ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กัมพูชา อ้างเป็นเจ้าของเกาะกูด จะไปเจรจา เพื่อให้ ขเมรมาเคลมไปหรือ รัฐบาลนี้ก็แปลกเนอะ ชอบพาประเทศไปพบความเสี่ยง ถ้าพวกเขาบืนยันจะทำให้ได้ ให้มาเซ็นสัญญากับประเทศ ว่า ถ้าทำแล้วเกิดผลเสีย ทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาทั้งหมดต้องตกเป็นของประเทศ ดูว่าจะยังยืนยันจะทำอีกหรือเปล่า จะมีกี่แสนล้าน ก็ยินยอมยกให้ประเทศไทยหมด รวมถึงทรัพย์สินในต่างประเทศด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนที่ไปทำ mou 44 ฉลาดกว่ากัมพูชาจริงหรือ ที่กัมพูชาแสดงท่าทีแบบนี้ มั่นใจมาก ใช่เขาดูถูกคนที่ไปทำ mou 44 ว่า ฉลาดหรือโง่



    Screenshot_25671216_215811.jpg
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประเทศที่บริหารไม่ดีขนาดนี้ ถ้าคนที่เชื่อมั่น mou 44 ว่าไม่มีเป็นไปตามคนคัดค้าน เชื่อว่าตัวเองฉลาด หรือจริงๆ ก็รู้ตัวว่า เป็นไปตามที่กัมพูชาคิดแต่เพื่อผลประโยชน์ตนเองเลยไม่สนใจ แต่ถ้าผลเป็นไปตาม กัมพูชา คิด ต้องพิจารณา ความฉลาดของตัวเองได้แล้ว และควรทำสัญญาชดใช้ความเสียหายให้ประเทศ ว่ายินดียกทรัพย์สินทั้งหมดให้ประเทศ แม้แต่ทรัพย์สินต่างประเทศ รวมถึงทรัพย์สินที่วงศ์ตระกูล จะได้มาในอนาคตให้ประเทศ



    Screenshot_25671216_220103.jpg
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตอนนี้เป็นรัฐบาล ก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายค้านได้ ขึ้นอยู่พฤติกรรม น่าอายน่ะ ปล่อยให้คนบริหารแย่ ๆ ออกมา เกทับได้ขนาดนี้ คนทำ mou 44 เก่งจริงหรือเปล่า



    Screenshot_25671216_220627.jpg
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาะกูดยังไงก็เป็นของไทยอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาลไปยกมาเป็นประเด็น ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่พอไปยกเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เลยกลายเป็นปัญหา
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dec 18, 2024 ไม่ผิดคาด ! กนง.แจงมติคงดอกเบี้ยนโยบาย 2.25% มุ่งรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ การเงิน บนความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น คาดจีดีพีปี 67 โต 2.7% หั่นคาดการณ์เงินเฟ้อปี 67 ที่ 0.4% จาก 0.5%

    นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง. วันนี้ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ต่อปี

    ทั้งนี้ ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่าความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าปรับสูงขึ้น จึงจะติดตามพัฒนาการของแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินและพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมต่อไป

    กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันจากภายนอกที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก แต่ยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังฟื้นตัวได้ช้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง

    "คณะกรรมการฯ เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับศักยภาพ เงินเฟ้อที่โน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมทั้งรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ปรับสูงขึ้น" เลขานุการ กนง.ระบุ

    โดยคณะกรรมการฯ ประเมินว่า ในปี 67 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.7% ส่วนในปี 68 คาดขยายตัว 2.9% ซึ่งเท่ากับประมาณการเดิมเมื่อเดือนต.ค.67 โดยได้รับแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน รวมทั้งการส่งออกสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ และหมวดเครื่องจักร ที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยี

    อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน โดยภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น แต่ SMEs และภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่ม ยังถูกกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง กลุ่มยานยนต์มีพัฒนาการแย่ลง จากทั้งปัจจัยด้านราคาและอุปสงค์ ส่งผลให้การฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนยังไม่ทั่วถึง

    "มองไปข้างหน้า แนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก มีความไม่แน่นอนสูง จึงต้องติดตามพัฒนาการของปัจจัยดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้า และการลงทุนของไทยในระยะต่อไป" นายสักกะภพ ระบุ

    กนง.ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 67 มาอยู่ที่ 0.4% จากเดิมคาด 0.5% ส่วนปี 68 คาดไว้ที่ 1.1% จากเดิม 1.2% โดยอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจและการส่งผ่านต้นทุนในหมวดอาหาร โดยคาดว่าปี 67 จะอยู่ที่ 0.6% และในปี 68 จะอยู่ที่ 1.0% ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย

