกรมหลวงดำรง จึงได้ออกเรือล่วงหน้ามาแต่เช้ามืด กรมหลวงดำรงทรงเลือกเห็นที่วัดบางบัวทองเป็นที่สมควรดี ตกลงจะให้จัดที่ประทับแรมที่หน้าวัดนั้น ฉันออกนึกหนักใจว่าเวลามีเพียงราว ๘ ชั่วโมง ไม้ไล่ผู้คนและเครื่องมือก็ไม่มี จะทำอย่างไรกันจึงจะมีที่ประทับทันเสด็จ ฉันทูลถามกรมหลวงดำรง ท่านรับสั่งว่ามีมากันเท่านี้ ก็ลองดูว่าจะทำได้อย่างไร มีรับสั่งให้เรียกประชุมอำเภอกำนันผู้ใหญ่บ้านพร้อมกัน แล้วรับสั่งว่าวันนี้เจ้านายของเราจะเสด็จมาประทับแรมที่ตรงนี้ เราจะต้องช่วยกันแผ้วถาง และทำสะพานที่จอดเรือพระที่นั่งให้ทันเสด็จ พวกแกและชาวบ้านแถวนี้ยังไม่ได้เคยรับเสด็จเลย และที่ยังไม่ได้เคยเห็นเจ้านายของแกเองก็มีเป็นอันมาก ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านไปเที่ยวป่าวร้องราษฎรในแถวนี้มาช่วยกันรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว มีมีดพร้าเครื่องมือให้เอามาด้วย ช่วยกันทำรับเสด็จสักทีจะได้หรือไม่ พวกกำนันผู้ใหญ่บ้านพากันรับอาสาแข็งแรง ต่างคนเที่ยวติดตามเรียกลูกบ้านและหาไม้ไล่มาทำการตามรับสั่ง ใน ๒ ชั่วโมงมีคนมาช่วยทำงานสักสามสี่ร้อย ดูเต็มใจแข็งข้อที่จะทำการรับเสด็จด้วยกันทุกคน แม้แต่พวกผู้หญิงที่ไม่ได้ถูกขอแรงทำงานก็พากันมารีบอาสาตั้งเตาหุงข้าวทำครัวเลี้ยงคนทำงาน ประเดี๋ยวมีคนเอาข้าวมาให้ ประเดี่ยวมีใครเอาปลามาเติม ตลอดลงไปจนผักหญ้า หมากบุหรี่ก็มีผู้เอามาช่วย กรมหลวงดำรงจะขอใช้เงินค่าเสบียงอาหารให้ก็ไม่มีใครยอมรับ ว่าอยากจะช่วยกันรับเสด็จ พอบ่าย ๔ โมง การแล้วเสร็จเลี้ยงกันเอิกเกริกสนุกสนานราวกับงานไหว้พระอย่างใหญ่ ใครได้เห็นแล้วจะต้องยินดี ด้วยเห็นแล้วว่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินมีความสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าอยู่หัวเพียงไร
    ส่วนข้างทางที่เสด็จนั้น ได้ยินว่าไปประพาสข้างปลายคลองสองพี่น้อง จะประพาสที่ใดบ้างหาทราบไม่ ได้ความแต่ว่านายวงศ์ตะวันไปถูกหมากัด ประพาสคลองสองพี่น้องแล้วเสด็จมาพักทำครัวเย็นที่วัดบางสามเมื่อทำครัวอยู่นั้นพวกเราใครตกเบ็ดได้ปลาเทโพตัว ๑ ทราบว่าแกงเทโพวันนั้นอร่อยนัก แต่นายอัษฎาวุธเคราะห์ร้าย ไปตกร่องที่วัดบางสามฟกช้ำไปหน่อยหนึ่ง เสด็จมาถึงที่ประทับวัดบางบัวทองเวลาประมาณสัก ๒ ทุ่ม
    วันที่ ๔ เวลาเช้าออกกระบวนเรือไฟจูงขึ้นไปได้เพียงบางปลาม้าถึงที่น้ำตื้น ต่อนั้นต้องแจวขึ้นไปจนถึงเมืองสุพรรณบุรี จอดเรือพระที่นั่งประทับที่สุขุมาราม ชื่อสุขุมารามที่เรียกกัน เรียกตามได้ยินรับสั่ง เห็นจะเป็นชื่อพระราชทาน ไม่ได้ยินว่าพวกชาวสุพรรณเขาเรียก ความจริงนั้นที่ตรงนั้นเป็นบ้านเดิมของเจ้าคุณสุขุม ญาติวงศ์ของท่านยังอยู่หลายคนได้พากันมารับเสด็จเฝ้าแหน ดูทรงพระกรุณามาก แต่คำอาราม ๆ เคยได้ยินแต่เป็นชื่อวัด นี่ทำไมจึงเอามาพระราชทานต่อท้ายชื่อบ้านเจ้าคุณสุขุม ข้อนี้ฉันยังตรองไม่เห็น


    [​IMG]

    สุขุมาราม


    เสด็จเมืองสุพรรณคราวนี้เป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยไม่ถูกฤดูเหมาะ ในเวลานี้น้ำแม่น้ำยังน้อยจะเที่ยวทางเรือก็ขัดข้อง ส่วนทางบกฝนก็ตกพอแผ่นดินเป็นหล่มเป็นโคลน จะไปไหนก็ยาก เพราะฉะนั้นจึงเสด็จประพาสได้ที่ใกล้ ๆ ในบริเวณเมือง ในวันที่ ๔ นั้นเสด็จไปประพาสเหนือน้ำประทับเสวยที่วัดแค วันที่ ๕ เสด็จทอดพระเนตรที่ว่าการเมืองวัดมหาธาตุ หลักเมือง และวัดป่าเลไลยก์ เวลาบ่ายออกกระบวนล่องมาประทับแรมที่บางปลาม้า ถึงยังวันอยู่ จึงทรงเรือเล็กล่องลงมาประพาสข้างใต้ ประทับเสวยเย็นที่วัดบางยี่หน

    วันที่ ๖ สิงหาคม เวลาเช้าออกเรือเสด็จในกระบวนใหญ่ เรือไฟจูงเข้าคลองบางปลาม้ามาทางคลองจระเข้ใหญ่ เวลากลางวันถึงบ้านผักไห่ จอดเรือประทับแรมที่บ้าหลวงวารี เวลาบ่ายทรงเรือเมล์ของหลวงวารีขึ้นไปประพาสข้างเหนือน้ำ เสด็จกลับมาถึงพลับพลาแรมสัก ๒ ทุ่ม

