สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]เพียรเถิดจะเกิดผลแม้ยังไม่เห็นอะไรก็อย่าท้อแท้ใจ
    [​IMG]การเจริญภาวนาแต่เพียงขั้นต่ำ หรือการปฏิเสธ
    สมถกัมมัฏฐาน และมุ่งเน้นแต่การพิจารณาสภาวะธรรมเพื่อให้เกิดปัญญานั้น เสี่ยงต่อการเกิดวิปัสสนูปกิเลสอย่างมาก


    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติภาวนา มีสติปรากฏยิ่งจนเกินไป กล่าวคือ มีสติพิจารณาสภาวะธรรมแก่กล้าเกินไป แต่ปัญญาอันเห็นแจ้งที่แท้จริงยังเกิดขึ้นไม่ทัน คงมีอยู่แต่ปัญญาจากการจำได้หมายรู้จากตำราเสียโดยมากนั้น จิตจะปล่อยวางอารมณ์วิปัสสนาที่เคยยกขึ้นมาพิจารณาอยู่เสมอนั้นไม่ได้
    [​IMG]แม้แต่จะได้รับคำแนะนำให้ปล่อย หรือให้ปฏิเสธนิมิต ก็ปฏิเสธไม่ออก เป็นเหตุให้เกิดนิมิตลวงขึ้นในใจ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจจะรู้จะเห็น เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลสข้ออุปัฏฐานอันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตได้
    [​IMG]จึงใคร่จะกล่าว ถึงคุณค่าของการเจริญภาวนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำได้ปฏิบัติและสั่งสอนถ่ายทอดไว้ ว่าเป็นกรรมฐานที่มีทั้งสมถะและวิปัสสนาคู่กัน เป็นการเจริญภาวนาที่มีมหาสติปัฏฐานโดยครบถ้วนอยู่ในตัวเสร็จ คือ มีการพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และเห็นธรรมในธรรมอยู่ในตัวเสร็จ
    [​IMG]มีอุบายวิธีที่ทำให้สมาธิเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และให้สามารถเจริญปัญญารู้แจ้งในสัจธรรมจากการที่ได้ทั้งรู้และทั้งเห็น
    [​IMG]เมื่อยกสภาวธรรมใดขึ้นพิจารณาให้เกิดปัญญาแล้ว ก็มีวิธีให้พิสดารกาย พิศดารธาตุธรรมไปสู่สุดละเอียด ให้ใจของทุกกายรวมหยุดอยู่ ณ ศูนย์กลางธรรมกายที่สุดละเอียดอยู่เสมอ จิตก็ละวางนิมิตที่ยกขึ้นพิจารณานั้นไปเองโดยอัตโนมัติ วิปัสสนูปกิเลสดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้นแก่ผู้เจริญภาวนาตามแนวนี้แต่ประการใด
    [​IMG]และยิ่งสำหรับผู้เจริญภาวนาได้ถึงธรรมกายแล้ว ยิ่งเห็นอรรถเห็นธรรม ทั้งที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง ที่เรียกว่า สังขตธาตุ สังขตธรรมกับทั้งที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง ที่เรียกว่าอสังขตธาตุ อสังขตธรรม ได้โดยชัดแจ้ง ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัย
    จึงขอเชิญชวนท่านสาธุชนเจริญให้มาก แม้ในระยะแรกๆ บางรายอาจจะยังมิได้เห็นอะไร ก็อย่าท้อแท้ใจ ว่าปฏิบัติไม่ได้ผล ความจริงถ้าสังเกตดูในเหตุและผลแล้ว ก็จะพบว่า ท่านได้รับผลดีจากการปฏิบัติอย่างแน่นอน ขอแต่ให้ปฏิบัติให้ได้ตรงตามวิธีที่แนะนำไป ด้วยใจรักในธรรมปฏิบัตินี้ ด้วยความเพียรพยายาม ไม่ย่อท้อ ด้วยใจจดจ่ออยู่เนืองนิจ และด้วยความพินิจพิจารณาในเหตุสังเกตในผลให้ถูกต้อง ตามที่วิปัสสนาจารย์ให้คำแนะนำไว้
    [​IMG]โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้พึงระวังอุปกิเลสของสมาธิให้ดี เช่นว่า