    ด้านสินเชื่อชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา จากความต้องการลงทุนในบางสาขาธุรกิจลดลง การชำระคืนหนี้ที่กู้ยืมไปในช่วงวิกฤตโควิด-19 และความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูง อาทิ สินเชื่อของภาคท่องเที่ยวและบริการ ขยายตัวชะลอลงจากการชำระคืนหนี้และรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อของธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น หดตัวตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งคณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อ และนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และผลของมาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" ของภาครัฐ ที่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบางอย่างตรงจุด

    ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ ปรับอ่อนค่าลงจากการประชุมครั้งก่อน ตามการปรับคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทย ปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

    Website: https://btimes.biz
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3

    #ดอกเบี้ย #กนง. #ดอกเบี้ยนโยบาย #แบงก์ชาติ #เศรษฐกิจ #เงินเฟ้อ #การเงิน #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/1oeGpankXD6NX1AU/
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดอกเบี้ยไทยสวนโลก กนง. คงอัตราเท่าเดิม คนละทิศกับ “เฟด” ที่ลดดอกเบี้ย สะท้อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าได้แบบใด
    .
    มีรายงานในหลายสำนักวิจัยที่ประเมินว่าทิศทางดอกเบี้ยโลกในปี 2568 มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกจะลดดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากหลายปัจจัย โดยเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปชะลอตัว ยังคงสนับสนุนมุมมองดอกเบี้ยขาลงในปี 2568 ขณะที่เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างเปราะบาง