    การเสด็จคราวนี้เป็นที่เรียบร้อย มีความสุขสบายทั่วกัน คือพระเจ้าอยู่หัวโดยเฉพาะเวลานี้ นับว่าทรงสบายหายประชวรเป็นปกติแล้วได้



    นายทรงอานุภาพ

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    [​IMG]

    ----------------------------------------
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2014
  14. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837

    [​IMG]

    จดหมายฉบับที่ ๗




    บ้านถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ



    วันที่ ๑๐ สิงหาคม ร.ศ.๑๒๓





    ถึง พระประดิษฐ์

    ฉันตามเสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ต่อมาอีกสองวัน ฉันก็ไปที่บ้านพ่อประดิษฐ์ หมายว่าจะไปเยี่ยมเยียนถามข่าวคราว คนที่บ้านบอกว่าพ่อประดิษฐ์ออกไปเมืองสงขลาเสียแต่เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม และไม่ทราบกำหนดว่าจะกลับเมื่อใดแน่ ฉันเสียดายที่มาแคล้วคลาดกับพ่อประดิษฐ์เสียดังนี้ เมื่อกำลังไปตามเสด็จ ฉันได้มีจดหมายถึงพ่อประดิษฐ์หลายฉบับพ่อประดิษฐ์จะได้รับทั้งหมด หรือพลัดพรายหายสูญไปเสียบ้างก็ไม่ทราบ ฉันได้บอกมาในจดหมายฉบับหลังที่ส่งมาจากบ้านผักไห่ว่า ถ้ามีข่าวคราวในการเสด็จต่อมาอย่างใด จะไว้มาเล่าให้ฟังเมื่อถึงบ้าน มาไม่พบกันเสียเช่นนี้ยังมีข่าวคราวอีกเล็กน้อย จึงบอกมาให้ทราบในจดหมายฉบับนี้

    วันที่ ๗ สิงหาคม กำหนดระยะทางเสด็จตามที่กะไว้ในวันนั้น กระบวนเรือใหญ่จะล่องลงมาทางบ้านเจ้าเจ็ดและบางไทร ไปรอเสด็จที่บางปะอิน แต่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จกระบวนต้นแยกขึ้นทางบางโผงผาง เข้าคลองบ้านกุ่มมาออกภูเขาทอง ล่องลงมาบรรจบกระบวนใหญ่ที่บางปะอิน แต่ไปเกิดเข้าใจผิดกันด้วยเหตุใดไม่ทราบ พวกหัวเมืองเข้าใจว่ากระบวนเรือใหญ่จะแยกขึ้นทางบางโผงผาง แล้วไปล่องลงทางลำน้ำสีกุก พวกนำร่องนำเรือกระบวนใหญ่ไปทางบางโผงผาง เรือกระบวนต้นตามมาภายหลังติดกระบวนใหญ่ ถูกทั้งคลื่นและเครื่องบูชาชยันโตรับเสด็จทั้งสองฟาก เป็นเหตุให้ลำบากและขัดข้องแก่การประพาสเป็นอันมาก จะรีบไปก็จะเข้าไปถูกคลื่นอยู่ระวางกลางกระบวนใหญ่ จึงจำเป็นต้องรอเรือลากตุบ ๆ ตามมา จะหาแวะที่ทำครัวเช้าที่วัดวาแห่งไรพระก็ลงมานั่งชยันโตตั้งเครื่องบูชาเสียทุกวัด แต่เสาะแสวงหาที่ทำครัวมาจนหิวอ่อน จึงมาพบบ้านแห่งหนึ่งที่บางหลวงอ้ายเอียง ดูท่าทางชอบกล มีสะพานและโรงยาวอยู่ริมน้ำหน้าเรือนฝากระดานเจ้าของบ้าน เห็นจะอาศัยทำครัวเลี้ยงกันที่นั้นได้ จึงแวะเรือเข้าไปไต่ถาม ได้ความว่าเป็นบ้านกำนัน แต่ตัวกำนันไปค้าข้าว อยู่แต่นายช้าง อำแดงพลับ พ่อตาแม่ยาย ออกมาต้อนรับแข็งแรง ตัวยายพลับเองมาช่วยทำครัวด้วย


    [​IMG]

    ตาช้าง


    [​IMG]

    ยายพลับ


    ดูท่าทางนายช้างเห็นจะรู้จักผู้ลากมากดีกว้างขวาง พอเห็นพวกเราก็ไม่ต้องไต่ถามว่าใครเป็นใคร เข้าใจเอาทีเดียวว่าเราเป็นพวกขุนนางที่ตามเสด็จมาข้างหลัง บอกว่าเสด็จไปเมื่อสักครู่นี้เอง เชิญให้พวกเราเข้าไปนั่งบนแคร่ในโรงยาว หาน้ำร้อนน้ำชามาตั้ง แล้วเข้าไปเคียงไหล่สนทนากับพระเจ้าอยู่หัวมิได้มีความรู้สึกและสงสัย ที่เราคาดว่าแกกว้างขวางทางรู้จักผู้ลากมากดีก็สมดังถ้อยคำที่แกเล่า ว่าแกได้เคยลงมาบางกอกบ่อย ๆ และบุตรชายของแกก็บวชเณรอยู่ที่วัดเบญจมบพิตร แกรู้จักขุนน้ำขุนนางมาก ก็พระเจ้าอยู่หัวแกก็เคยเฝ้า มีใครสอดถามเข้าไปตรงนี้ว่า แกจำพระเจ้าอยู่หัวได้หรือไม่ แกกลับขู่เอาว่าทำไมจะจำไม่ได้เคยเฝ้ามาแล้ว และพระรูปก็ยังมีติดอยู่บนเรือน เลยชวนพวกเราขึ้นไปบนเรือน ไปนั่งคุยที่หอนั่งอีกพักหนึ่ง ประเดี๋ยวได้ยินเสียงยายพลับเอะอะขึ้นที่ในครัว ได้ความว่าแกเอ็ดหมื่นสรรพกิจเรื่องชิมแกง แกว่าเป็นผู้ลากมากดีทำไมถึงชิมแกงด้วยจวัก เขาถือกันไม่รู้หรือ เลยเฮกันใหญ่ การทำครัวที่บ้านนายช้างวันนี้สนุกยิ่งกว่าที่ได้เคยทำมาในที่อื่น ๆ ด้วยเจ้าของบ้านทั้งผัวเมียรับรองแข็งขอบ และมิได้มีความสงสัยว่าผู้ใดเป็นใครเลย เมื่อเลี้ยงดูกันเสร็จแล้วนายช้างได้ปรารภว่า อยากจะได้ปืนเมาเซอร์สักกระบอกหนึ่ง เขาว่าจะสั่งเสียซื้อหาต้องขออนุญาต แกไม่รู้ว่าจะไปขออนุญาตที่ไหนขอให้คุณ(คือพระเจ้าอยู่หัว) ช่วยเป็นธุระหาซื้อให้แกสักที ส่วนเงินทองราคาปืนจะสิ้นยังเท่าใดไม่เป็นไร แกจะคิดให้เต็มราคาอย่าวิตกเลย “คุณ” ก็ยินดีรับเป็นธุระที่จะให้นายช้างได้ปืนเมาเซอร์ดังประสงค์ เมื่อก่อนจะออกเรือจากบ้านนายช้างพระราชทานกระดาษธนบัตรซองหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นเงินสักสามหรือสี่ร้อยบาทตอบแทนที่นายช้างรับเสด็จ บางทีนายช้างก็จะได้รู้ว่าใครเมื่อตรวจธนบัตรดู รู้จำนวนเงินมากผิดปกติที่ผู้อื่นจะให้ในการเช่นนี้