    [​IMG]ระวังอย่าให้เพียรหย่อนเกินไป จนจิตใจง่วงเหงา ซึมเซา ไม่กระปี้กระเป่า
    [​IMG]เพียรจัดเกินไป จนกายและใจไม่สงบ
    [​IMG]อยากเห็นนิมิตจนเกินไป ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน
    [​IMG]หรือ..พลอยหงุดหงิด เมื่อรู้สึกว่าปฏิบัติไม่ได้ผล
    [​IMG]หรือ..สะดุ้งตกใจกลัว/ตื่นเต้นจนเกินไปเมื่อเห็นนิมิต ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน หรือเคลื่อนจากสมาธิ
    [​IMG]และพึงระวังรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สำหรับผู้เป็นฆราวาสก็อย่างน้อยศีล ๕ ขึ้นไป
    [​IMG]พึงหลีกเลี่ยงจากกามฉันทะ อย่าไปตรึกนึกถึงมันให้มากนัก เพราะเป็นอุปกิเลสของสมาธิตัวสำคัญเสียด้วย
    [​IMG]สิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษ อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาททั้งหลาย
    [​IMG]ตลอดทั้งการดูการละเล่น หรือ ประโคมดนตรีเหล่านี้ ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องกีดกั้นหนทางเจริญสมาธิและปัญญาทั้งสิ้น



    หลวงปู่วีระ คณุตฺตโม
    อดีตรองเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ


    [​IMG]
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    กิเลสทั้งปวงนับตั้งแต่อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
    อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลายที่
    รวมเรียกว่า สมุทัยนั้น ต่างก็ประชุมรวมลงอยู่ที่ จิตใจของสัตว์ คือใน เห็น จำ คิด รู้ ทั้ง ๔ อย่างนี้
    ทั้งสิ้น
    เพราะฉะนั้น การแก้ หรือปหานกิเลสทั้งมวลเหล่านี้
    ก็จะต้องแก้ที่จิตใจ คือที่ เห็น จำ คิดและรู้นี่เอง
    กิเลสจึงจะดับหมด
    แล้วธรรมกายจึงจะใสสะอาดบริสุทธิ์ ขยายส่วนใหญ่โตออกไป ได้เต็มธาตุ เต็มธรรม แล้วก็จะไม่กลับมัวหมอง และไม่กลับเล็กเข้ามาอีก เพราะเบิกบานเต็มที่ เหมือนดอกบัวที่บานแล้ว ก็จะเห็นธรรมกายนั้น ใสสว่างอยู่ทุกเมื่อ



    พระราชพรหมเถร
    หลวงปู่วีระ คณุตฺตโม



    ?temp_hash=4e4be3b5bbf348fe824000f3bbe53837.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    #ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยสงฆ์พระอริยเจ้าก็อย่าหลงว่าตนเองเป็นผู้รู้มาก
    [​IMG]เลิกละความหลงผิด ไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามความเป็นจริง
    [​IMG]ส่วนมากบางคนก็ไม่รู้นะ มากต่อมาก ที่มักจะแสดงความเห็นว่า "ตนเองนี่ รู้แล้ว" ก็ยอมรับว่ารู้อยู่...แต่ส่วนเดียว มันมีส่วนที่ละเอียดยิ่งกว่านั้นไปอีกมาก
    #ยังไม่เป็นพระอริยสงฆ์ #ไม่เป็นพระอริยเจ้าจริงๆแล้ว อย่าหลงตัวเอง ว่าตัวเองรู้แล้ว..ไม่มีทาง มันมีหยาบ กลาง ละเอียด กิเลสน่ะ ถ้าหลงตัวเองก็เสร็จเลย ไม่ต้องพูด มันเป็นอยู่อย่างนี้
    [​IMG]เพราะฉะนั้น วิธีกำจัดกิเลส ซึ่งมันเกิดขึ้นแก่ใจ มันก็ต้องอบรมจิต
    อบรมจิตตรงไหนล่ะ? ทำไมจะอบรมได้?