    เมื่อเสด็จประพาสบ้านนายช้างใคร ๆ สนุกหมด เว้นพระยาโบราณผู้แทนเทศากรุงเก่า ซึ่งไปในท้ายเรือพระที่นั่งถูกบังคับให้ซ่อนตัวอยู่ในประทุนเพราะคนแถวนั้นรู้จัก ต้องส่งข้าวส่งน้ำพระยาโบราณเหมือนกับคนโทษต่ออกเรือแล้วจึงพ้นทุกข์ เสด็จมาถึงบางปะอินเวลาบ่าย ๕ โมง ทรงรถไฟพิเศษกลับกรุงเทพฯ ในวันนั้น เป็นจบเรื่องระยะทางเสด็จประพาสต้นแต่เท่านี้




    นายทรงอานุภาพ





    ป.ล. เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว รุ่งขึ้นนายช้างกับยายพลับพาลูกหลานลงมาเกือบหมดครัว แกเที่ยวสืบถาม เมื่อได้ความว่าใครได้ไปตามเสด็จที่บ้านแกบ้าง ก็เที่ยวไปกราบไหว้ขอขมาไม่เลือกหน้า ดูจนน่าสงสาร ฉันถามแกว่าทำไมจึงได้รู้ว่าพระเจ้าอยู่หัว แกบอกว่าพอเสด็จแล้วพวกเพื่อนเขาพากันมาถามข่าว มีผู้ที่เขาจำพระเจ้าอยู่หัวได้มาบอกยืนยันว่าพระเจ้าอยู่หัวแน่ แกเห็นสมด้วยเงินที่ได้รับพระราชทานถึง ๔๐๐ บาท เกินกว่าผู้ใดนอกจากพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทาน ก็ยิ่งตกใจจึงรีบจัดเรือพาลูกหลานล่องลงมากรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น แก่ยังจะไปกราบทูลวิงวอนเจ้านายที่ตามเสด็จขอให้พาเข้าเฝ้าจะไปกราบทูลขอขมาพระเจ้าอยู่หัวด้วย แต่จะได้เฝ้าแล้วหรือยังฉันไม่ทราบ




    ท.อ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2014
  15. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    จดหมายของนายทรงอานุภาพ(กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ที่มีไปถึงพ่อประดิษฐ์มีทั้งหมดด้วยกัน ๘ ฉบับ ฉบับที่ ๘ ทรงมีลายพระหัตถเมื่อ ร.ศ.๑๓๑ ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเสด็จสวรรคตแล้ว เป็นการย้อนรำลึกความทรงจำในการการเสด็จประพาสต้นในสถานที่ต่าง ๆ ด้วยแต่แรกกะว่าจะลงตอนท้ายสุดของกระทู้ เสด็จประพาสต้น แต่เปลี่ยนใจแล้วเพราะกลัวจะสับสน จึงจะลงต่อจากฉบับที่ ๗ ไปเลย ....<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    [​IMG]

    จดหมายฉบับที่ ๘






    บ้านถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ


    ณ วันที่ ๒๓ ตุลาคม ร.ศ.๑๓๑





    ถึง พ่อประดิษฐ์

    ด้วยเมื่อศก ๑๒๓ ฉันไปตามเสด็จประพาสต้น ได้มีจดหมายเล่าเรื่องประพาสครั้งนั้นไปยังพ่อประดิษฐ์เป็นจดหมาย ๗ ฉบับ จดหมายเรื่องนี้ได้ลงพิมพ์ในหนังสือทวีปัญญารายเดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน ร.ศ.๑๒๕ เดือนละฉบับจนจบเรื่อง บัดนี้คิดจะรวมจดหมายเรื่องประพาสต้นเข้าพิมพ์เป็นเล่มเดียวกันฉันเที่ยวหาต้นฉบับครั้งที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทวีปัญญาและที่มีต้นร่างอยู่รวบรวมได้ ๖ ฉบับ ขาดจดหมายฉบับที่ ๓ ตอนเสด็จประพาสเมืองราชบุรี หาต้นฉบับไม่ได้ จึงต้องมีจดหมายฉบับนี้มายังพ่อประดิษฐ์ขอให้ช่วยค้นต้นจดหมายเหล่านั้นถ้ายังมีอยู่ที่พ่อประดิษฐ์ ขอจงสงเคราะห์คัดสำเนาจดหมายฉบับที่ ๓ ทิ้งไปรษณีย์ส่งมาให้ด้วย ถ้าได้สำเนามาดังประสงค์ฉันจะขอบคุณพ่อประดิษฐ์เป็นอันมาก

    บางทีพ่อประดิษฐ์ได้เห็นจดหมายฉบับนี้แล้ว จะนึกฉงนว่าจดหมายเรื่องประพาสต้นก็ได้ลงพิมพ์เป็น ๕ – ๖ ปีมาแล้ว เหตุใดจึงพึ่งจะมาคิดรวมพิมพ์เป็นเล่มเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตล่วงไปแล้ว คำอธิบายในข้อนี้ขอชี้แจงว่าเมื่อพิมพ์เรื่องประพาสต้นลงในหนังสือทวีปัญญายเดือนผู้ที่อ่านโดยเฉพาะผู้ที่ได้ตามเสด็จไปด้วยในคราวนั้น พากันชอบว่าเป็นหนังสืออ่านสนุกดี มีผู้อยากจะให้พิมพ์รวมเป็นเล่มแต่ครั้งนั้นแล้ว เพราะเรื่องเสด็จประพาสต้นเป็นที่สำหรับเล่ากันเล่นอยู่เรื่องหนึ่งแต่ฉันไม่เห็นสาระพอถึงแก่ควรที่จะพิมพ์ขึ้นใหม่จึงได้เพิกเฉยเลยมา ครั้นเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้วเรื่องราวต่าง ๆ ในรัชกาลที่ ๕ กลายเป็นเรื่องเก่า “เมื่อกระนั้น” สำหรับชอบเล่าชอบคุยกัน เรื่องปะพาสต้นนี้เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งกลายเป็นเรื่องชอบเล่ากันขึ้น มีเพื่อนฝูงมาชักชวนให้พิมพ์รวมเป็นเรื่องขึ้นใหม่มากกว่าแต่ก่อน ฉันใคร่ครวญดูมาคิดเห็นว่า เรื่องประพาสต้น แม้จดหมายเดิมแต่งเป็นเรื่องสำหรับอ่านกันเล่นสนุก ๆ ก็จริงอยู่ แต่ถ้ามาอ่านในเวลานี้โดยตั้งใจใคร่ครวญก็อาจจะแลเห็นความกว้างขวางออกไป เป็นต้นว่าเหตุใดสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจึงเป็นที่รักใคร่ของอาณาประชาราษฎรทั่วหน้า สมกับที่ได้ถวายพระนามจารึกไว้ในฐานพระบรมรูปทรงม้าว่า “ปิยมหาราช” ที่จริงพระองค์ทรงรักใคร่ในไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเหมือนกับบิดารักบุตร พอพระราชหฤทัยที่จะคุ้นเคยคบหาและถึงเล่นหัวกับอาณาประชาราษฎรโดยมิได้ถือพระองค์ ยกตัวอย่างดังจะเห็นได้ในเรื่องประพาสต้นนี้เป็นพยาน การที่พระองค์ทรงสมาคมกับราษฎร ไม่ใช่สักแต่ว่าเพียงจะรู้จักหรือสนทนาปราศรัยให้ค้นเคยเท่านั้น ย่อมทรงเป็นพระราชธุระไต่ถามถึงความทุกข์สุข และความเดือดร้อนที่ได้รับจากผู้ปกรองอย่างใด ๆ บ้างทุกโอกาส ผู้ที่เคยตามเสด็จย่อมเคยได้ยินและทราบความอันนี้ ฉันได้เคยเห็นบางทีราษฎรกราบทูลร้องทุกข์เป็นข้อความซึ่งทรงพระดำริเห็นว่าเป็นความทุกข์ร้อนจริง ทรงรับธุระมาต่อว่า ทำเอาเจ้าหน้าที่ตั้งแต่เสนาบดีลงมาได้ความรำคาญใจหลายคราว บางทีถึงต้องผลัดเปลี่ยนพนักงานปกครองก็มีบ้าง เป็นเหตุให้การเสด็จประพาสเป็นคุณประโยชน์แก่ความสุขสำราญของราษฎร ได้อีกเป็นอันมาก ใช่แต่เท่านั้น บรรดาราษฎรที่ได้เสด็จไปทรงคุ้นเคยในเวลาเสด็จประพาสพระองค์มิได้ทรงละลืมในเวลาต่อมาเมื่อคนเหล่านั้นเข้ามาถึงกรุงเทพฯ จะเข้าไปเฝ้าแหนก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโอกาสให้เข้าเฝ้าได้ตามความปรารถนา บางทีถึงรับสั่งให้เข้าไปรับพระราชทานเลี้ยงในพระราชวัง รับสั่งเรียกพวกที่คุ้นเคยเหล่านี้ว่าเพื่อนต้น มีอยู่ทั้งชายหญิงแทบทุกหัวเมืองที่ได้เสด็จประพาส เมื่อครั้งเสด็จยุโรป ร.ศ.๑๒๖ ได้ทรงหาของฝากมีไม้เท้าเป็นต้นเข้ามาฝากพวกเพื่อนต้น เมื่อพวกเหล่านั้นทราบว่าเสด็จกลับเข้ามาเฝ้าเยี่ยมก็ได้รับพระราชทานของฝาก ไม่เท้าพระราชทานเลยเป็นเครื่องยศสำหรับพวกเพื่อนต้นถือเข้าเฝ้า ทั้งเวลาเข้ามาเฝ้าในกรุงเทพฯ และเฝ้าตามหัวเมืองเวลาเสด็จประพาสไม่ว่าที่ใด ๆ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันนี้ทรงเคารพต่อพระราชนิยมของสมเด็จพระบรมชนกนาถ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พวกเพื่อนต้นเข้ามาทำบุญให้ทานในงานพระบรมศพ และถวายพระเพลิงเหมือนกับเป็นข้าราชการและยังพระราชทานเครื่องประดับไม้เท้าสลักอักษรพระนาม จ.ป.ร. ให้ติดไว้เป็นที่ระลึก ทั้งพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เฝ้าแหนเพ็ดทูลพระองค์ได้ต่อไปเหมือนกับเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทุกประการ ส่วนราษฎรซึ่งพระองค์ได้ทรงคุ้นเคยมาในเวลาเสด็จปะพาสแต่ยังเสด็จดำรงพระเกียรติยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ก็ได้รับพระราชทานไม้เท้าและพระบรมราชานุญาตเหมือนกับพวกเพื่อนต้นในรัชกาลก่อน มีจำนวนเพื่อนต้นเพิ่มเติมขึ้นในรัชกาลนี้อีกหลายคน ฉันเข้าใจว่าธรรมเนียมประพาสต้นและเพื่อนต้นจะยังมีต่อไปในรัชกาลนี้เหมือนกับรัชกาลที่ล่วงแล้ว