    #เบื้องต้นต้องอบรมศีลก่อน บุคคลพวกเรานี่แหละ บกพร่องกัน ยังไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ต้องคิดว่าบกพร่องอะไร
    [​IMG]แม้แต่ผู้พูดนี่ก็บกพร่องนะ ไม่ใช่ว่าเก่งเสมอไปนะ แต่ก็ทำความเข้าใจตัวเองว่า "อะไรเราผิด อะไรเราควรจะทำให้มันถูก บางทีมันเผลอไผลไปอะไรไป ก็ทำให้มันดี" เป็นพระนี่แหละไม่ใช่ว่าหมดกิเลส ยัง ไม่อย่างนั้นไม่ต้องมาบวชหรอก เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ๓ วันก็มรณภาพ หรือตายไปแล้ว
    ถ้าเป็นพระอรหันต์นี่ เป็นเพศอุบาสก อุบาสิกา ไม่ได้ อยู่ได้ไม่เกิน ๓ วัน
    เทวดา..ถ้าบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ ทำกาละเมื่อนั้น นิพพานเมื่อนั้นเลย ดังนี้เป็นต้น
    แล้วตราบใดที่มันยังอยู่นี้ ก็นี่แหละ ความเพียรแหละ กำจัดกิเลส แต่ว่าเริ่มต้นสำคัญ ที่ควบคุมจิตนี่คือ เจริญภาวนาสมาธิ ด้วยอุบายวิธีสงบใจ ตัวนี้มันตัวสำคัญมาก
    #หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านเลือกมีสติพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ด้วยอุบายวิธีสงบใจที่มีประสิทธิภาพสูงมาก
    คือ...
    อาโลกกสิณ ๑
    อานาปานสติ ๑
    พุทธานุสติ ๑
    #สุดยอดของกัมมัฏฐานแล้วฝ่ายสมถะ มีคุณค่าในการศึกษาสัมมาปฏิบัติ เพื่อกำจัดกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญาสูงที่สุด ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ไม่ได้ผล คุณไม่ต้องไปหาวิธีอื่นหรอก เพราะนี่ มันยอดของอารมณ์สมถะที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ มีอานุภาพสูงสุด
    อาโลกกสิณ เป็นกสิณกลาง เหมาะแก่ทุกจริตอัธยาศัย
    พุทธานุสติ ก็เหมาะแก่พวกพุทธจริต
    อานาปานสติ ก็เหมาะแก่ทุกคนทุกจริตอัธยาศัย
    นี่..ถ้าเรียนธรรมะมาเราจะรู้เลย ในขบวนสมถะภูมิ ๔๐ เนี่ย ๓ ข้อนี้ เลิศเลยแหละ เพราะฉะนั้น ตั้งใจปฏิบัติ
    [​IMG]แต่มันดูเหมือนว่า..มันจะยาก ก็เพราะเราไม่ได้สั่งสมมามากพอสมควร ก็ต้องตั้งใจ ถามว่า..เราอยากพ้นทุกข์ไหม หรือเราอยากเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ต่อไป ถ้าทุกคนเข้าใจก็จะตอบว่า ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดหรอก
    [​IMG]เพราะฉะนั้น #เมื่อไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด ก็ต้องเจริญภาวนาสมาธิ ให้ถึง"จิตตวิสุทธิ"
    ความหมดจดแห่งจิต คือ เป็นสมาธิตั้งมั่นตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป เป็นมรรคองค์ที่ ๘ ตั้งแต่"ปฐมฌาน"ขึ้นไป
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสอริยมรรค์มีองค์ ๘ เป็นทางให้ตัดกิเลสเหตุแห่งทุกข์ บรรลุมรรคผล นิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ข้อที่ ๘ คือ สัมมาสมาธิ
    #การเจริญภาวนาสมาธิ ในระดับฌานจิต ตั้งแต่ปฐมฌานถึงจตุตถฌาน เป็นอย่างต่ำ คือ ตรงนี้ได้มาตรฐาน มีกำลังพอที่จะคู่กันกับ เมื่อใจสงบบริสุทธิ์ผ่องใสแล้ว เจริญวิปัสสนาให้เห็นแจ้งในสภาวะธรรมและอริยสัจธรรมตามความเป็นจริง ตรงนี้เป็นภาวนามยปัญญา ให้เจริญปัญญาด้วยการที่ได้ทั้งเห็น และ ทั้งรู้ แล้วจึงจะเจริญวิชชา คุณเครื่องช่วยให้เห็นแจ้งในสภาวะธรรม และอริยสัจธรรมตามความเป็นจริง ให้ชัดเจนแน่วแน่อีกครั้งหนึ่ง
    อย่างน้อยวิชชา ๓
    คือ...