    ตั้งแต่เสด็จประพาสต้นคราวศก ๑๒๓ แล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงยังเสด็จประพาสทำนองเดียวกันอีกหลายคราว บางทีเสด็จประพาสในจังหวัดกรุงเทพ ฯ นี้เองบ้าง ประพาสตามมณฑลหัวเมืองบ้าง ครั้งหนึ่งใน ร.ศ.๑๒๕ เสด็จขึ้นไปประพาสเมืองเพชรบุรี แล้วขึ้นทางลำแม่น้ำใหญ่ไปจนถึงเมืองกำแพงเพชร คราวนี้ก็สนุกพอใช้ แต่พ่อปะดิษฐ์ออกไปอยู่เสียหัวเมือง ฉันจึงไม่ได้จดหมายราชการบอกไปให้ทราบ อีกคราวหนึ่งใน ร.ศ.๑๒๗ เสด็จประพาสเมืองนครสวรรค์ ขากลับล่องลงทางคลองมะขามเฒ่ามาเมืองสุพรรณบุรี บ้านผักไห่ อ่างทอง แล้วเสด็จกลับทางบางแก้วเข้ากรุงเก่า อีกคราวหนึ่งในศกเดียวกัน เสด็จทางคลองรังสิตไปประพาสถึงเมืองปราจีน แล้วกลับออกทะเลเข้ามาปากน้ำเจ้าพระยา แต่ประพาสคราวหลัง ๆ นี้ ความขบขันน้อยไปกว่าคราวแรก ๆ ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือราษฎรรู้เสียมากว่าพระเจ้าอยู่หัวโปรดเสด็จอย่างสามัญ ถ้าเห็นใครแปลกหน้าเป็นผู้ดีบางกอกก็ชวนเข้าใจไปเสียว่าพระเจ้าอยู่หัว บางทีมหาดเล็กเด็กชาพากันไปเที่ยวไปถูกราษฎรรับเสด็จเป็นพระเจ้าอยู่หัวก็มี เพราะฉะนั้นในตอนหลังจะหาใครไม่รู้จักพะองค์สนิทอย่างนายช้าง ยายพลับ ไม่มีอีก อีกประการหนึ่งตั้งแต่เสด็จกลับจากยุโรปคราวหลัง มีเรือยนต์เข้ามาใช้ในกระบวนเสด็จ เสด็จประพาสด้วยเรือยนต์เสียมาก เมื่อเสด็จประพาสด้วยเรือยนต์แล้วก็ต้องเป็นอันรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวเอง จึงไม่ใคร่มีเรื่องขบขันอย่างคราวแรก

    วันนี้เป็นวันทำบุญถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ในวันตรงกับวันเสด็จสวรรคตครบ ๒ ขวบปี ดูคนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เจ้านายตลอดลงมาจนราษฎร ทำบุญให้ทานกันมาก ที่สำคัญนั้นฉันเห็นว่าที่พากันไปถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้าที่หน้าพระลานไม่ว่าใครต่อใคร ดูผู้คนล้นหลามตั้งแต่เช้าจนกลางคืน เห็นจะเป็นธรรมเนียมปีดังนี้เสมอไป ที่จริงพระบรมรูปทรงม้าองค์นี้ควรนับว่าเป็นของวิเศษได้ ไม่เฉพาะแต่เป็นที่ของงดงามสง่าพระนครหรือเป็นพระบรมรูปสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเท่านั้น ถ้าผู้ใดรู้เรื่องราวของพระบรมรูปนี้ว่าเป็นของชาวสยามทุกชั้นบรรดาศักดิ์ทั่วทุกหนทุกแห่งได้เข้าเรี่ยไรตามกำลังและใจสมัคร อย่างต่ำตั้งแต่คนละ ๑๐ สตางค์ก็มี สร้างขึ้นด้วยความรักใคร่เป็นใจเดียวกันถวายสมโภชสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รวมเงินได้กว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทเกินราคาพระบรมรูปนี้สัก ๕ เท่า ใช่แต่เท่านั้น พระบรมรูปนี้ได้แล้วเสร็จทันถวายพระองค์ ได้ทรงอนุโมทนาประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ว่าความรักใคร่สวามิภักดิ์ของคนทั้งหลายมีมากมายกว้างขวางทั่วไปเพียงไร ผู้ใดรู้เรื่องที่กล่าวมานี้ ก็จะเข้าใจได้ว่าพระบรมรูปทรงม้านี้ผิดกับอนุสาวรีย์หรือวัดวาที่จะสร้างถวายเฉลิมพระเกียรติยศเมื่อพระองค์ล่วงลับไปเสียแล้วอันจะเป็นที่ระลึกและปรากฏแก่ผู้อื่น แต่ส่วนพระองค์เองมิได้ทันทอดพระเนตรเห็น ฉันได้ไปถวายบังคมพระบรมแล้วกลับมาก็เขียนจดหมายฉบับนี้ มาเกิดนึกขึ้นว่าบางทีการพิมพ์หนังสือเรื่องประพาสต้นครั้งนี้จะมีส่วนกุศลอยู่บ้างกระมัง เพราะเหตุที่จะให้ผู้อ่านเจริญความระลึกถึงในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และถ้ามีส่วนกุศลเพียงไรในการพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ ฉันตั้งใจอุทิศส่วนกุศลนั้นถวายสนองพระเดชพระคุณแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตามสติกำลัง ขอให้พ่อประดิษฐ์จงอนุโมทนาด้วยเทอญ ฯ



    นายทรงอานุภาพ



    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1387608/[/MUSIC]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • gra_145.jpg
      gra_145.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.6 KB
      เปิดดู:
      1,572
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2013
  17. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    จบพระหัตถเลขาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพแล้ว จะต่อเรื่องการเสด็จพระพาสต้นครั้งที่สอง ร.ศ.๑๒๕ แต่ก็ให้เผอิญ ไปเจอประมวลข้อมูลวัดที่ได้เสด็จผ่านในครั้งเสด็จพระพาสต้น ร.ศ.๑๒๓ ซึ่งอยู่ในเว็ปไซด์ผู้จัดการออนไลน์ ก็เลยขอยกคัดลอกมาไว้ให้ได้อ่านใน ณ ที่นี้ด้วยดังบทความต่อไปนี้



    เที่ยวชมวัดตามเส้นทางเสด็จประพาสต้น

    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๓๙๖

    พระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ต่อจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ สมเด็จพระบรมชนกนาถ โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๑๑ แต่ในขณะนั้นพระองค์มีพระชันษาราว ๑๕ พรรษา ยังมิได้ทรงบรรลุนิติภาวะ ดังนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน

    ด้วยความที่ทรงมีพระราชศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา ดังนั้น เมื่อพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา จึงได้ทรงผนวชเป็นภิกษุ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๑๖ และลาผนวชวันที่ ๑๑ ตุลาคม ในปีเดียวกัน จากนั้นจึงโปรดให้จัดพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นอีก ครั้งในวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๑๖ ทรงดำรงสิริราชสมบัติอยู่นานถึง ๔๒ ปี จึงเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓ สิริพระชนมายุ ๕๘ พรรษา

    ดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าพระราชกรณียกิจตลอดรัชสมัยของพระองค์ที่ได้ทรงบำเพ็ญมานั้น ก่อให้เกิดคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชน จึงทรงเป็นที่รักของประชาชนทุกหมู่เหล่า ซึ่งทูลถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” อันมีความหมายว่า พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นที่รักยิ่งนั่นเอง

    • เสด็จประพาสต้น หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญ

    หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของพระองค์ที่ทำ ให้ทรงล่วงรู้ถึงทุกข์สุขของพสกนิกรด้วยพระองค์เอง จนทรงสามารถขจัดปัดเป่าบรรเทาทุกข์ให้ราษฎรได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือการเสด็จประพาสต้น

    ในหนังสือ “จดหมายเหตุเรื่องประพาสต้นในรัชกาลที่ ๕” ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าถึงการเสด็จประพาสต้นว่าหลายบ้านที่เสด็จไปเยี่ยม โดยที่เจ้าของบ้านก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ประทับเสวยร่วมวงกับเจ้าของบ้านอย่างกันเอง เจ้านายที่ตามเสด็จอย่างกรมหมื่นสรรพสาตรศุภกิจ เคยถูกเมียเจ้าของบ้านเอ็ดเพราะทรงใช้จวักตักแกงขึ้นมาชิมโดยไม่ทรงทราบธรรมเนียมว่าเขาถือกัน สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมาเสด็จพลาดตกท้องร่องสวนวัดบางสามฟกช้ำดำเขียว เจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ถูกหมาเฝ้าสวนริมคลองสองพี่น้องกัดเอา

    และระหว่างเสด็จประพาส เจ้านายและขุนนางตามเสด็จก็ช่วยกันทำครัวเองไปตามมีตามเกิด หากมื้อไหนไม่ได้แวะบ้านใคร สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพกับกรมพระสมมติอมรพันธุ์ทรงทำหน้าที่คนล้างถ้วยชาม เช่นเดียวกันกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) และกรมหลวงนครราชสีมา ทุกพระองค์ทรงใช้ชีวิตกันอย่างสามัญชนทั่วไปเวลาเสด็จประพาสต้น

    การเสด็จประพาสต้นในแต่ละครั้ง นอกจากจะเสด็จประทับตามบ้านเรือนของประชาชน ซึ่งเป็นที่ มาของการมีเพื่อนเป็นสามัญชนธรรมดาทั่วไปที่เรียกว่า “เพื่อนต้น” แล้ว อีกสถานที่หนึ่งที่พระองค์ให้ความสำคัญคือ “วัด” ซึ่งระหว่างทางได้เสด็จผ่านวัดมากมายหลายแห่ง

    ดังนั้น ในการตามรอยเสด็จประพาสต้นครั้งนี้ จะขอนำเสนอเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับวัดซึ่งมีชื่อปรากฏอยู่ใน “จดหมายเหตุเรื่องประพาสต้นในรัชกาลที่ ๕” เท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติเนื่องในวาระครบรอบ ๑๐๑ ปี (ปีนี้ พ.ศ.๒๕๕๓ ก็จะเป็น ๑๐๕ ปี) การเสด็จประพาสต้น ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    • จุดเริ่มของการเสด็จประพาสต้น

    พระพุทธเจ้าหลวงได้เริ่มการเสด็จประพาสต้นใน พ.ศ.๒๔๔๗ อันมีที่มาจากการที่ทรงตรากตรำกับพระราชภารกิจมากเกินไป จนเสวยไม่ค่อยได้ บรรทมไม่ค่อยหลับ แพทย์จึงทูลให้ทรงพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ก็ทรงเห็นด้วย ดังนั้น ในคราวที่เสด็จ แปรพระราชฐานไปที่พระราชวังบางปะอิน จึงทรงมีพระประสงค์จะเสด็จไปยังเมืองราชบุรี ซึ่งการเสด็จครั้งนี้ประพาสไปตามลำน้ำ เป็นการเสด็จอย่างไม่เป็นทางการ และไม่มีหมายกำหนดการใดๆ ถือเป็นการเสด็จไปเพื่อทรงพักผ่อนอิริยาบถ

    และนับเป็นการเสด็จเยือนราษฎรเป็นการส่วนพระองค์ โดยมิให้ใครรู้จักว่าพระองค์เป็นใคร เพื่อจะได้ทรงสนทนาปราศรัยกับราษฎรอย่างใกล้ชิด แต่คำว่าประพาสต้นนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถชี้ชัดถึงที่มาหรือความหมายอันแท้จริงได้ แม้กระทั่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ยังทรงเพียงแค่สันนิษฐานถึงที่มาว่า

    “...ไปจนถึงวัดเพลงจึงซื้อเรือมาดประทุน ๔ แจวได้ลำ ๑ พระราชทานชื่อเรือว่า เรือต้น ได้ยินรับสั่งถามให้แปลกันว่า เรือต้น แปลว่าอะไร บางท่านแปลว่าเรือเครื่องต้น บางท่านแปลว่าเรือทรง อย่างในเห่เรือว่า ‘ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย’ ดังนี้ แต่บางท่านที่แปลเอาตื้นๆ ว่าหลวงนายศักดิ์เป็นคนคุมเครื่องมหาดเล็กตามเสด็จ หลวงนายศักดิ์ชื่ออ้น รับสั่งเรียกว่าตาอ้น ตาอ้น เสมอ คำว่า เรือต้นนี้ก็จะแปลว่าเรือตาอ้นนั้นเอง แปลชื่อเรือต้นเป็นหลายอย่าง ดังนี้ อย่างไรจะถูกฉันก็ไม่ทราบแน่ แต่วันนี้กว่าจะเสด็จกลับมาถึงเมืองราชบุรีเกือบยาม ๑ ด้วยต้องทวนน้ำเชี่ยวมาก เหนื่อยหอบมาตามกัน เริ่มเรียกการประพาสวันนี้ว่าประพาสต้น เลยเป็นมูลเหตุที่เรียกการประพาสไปรเวตในวันหลังๆ ว่าประพาสต้น ต่อมา”