    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๑
    จุตูปปาตญาณ ๑
    และวิชชาที่สามสุดท้ายคือ อาสวักขยญาณ
    อาสวักขยญาณเนี่ย ถ้าสมาธิไม่ดีพอ ไปไม่ถึง เพราะไม่สามารถจะเข้าถึงคุณธรรมที่ให้เห็นแจ้ง รู้แจ้ง สภาวะธรรมตามความเป็นจริงได้
    #ต่อเมื่อท่านปฏิบัติถึงธรรมกาย ธรรมเป็นที่ประชุมคุณธรรมของพระอริยสงฆ์ พระอริยเจ้า ตั้งแต่"โคตรภูบุคคลขึ้นไป" จึงจะเจริญทิพจักษุ ทิพโสต สมันตจักษุ พุทธจักษุ และ ปัญญาจักษุ...ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง นี่แหละ เรื่องมันสูงขึ้นไปถึงขนาดนี้ ก็ต่อเมื่อไปเข้าสู่กระแสพระนิพพาน เรียกว่า "#ตกกระแส"



    [​IMG]


    พระเทพญาณมงคลเสริมชัย ชยมงฺคโล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    [​IMG]ให้นึกให้เห็นด้วยใจบ่อยๆ ใจก็จะมารวมอยู่ที่นั่น เพราะใจเห็นอยู่ที่ไหนใจก็อยู่ที่นั่น

    นี้เป็นอุบายวิธี พอใจหยุดแล้ว เราไม่ต้องนึกแล้ว เพียงหยุดตัวเดียว เมื่อหยุด ใจก็จะไม่ออกไปฟุ้งซ่านภายนอก ใจก็จะหยุดสงบนิ่ง ผ่องใส
    [​IMG]หลวงปู่สดเทศน์ตอนนึงในเรื่องพระของขวัญไว้ว่า
    "ใจหยุดนิ่งอยู่กับพระที่เห็นแจ่มนั่นแหละ
    เป็นมหัคคตกุศล กามาวจรกุศล จะทำบุญกุศลอย่างหนึ่งอย่างใดสู้ไม่ได้ สร้างวัดวาอาวาสอย่างหนึ่งอย่างใด สู้ใจหยุดนิ่งอยู่กับพระของขวัญนั้นอึดใจเดียวเท่านั้นไม่ได้ เสียเงินสักกี่โกฏิกี่ล้านก็สู้ไม่ได้
    เมื่อเราเอาใจของเราจรดอยู่พระของขวัญที่เห็นแจ่มนั้น เป็นมหัคคตกุศล เป็นสมาธิแล้ว ตายไม่ตกนรก"


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    #ดูเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาที่มีใจโหดร้าย ๔ จำพวก ได้แก่


    (๑) เทวดายักษ์ มีทั้งยักษ์ชาย (ยกฺข) และยักษ์หญิง (ยกฺขินี) อยู่ภายใต้การปกครอง ของ “ท้าวเวสสุวัณมหาราช” พวกหนึ่งมีรูปร่างสวยงาม มีรัศมี อีกพวกหนึ่ง มีรูปร่าง น่าเกลียด ไม่มีรัศมี พวกนี้จัดเป็นเดรัจฉานยักษ์
    1f33c.png เทวดายักษ์เหล่านี้ ชอบเบียดเบียนสัตว์นรก เวลามีจิตใจชั่วร้าย ก็จะเนรมิตตัวเป็น นายนิรยบาลลงไปสู่นิรยโลก (นรก) เที่ยวลงโทษสัตว์นรกตามอำเภอใจของตน เมื่อต้องการ จะกินสัตว์นรก ก็จะเนรมิตตัวเป็นแร้งยักษ์/กายักษ์ จับสัตว์นรกเหล่านั้นกินเสีย
    บางทีเขาก็เบียดเบียนมนุษย์
    ดังตัวอย่างประสบการณ์ของผู้ตั้งใจศึกษาสัมมาปฏิบัติท่านหนึ่งต่อไปนี้
    รถยนต์ ๑๐ ล้อ บรรทุกทราย เต็มคันรถ กำลังมุ่งหน้าไปทางกรุงเทพฯ ขณะกำลังขึ้นแล้วลงจากคอสะพาน รถยนต์ของท่านกำลังขับตามมาห่างๆ (ประมาณ ๒๐ เมตร) ได้เห็น
    กุมภัณฑเทวดา หรือ รากษส ตัวใหญ่คล้ายยักษ์ตนหนึ่ง ยืนรออยู่ข้าง ถนนด้านซ้าย ห่างจากคอสะพานไปประมาณ ๒๐ เมตร บันดาลลม (เป่าลม) ไปทางรถยนต์บรรทุกคันนั้น พลันรถคันนั้นก็เสียความทรงตัว แล่นลงจากคอสะพานเหมือนงูเลื้อย แล้วก็พลิกคว่ำลงข้างทาง โดยมี รถของท่านตามมาใกล้ๆ ซึ่งปกติเมื่อท่านนั่งอยู่ในรถจะเจริญภาวนา อธิษฐานปาฏิหาริย์ “จักรแก้ว” จากศูนย์กลาง “พระธรรมกาย” ให้ คุ้มครองรถที่ท่านนั่งอยู่ ชะรอยยักษ์ที่ยืนพ่นลมอยู่นั้น คงจะเห็น “จักรแก้ว” ที่กำลังหมุนอยู่โดยรอบรถยนต์ที่ท่านนั่งป้องกันภัย จึงชะงัก เกิดความกลัว และหยุดพ่นลมแรงให้รถยนต์บรรทุกคันนั้นเกิดอุบัติเหตุ ร้ายแรง เพื่อให้คนขับตายหรือบาดเจ็บเลือดตกยางออก แล้วจะได้กิน เลือดกินเนื้อเสีย
    เมื่อรถยนต์ที่ท่านนั่งกำลังแล่นผ่านไป ท่านจึงได้หันกลับไปดูคนขับ รถยนต์บรรทุกที่คว่ำลงข้างทางนั้น มองเห็นคนขับกำลังคลานออกมาจาก ที่นั่งโดยปลอดภัย ก็รู้สึกโล่งใจที่เขาปลอดภัยจากรากษสนั้น”
    (๒) คันธัพพเทวดา อยู่ในปกครองของ “ท้าวธตรฐมหาราช” เป็นเทวดาที่ถือกำเนิด อยู่ตามต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม เช่น เกิดอยู่ตามรากไม้ แก่นไม้ เกิดอยู่ในเนื้อไม้ ในเปลือกไม้ อยู่ ในกะพี่ไม้ อยู่ในน้ำหอม หรือเกิดอยู่ในใบไม้ ในดอกไม้ ในผลไม้ หรือในเมล็ดผลไม้ และที่เกิด อยู่ในเหง้าใต้ดิน ก็มี เทวดาเหล่านี้ ชื่อว่า “กัฏฐยักขะ (กัฏฐยักษ์)” เมื่ออาศัยอยู่กับไม้ใดๆ ก็จะอาศัยอยู่ตลอดไป แม้ต้นไม้นั้นจะถูกตัดไป หรือตายไป หรือโค่นล้มไปแล้วก็ตาม หรือ แม้ผู้คนจะนำไม้ไปสร้างบ้าน สร้างกุฏิ สร้างเรือ ฯลฯ ก็ตาม ก็จะไม่ยอมละทิ้งที่อยู่ของตน นี้คือข้อแตกต่างจากรุกขเทวดาทั้งหลายอื่น ซึ่งถ้าต้นไม้ตายไปหรือคนตัดไป ก็จะละที่ อยู่ของตนไปหาต้นไม้อื่นเป็นที่อยู่อาศัยใหม่
    คันธัพพเทวดาเหล่านี้ เมื่อติดอยู่กับไม้ที่เขาเอาไปสร้างบ้านเรือน หรือกุฏิ หรือเรือ ที่ชาวบ้านเรียก “นางไม้” หรือ “แม่ย่านางเรือ” เป็นต้นเหล่านี้ บางทีก็แสดงตนให้ปรากฏ แก่ผู้อยู่อาศัยหรือผู้เป็นเจ้าของ/ผู้ใช้เรือ ด้วยต้องการของเช่นไหว้ หรือต้องการอนุโมทนา
    ส่วนบุญเวลาผู้อาศัยหรือเจ้าของทำบุญ แต่บางกรณีที่ไม่พอใจ ก็รบกวนผู้อยู่อาศัยหรือ เจ้าของให้มีอุปสรรค ให้เจ็บป่วย หรือให้เกิดความเดือดร้อนแก่เจ้าของหรือผู้อยู่อาศัยได้