    วัดที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงเสด็จประพาสต้นในปี พ.ศ.๒๔๔๗ มีอยู่ด้วยกันหลายวัด ได้แก่ วัดปรมัยยิกาวาส และวัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร จ.นนทบุรี (ซึ่งทั้งสองวัดนี้ได้เสด็จอีกครั้งในปี พ.ศ.๒๔๔๙), วัดหนองแขม กทม., วัดโชติทายการาม วัดเพลง วัดสัตนาถ จ.ราชบุรี, วัดประดู่ วัดพวงมาลัย วัดดาวดึงส์ และวัดอัมพวัน จ.สมุทรสงคราม, วัดโกรกกราก วัดบางปลา และวัดตีนท่า จ.สมุทรสาคร, วัดพระประโทน จ.นครปฐม, วัดบางบัวทอง วัดบางสาม วัดแค วัดมหาธาตุ วัดป่าเลไลยก์ และวัดบางยี่หน จ.สุพรรณบุรี

    ส่วนในปี พ.ศ.๒๔๔๙ ซึ่งเป็นการเสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง วัดที่ทรงเสด็จไป ได้แก่ วัดเทียนถวาย วัดท้ายเกาะใหญ่ และวัดเวียงจาม จ.ปทุมธานี, วัดท่าหลวง และวัดสมุหประดิษฐ์ จ.สระบุรี, วัดสีกุก จ.พระนครศรีอยุธยา, วัดป่าโมกข์ จ.อ่างทอง, วัดชลอนพรหมเทพาวาส และวัดสนามไชย จ.สิงห์บุรี, วัดวังพระธาตุ วัดพระแก้ว วัดพระนอน วัดพระยืน วัดกำแพงงาม วัดใหญ่ วัดมหาธาตุ และวัดเขาดิน จ.กำแพงเพชร, วัดโบสถ์ วัดพระปรางค์ และวัดบ้านเกาะ จ.อุทัยธานี, วัดโพธิ์ วัดช่องลมวารินศรัทธาราม วัดอรุณราชศรัทธาราม และวัดหัวเมือง จ.นครสวรรค์
     
  18. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    เริ่มที่วัดปรมัยยิกาวาส


    [​IMG]

    พระเจดีย์มุเตา
    [​IMG]
    พระอุโบสถ

    วัดนี้ตามประวัติกล่าวว่าเป็นวัดมอญมีอายุกว่า ๒๐๐ ปี เรียกตามภาษารามัญว่า “เภี่ยมุเกี๊ยยะเติ้ง” แปลว่าวัดหัวแหลม แต่ไทยเรียกวัดปากอ่าว สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ถูกทิ้งร้างไปตอนเสียกรุงครั้งที่ ๒ จนกระทั่ง พ.ศ.๒๓๑๗ พระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดให้ชาวมอญมาอาศัยบริเวณเกาะเกร็ด ชาวมอญจึงได้ทำการบูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่อีกครั้ง

    พระพุทธเจ้าหลวงทรงเริ่มต้นเสด็จออกจากพระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๗ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าว่า

    “เสด็จออกจากบางปะอิน เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๓ ล่องมาตามลำแม่น้ำ เรือฉันมาล่วงหน้า ทราบว่าเสด็จประทับวัดปรมัยยิกาวาศครู่หนึ่ง...”


    [​IMG]
    พระมหารามัญเจดีย์

    และอีก ๑๐๐ ปีต่อมา คือในปี พ.ศ.๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาทอดกฐินที่วัดนี้ และทรงเห็นว่าวัดอยู่ในทำเลที่ดี แต่มีสภาพทรุดโทรม จึงโปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าบรมมหาอัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตน์ราชประยูร ซึ่งได้ทรงอภิบาลพระองค์และพระราชมารดา และพระราชทานนามว่า “วัดปรมัยยิกาวาศ” ต่อมาจึงมีการเขียนใหม่ เป็น “วัดปรมัยยิกาวาส”

    ศาสนสถานสำคัญภายในวัด ได้แก่ พระอุโบสถ ที่ตกแต่งด้วยวัสดุจากอิตาลี ภายในตกแต่งด้วยลายปูนปั้น และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติ ที่หน้าบันพระอุโบสถประดับตราพระเกี้ยว ส่วนด้านหลังพระอุโบสถนั้นมีพระเจดีย์ทรงรามัญซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยเสด็จฯ มาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระเจดีย์นี้ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๗ และได้พระราชทานนามว่า “พระมหารามัญเจดีย์”

    [​IMG]
    ศาลารับเสด็จ

    นอกจากนี้ยังมีศาลารับเสด็จ พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงศิลปวัตถุของมอญที่หาชมได้ยากอีกด้วย เช่น พระไตรปิฎกฉบับอักษรรามัญ ซึ่งเป็นฉบับเดียวในประเทศไทย และหอไทยนิทัศน์ จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวมอญ

    ปัจจุบัน วัดปรมัยยิกาวาส เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ต.เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

    [​IMG]


    .........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_672.jpg
      _1_672.jpg
      ขนาดไฟล์:
      146.4 KB
      เปิดดู:
      1,630
    • _3_130.jpg
      _3_130.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.5 KB
      เปิดดู:
      1,496
    • _2_820.jpg
      _2_820.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.7 KB
      เปิดดู:
      1,508
    • _4_117.jpg
      _4_117.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.4 KB
      เปิดดู:
      1,487
    • _5_183.jpg
      _5_183.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.7 KB
      เปิดดู:
      1,548
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2013
  19. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    [​IMG]

    ล่องมาถึงวัดเขมาฯ

    วันเดียวกันนี้เอง หลังจากที่เสด็จประทับที่วัดปรมัยยิกาวาสในช่วงสายแล้ว ช่วงบ่ายก็ทรงไปสวนกระท้อน ตกเย็นจึงเสด็จมาประทับแรมที่วัดเขมาภิรตาราม


    [​IMG]

    ดังบันทึกของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ความว่า

    “...เวลาเย็นเสด็จมาประทับแรมที่หน้าวัดเขมา จอดเรือพระที่นั่งหน้าวัดอย่างเราไปเที่ยวกัน ใช้ศาลาน้ำหน้าวัดเป็นท้องพระโรง ไม่มีพลับพลาฝาเลื่อนอย่างใด เจ้าพนักงานเจ้าของท้องที่ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่า จะเสด็จมาประทับแรมที่นั้น การล้อมวงกงจำกัดกัน ตามแต่จะทำได้ ดูก็สนุกดี จนเวลาสองทุ่มเศษ กรมหลวงนเรศร์ เสนาบดีกระทรวงนครบาลจึงเสด็จไปถึง ได้ยินรับสั่งว่า อาศน์แข็งๆ กันไม่รู้ พอรู้ ก็รีบมา จะต้องนั่งอยู่ยังรุ่ง...”