    1f34e.png คันธัพพเทวดาอีกพวกหนึ่ง บางรายที่ก่อนที่มาอุบัติเกิดเป็นคันธัพพเทวดานั้น ได้ เคยประกอบกรรมอันเป็นบาปอกุศลเป็นเวรกันมากับหญิงคนใด ก็จะมาเข้าสิงหญิงคนนั้น ถ้าไม่พอใจใคร ก็จะไปทำความเดือดร้อนแก่บุคคลที่ตนไม่ชอบนั้น บางราย ในวันเพ็ญ ยามพระจันทร์เต็มดวง ก็จะออกเที่ยวแสวงหาอาหารที่สกปรกในเวลากลางคืน ในขณะที่ เที่ยวแสวงหาอาหารอยู่นั้น ก็มีแสงเรืองเป็นประกายออกมาจากร่างด้วยอิทธิฤทธิ์ของ คันธัพพเทวดานั้น พวกนี้แหละที่ชาวบ้านเรียกว่า “ผีปอบ”
    ดังที่ข้าพเจ้าผู้เรียบเรียงนี้ เมื่อตอนเป็นเด็กอายุประมาณ ๗-๘-๙ ขวบ ก็เคยได้เห็น เหมือนดวงไฟเคลื่อนวาบๆ ออกไปจากพุ่มไม้ (ที่ชาวบ้านใช้เป็นที่ปลดทุกข์) ไปยังกอไผ่ หาย ไปสักอึดใจก็เห็นเคลื่อนวาบๆ ต่อๆ ไปยังกอไผ่ที่ ๒ หายไปชั่วอึดใจก็วาบๆ ออกไปใน สวน และเป็นเช่นนั้นต่อๆ ไป จนลับตาหายไป และก็มีคนอื่นๆ ได้เคยเห็นทำนองเดียว กัน คือ เห็นเหมือนดวงไฟวาบๆ ไปยังที่ถ่ายสิ่งปฏิกูลของหญิงคลอดบุตรใหม่ๆ เงียบหาย ไป ณ ที่นั้นสักครู่ ก็ปรากฏวาบๆ ออกจากที่นั้นลับหายไป
    (๓) กุมภัณฑเทวดา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “รากษส” อยู่ในความปกครองของ “ท้าว วิรุฬหกมหาราช” มีลักษณะร่างกายพุงใหญ่ ตาพองสีแดง
    พวกที่ ๑ อยู่ในมนุษย์โลก มีหน้าที่รักษาป่า ภูเขา ต้นไม้ สระโบกขรณี แม่น้ำ พุทธเจดีย์ แก้วรัตนะ ต้นยาที่ประเสริฐ ต้นไม้ที่มีดอกหรือไม้หอม และ/หรืออยู่เฝ้ารักษา ธาตุกายสิทธิ์ต่างๆ ถ้ามีผู้ใดล่วงล้ำเข้าไป และ/หรือ ไปเอาของที่เขาเฝ้ารักษาในบริเวณ ที่เขาคอยปกปักษ์รักษาอยู่ ซึ่งท้าววิรุฬหกมหาราชได้กำหนดให้เป็นเขตที่เขาเฝ้าดูแลรักษา กุมภัณฑเทวดา หรือ รากษส นั้นมีสิทธิ์จับตัวกินได้ โดยไม่มีโทษจากท้าวมหาราช
    พวกที่ ๒ อยู่ในนิรยโลก (นรก) ได้แก่ พวกที่เนรมิตกายเป็นนายนิรยบาลรากษส, แร้ง รากษส, การากษส หรือสุนัขรากษส ที่มีหน้าที่คอยลงโทษสัตว์นรก และจับสัตว์นรกกินนั่นเอง
    (๔) นาคเทวดา หรือที่เรียกกันว่า “พญานาค” อยู่ในความปกครองของ “ท้าววิรูปักษ์