    วัดเขมาที่กล่าวถึงนี้ก็คือ วัดเขมาภิรตาราม ซึ่งเดิมเรียกกันว่า “วัดเขมา” ตามประวัติกล่าวว่าเป็นวัดโบราณ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาหรือก่อนอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครสร้างและสร้างเมื่อใด

    [​IMG]

    ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดนี้ครั้งใหญ่ และได้พระราชทานนามว่า “วัดเขมาภิรตาราม”

    [​IMG]


    ภายในวัดมีโบราณสถานที่น่าสนใจ เช่น พระอุโบสถ เป็นอาคารทรงไทยก่ออิฐถือปูน มุงด้วยกระเบื้องเคลือบ พระมหาเจดีย์สูง ๓๐ เมตร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระที่นั่งมูลมณเฑียร ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นตำหนักอยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง แต่รัชกาลที่ ๕ โปรดให้รื้อมาปลูกที่วัดนี้ ส่วนพระตำหนักแดงเป็นตำหนักเครื่องไม้ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ อยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกัน รัชกาลที่ ๔ โปรดให้ย้ายมาปลูกเป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม



    [​IMG]

    ปัจจุบัน วัดเขมาภิรตาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาในเขต ต.สวนใหญ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี




    [​IMG]

    ...................................<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _6_634.jpg
      _6_634.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.8 KB
      เปิดดู:
      1,517
    • _12_175.jpg
      _12_175.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59 KB
      เปิดดู:
      1,538
    • _8_464.jpg
      _8_464.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.5 KB
      เปิดดู:
      1,027
    • _7_108.jpg
      _7_108.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133.3 KB
      เปิดดู:
      1,843
    • _10_580.jpg
      _10_580.jpg
      ขนาดไฟล์:
      174.2 KB
      เปิดดู:
      1,764
    • _11_703.jpg
      _11_703.jpg
      ขนาดไฟล์:
      153.6 KB
      เปิดดู:
      1,870
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2013
  20. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    กระบวนเรือมาติดเกยท่าที่วัดหนองแขม

    [​IMG]


    รุ่งเช้าของวันที่ ๑๕ กรกฎาคม กระบวนเรือจึงออกจากวัดเขมาฯ ล่องมาตามลำน้ำเจ้าพระยาเข้าคลองบางกอกใหญ่และคลองภาษีเจริญ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าว่า

    “...ฉันมากระบวนหน้าตามเคย ประจวบเวลาหัวน้ำลง เมื่อพ้นหนองแขมเจอเรือไฟที่ไปก่อน ติดขวางคลองอยู่ลำหนึ่ง ฉันจึงปล่อยเรือไฟที่จูงเรือให้คอยตามเรือไฟลำหน้า ส่วนตัวฉันเองให้คนแจวเรือล่องเลยไปจอดคอยเรือไฟที่น้ำลึกบ้านกระทุ่มแบน รอๆ อยู่เท่าใดๆ ก็ไม่เห็นเรือไฟตามออกมา น้ำก็แห้งงวดลงไปทุกที...จอดรอกระบวนเสด็จอยู่จนค่ำ กลางคืนน้ำขึ้น เรือไฟพวกล่วงหน้าหลุดออกมาได้ทีละลำ สองลำ ถามดูก็ไม่ได้ความว่ากระบวนเสด็จอยู่ที่ไหน จนยามกว่าจึงได้ความจากเรือลำหนึ่งว่าประทับแรมอยู่ที่หน้าวัดหนองแขม ฉันก็เลยจอดนอนคอยเสด็จ อยู่ที่กระทุ่มแบนนั่นเอง...”



    [​IMG]

    วัดหนองแขม สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๓ โดยพระวินัยธร (คำ) เจ้าอาวาสวัดเชิงเลน ต.บางช้าง อ.สามพราน จ.นครปฐม ท่านพร้อมญาติๆ และชาวบ้านจากหมู่บ้านหัวย่าน จ.นครปฐม ได้พากันอพยพมาอยู่ที่หนองแขม และได้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นสถานที่สำหรับบรรจุอัฐิของบุพการี และไว้เป็นการทำบุญของญาติในวงศ์ตระกูลสืบไป เมื่อวัดสร้างเสร็จจึงได้ขนานนามว่า “วัดหนองแขม” เพราะเหตุที่บริเวณนั้นมีหนองน้ำปกคลุมด้วยต้นแขมมาก


    [​IMG]

    ต่อมาในสมัยพระครูวิทยาวรคุณ (พร) เป็นเจ้าอาวาส ได้เปลี่ยนนามเป็น “วัดบำรุงราษฎร์ศรัทธา” ครั้นถึงสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จตรวจการณ์คณะสงฆ์ตามลำคลองภาษีเจริญ ได้ทอดพระเนตรเห็นนามวัด จึงโปรดรับสั่งว่า “วัดนี้ควรเรียกนามตามตำบลและจะได้เป็นวัดประจำตำบลต่อไป” แต่นั้นมาจึงได้เปลี่ยนชื่อวัดกลับมาใช้ “วัดหนองแขม” ตามเดิมจนถึงปัจจุบัน


    [​IMG]

    พระบรมราชานุสาวรีย์
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    บริเวณท่าน้ำหน้าวัด มีศาลาประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงการเสด็จมาประทับแรมของพระองค์ท่าน ณ วัดหนองแขมแห่งนี้



    [​IMG]
    ปัจจุบัน วัดหนองแขม ตั้งอยู่ที่ถนนเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งใต้ แขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร


    [​IMG]


    ...............................................<!-- google_ad_section_end -->​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _13_353.jpg
      _13_353.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.4 KB
      เปิดดู:
      1,915
    • _14_845.jpg
      _14_845.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.6 KB
      เปิดดู:
      1,529
    • _16_212.jpg
      _16_212.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.7 KB
      เปิดดู:
      1,523
    • _17_529.jpg
      _17_529.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.5 KB
      เปิดดู:
      1,490
    • _15_165.jpg
      _15_165.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.1 KB
      เปิดดู:
      2,040
    • _18_283.jpg
      _18_283.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.9 KB
      เปิดดู:
      1,594
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...