    มหาราช” มีอยู่ ๒ กำเนิด คือ กำเนิด “สุนธระ” และกำเนิด “ภุมมเทวะ” มีที่อยู่ ๒ แห่ง คือ อยู่ใต้ดินธรรมดา แห่ง ๑ กับอยู่ใต้ภูเขาอีกแห่ง ๑ นาคเทวดาที่อาศัยอยู่ในสถานที่ ๒ แห่งนี้ จึงชื่อว่า “ปฐวีเทวดา” พญานาคเหล่านี้ชอบการสนุกสนานรื่นเริงด้วยการเล่นกีฬา และการละเล่นต่างๆ และชอบเล่นน้ำ พญานาคเหล่านี้มีวิชาเวทย์มนต์คาถาต่างๆ ด้วย ชื่อว่า “วัตถุวิชา” คือ วิชาที่เสกวัตถุให้เป็นไปตามปรารถนา เช่น วิชาเสกใบไม้เป็นนก หรือ เสกใบมะขามเป็นแตน/ต่อ ฯลฯ หรือ “ภูมิวิชา” คือ วิชาเสกสถานที่ หรือวัตถุให้เป็น ที่อยู่อาศัย เช่น วิชาเสกท้องทะเล/มหาสมุทร เป็นนาคพิภพ เป็นที่ตั้งวิมานและทิพยสมบัติ ต่างๆ หรือ วิชาที่เสกวัตถุให้เป็นที่สถิตอยู่ของเทวดาที่จะให้คุณแก่ผู้มีไว้ในครอบครอง ได้แก่ เสกวัตถุธาตุให้เป็น “กายสิทธิ์” ต่างๆ เป็นต้น เวลาจะท่องเที่ยวไปในมนุษย์โลก บางทีก็ไปในร่างกายเดิมของตน บางทีก็เนรมิตกายเป็นคน เป็นสุนัข เป็นเสือ/ราชสีห์ ท่องเที่ยวไป นาคเทวดาเหล่านี้จัดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ในสมัยพุทธกาล ได้เคยมีพญานาคตนหนึ่ง เนรมิตกายเป็นมนุษย์ ไปขอบรรพชาอุปสมบท กับพระอุปัชฌาย์ผู้ยังไม่ได้ทิพพจักษุญาณ ท่านไม่ทราบว่าพญานาคแปลงกายมาขอบวช ท่านก็จึงบวชให้ได้เป็นพระภิกษุ พอพระภิกษุนาคนั้นได้จำวัดหลับไป จึงได้คลายร่าง เป็นพญานาคตามธรรมชาติของเขา พระภิกษุอื่นไปเห็นเข้าก็ตกใจร้องโวยวาย ความทราบ ถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสห้ามการบวชให้พญานาค เพราะพญานาคเป็นสัตว์ ในกำเนิดแห่ง “อเหตุกสัตว์” คือเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่มีเหตุปัจจัยให้บรรลุมรรคผลได้ เพราะเหตุนั้น ในการที่พระอุปัชฌาย์จะให้การบรรพชาอุปสมบท จึงทรงให้ถามอุปสัมปทาเปกข์ ก่อนรับบวชว่า “มนุสโสสิ ?” เมื่ออุปสัมปทาเปกข์รับตามที่เป็นจริงว่า “อามะ ภันเต” จึงจะให้การบรรพชาอุปสมบทได้ และได้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในพิธีบรรพชาอุปสมบท กุลบุตรมาตราบเท่าทุกวันนี้
    ในสมัยพุทธกาล ได้เคยมีพญานาค ชื่อ “เอรกปัตต์” ได้แสดงตนเป็นมาณพไปเฝ้า พระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้วชบหน้าร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าว่า ไม่ได้เฝ้า ไม่ได้ฟังธรรม จากพระพุทธเจ้า มาเป็นเวลา
    ตลอดพุทธันดรหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่ได้เคยบวชเป็นพระภิกษุ มาแล้วถึง ๒ หมื่นปี ในพุทธกาลของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปะ
    พญานาค “เอรกปัตต์” ได้เล่าถวายพระบรมศาสดาว่า ในกาลครั้งนั้น ตนเป็น พระภิกษุหนุ่ม ได้โดยสารเรือไปในแม่น้ำคงคา ได้คว้ายึดใบตะไคร่น้ำกอหนึ่ง เมื่อเรือแล่นเร็ว ก็ไม่ปล่อย ใบตะไคร่น้ำขาดติดมือไปด้วย แต่ไม่ได้แสดง (ปลง) อาบัติ เพราะเห็นว่าเป็นโทษ เพียงเล็กน้อย พอถึงเวลาใกล้จะมรณภาพ ก็เป็นเหมือนถูกใบตะไคร่น้ำรัดคอ อยากจะแสดง อาบัติแต่ก็มองไม่เห็นภิกษุอื่น จนมรณภาพ ด้วยอกุศลกรรมที่ทำให้ใบตะไคร่น้ำขาด ต้อง อาบัติ ชื่อ “ปาจิตตีย์” ฐานพรากของเขียว (สิกขาบทที่ ๑ แห่งภูตคามวรรคที่ ๒) และ ไม่ได้แสดงอาบัตินั้น จึงได้ไปบังเกิดเป็นนาคเทวดา (พญานาค) ชื่อ “เอรกปัตต์” กว่า จะได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าและได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ก็นานแสนนาน ถึง ๑ พุทธันดร พระบรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า “มหาบพิตร ชื่อว่า ความเป็นมนุษย์ หาได้ยากนัก, การฟัง พระสัทธรรมก็อย่างนั้น, กาลอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากเหมือนกัน, เพราะว่าทั้ง ๓ อย่างนี้ บุคคลย่อมได้โดยลำบากยากเย็น” เมื่อจะทรงแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า
    “ความได้อัตตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก, ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก, การฟังพระสัทธรรมเป็นของยาก, การที่อุบัติขึ้นแห่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก๕๔
    ในกาลจบเทศนา เหล่าสัตว์ (ผู้ได้ร่วมฟังพระธรรมเทศนาในวันนั้นด้วย) จำนวน ๘๔,๐๐๐ ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว ฝ่ายนาคราชจะพึงได้โสดาปัตติผลในวันนั้น (ก็จริง), แต่ก็ไม่ได้บรรลุ ธรรม เพราะความที่ตนเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ตามธรรมดา พญานาคนั้นย่อมถึงความลำบากในฐานะทั้ง ๕ กล่าวคือ การถือ ปฏิสนธิ, การลอกคราบ, การวางใจเผลอสติ หรือปราศจากสติ แล้วก้าวลงสู่ความหลับ, การเสพเมถุนกับด้วยนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน, และการจุติ ที่พวกนาคถือเอาสรีระแห่ง นาคนั่นแหละ เป็นไปในอาการทั้ง ๕ นั้น
    แต่ด้วยอานิสงส์ในการได้เข้าเฝ้าถวายบังคมเบื้องพระยุคลบาท และได้ฟังธรรม จากพระบรมศาสดา จึงไม่ต้องถึงภาวะความลำบากดังกล่าว และย่อมได้ภาวะเพื่อท่อง เที่ยวไปด้วยรูปแห่งมาณพนั่นแล ดังนี้แล
    หลวงป๋า



    ?temp_hash=0642c0b73e366252f9e4dde3df615bb2.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...