    <กนง. ไม่ลดดอกเบี้ย สวนทางประเทศอื่น>
    แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมาในการประชุมนัดส่งท้ายปี ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ถือว่าไม่หักปากกาเซียน เพราะ กนง. ได้มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี แม้ว่าแนวโน้มธนาคารกลางทั่วโลก จะมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย เพื่อพยุงเงินเฟ้อ เศรษฐกิจที่ซึมมาตั้งแต่โดนพิษโควิด–19
    .
    สาเหตุที่ กนง. คงดอกเบี้ยนั้น ก็เนื่องมาจาก การที่ กนง. เห็นว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันจากภายนอกที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก แต่ยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้
    .
    ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังฟื้นตัวได้ช้าจากบางกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างเช่น อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ที่ประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง เงินเฟ้อที่โน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน
    .
    ดังนั้น กนง. จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยคงคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไว้ที่ 2.7% และ 2.9% ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ และหั่นคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปเหลือ 0.4% ในปี 2567 และ 1.1% ในปี 2568 ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน คาดว่าจะอยู่ที่ 0.6% และ 1.0%
    .
    แต่หากมองไปในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอนที่ปรับสูงขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น ทิศทางนโยบายการค้าโลก ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบจากคุณภาพหนี้ ต่อภาวะการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม โดยความเสี่ยงในปี 2568 มีมากขึ้นจากความไม่แน่นอน ซึ่งนั่นจะมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่ำกว่า 2.9%
    .
    คุณสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า ปัจจุบัน กนง. คงจุดยืนนโยบายการเงินที่เป็นกลาง (neutral stance) เพื่อรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน(Policy space) เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ปรับสูงขึ้น โดยปัจจุบันโมเมนตัมเศรษฐกิจยังไปได้โดยเฉพาะไตรมาสนี้ และไตรมาส 1/2568 ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจไตรมาส 3/2567 ที่ปรับดีขึ้น และตัวเลขการส่งออกที่เติบโตเกินคาด แต่หากแนวโน้มเศรษฐกิจมีปัญหาอย่างชัดเจน ก็พร้อมพิจารณาลดดอกเบี้ย
    .
    ด้านความเสี่ยงในระบบการเงิน ยังมีประเด็นให้ต้องกังวล เนื่องจากความเสี่ยงไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยระยะยาวมองว่าความเสี่ยงหนี้ครัวเรือนจะลดลง จากปัจจุบันที่มีการชะลอตัว ด้านความเสี่ยงระยะสั้นจากสินเชื่อที่ตึงตัว การออกมาตรการแก้หนี้ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในช่วงที่ผ่านมา และมาตรการล่าสุด ‘คุณสู้ เราช่วย’ ประกอบกับการลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ในเดือน ต.ค. ช่วยแบ่งเบาความเสี่ยงดังกล่าว
    .
    “ระยะยาว เราเห็นการชะลอตัวของหนี้ครัวเรือน ดังนั้นความเสี่ยงระยะยาวของเสถียรภาพระบบการเงิน ไม่ได้เป็นประเด็น และลดลง แต่ระยะสั้น จากสินเชื่อตึงตัว ภาวะการเงินต่างๆ ก็มีมาตรการเข้ามาช่วย และผลจากการลดดอกเบี้ยครั้งก่อน ซึ่งช่วยครัวเรือนที่มีภาระหนี้สูง” นายสักกะภพ ระบุ
    .
    <ธนาคารกลางสหรัฐลดดอกเบี้ยตามคาด 0.25% แต่ปีหน้าหั่นน้อยลง>
    ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ครั้งสุดท้ายของปีเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2567 ด้วยมติ 11 ต่อ 1 เสียง
    .
    อย่างไรก็ตาม “เจอโรม พาวเวล” ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณถึงทิศทางดอกเบี้ยในปี 2568 ว่าเฟดจะชะลอการลดดอกเบี้ยในปีหน้าออกไป โดยการปรับลดดอกเบี้ยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในการลดอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายเริ่มตระหนักถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ภายใต้รัฐบาลว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังจะเข้ามาบริหารในปีหน้า
    .
    ในการประชุมยังมีการเปิดเผยรายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐในอนาคต (Dot Plot) ที่ออกมาในทุกไตรมาส โดยในครั้งนี้กรรมการเสียงส่วนใหญ่ 10 เสียง ของเฟดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2568 จะอยู่ที่ระดับ 3.75–4.0% หรือหมายความว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าลงเพียงแค่ 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% เท่านั้น
    .
    ทิศทางล่าสุดนี้นับว่าลดลงมากเมื่อเทียบกับรายงาน Dot Plot ที่ออกในเดือน ก.ย. ซึ่งครั้งนั้นกรรมการเฟดให้คะแนนเท่ากันฝั่งละ 6 เสียง ระหว่างการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งกับ 4 ครั้งในปีหน้า
    .
    นอกจากนี้ เฟดยังส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2570
    .
    ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลางในระยะยาวสู่ระดับ 3.0% จากเดิมที่ระบุไว้ในเดือน ก.ย. ที่ระดับ 2.9%
    .
    <“กิตติรัตน์” ว่าที่ประธานบอร์ดแบงก์ชาติย้ำจุดยืน ต้องลดดอกเบี้ย>
    หลังจากที่หายหน้าหายตาไปจากหน้าสื่อสักพัก คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง ว่าที่ประธานกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ออกมากล่าวถึงกรณี กนง. มีมติเอกฉันท์ “คงดอกเบี้ย” นโยบายรอบล่าสุด (18 ธ.ค.) ว่าโดยส่วนตัวผมเคารพการตัดสินใจของที่ประชุม กนง.ทั้ง 7 ราย เพราะเป็นคนที่มีเหตุและมีผล แต่อย่างไรก็ตาม “จุดยืน” ของผมยังเหมือนเดิมว่าควร “ลดดอกเบี้ยนโยบาย” ให้เร็วและแรง คือหนทางป้องกันความหายนะ
    .
    ซึ่งเคยพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2566 ซึ่งความเชื่อไม่เคยเปลี่ยนแปลงหลังจากได้ถูกเสนอชื่อให้ไปทำหน้าที่คณะกรรมการ ธปท. แต่ทั้งนี้จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เห็นการลดดอกเบี้ยเร็วและก็ยังไม่ได้ลดแรง
    .
    “ผมมองว่าการคงดอกเบี้ยรอบล่าสุดของ กนง. คณะกรรมการมองเห็นว่าสถานการณ์โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ และเครื่องมือที่มีอยู่ต้องเก็บไว้ใช้ในอนาคต ซึ่งสเตตเมนต์ที่ออกมาถูกเขียนด้วยภาษานักเศรษฐศาสตร์ แต่คำอธิบายที่ปรากฎเพียง 1 หน้า ผมมองว่าเป็นเนื้อหาที่สั้นไป
    .
    และถ้าเกิดพูดด้วยภาษาชาวบ้าน ‘ขอให้เห็นใจเถอะ’ เราเคยมียาอยู่ 8 เม็ด เพื่อที่จะรักษาปัญหาโรคที่เราเป็นอยู่ และเผอิญเรากินยาไปแล้ว 1 เม็ด ทำให้เหลือยา 7 เม็ด จะรีบกินตอนนี้ก็จะเหลือยา 6 เม็ด ซึ่งทาง กนง. (คณะแพทย์) เขาก็เลือกไม่กินยาโดยเก็บไว้ก่อน แต่ถ้าเห็นใจกินยาไปอีกเม็ด เราก็ยังเหลือยาอีกตั้ง 6 เม็ด ซึ่งเป็นเรื่องที่จริงๆ ก็ทำได้ ถ้าเกิดเหลือยาอยู่สัก 2 เม็ด และเลือกไม่กิน ผมก็พอจะเข้าใจเยอะกว่านี้ได้”
    .
    แต่อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะลดลงแต่ละครั้ง 0.25% เป็นส่วนเดียวของกลไกนโยบายการเงิน สิ่งที่สนใจมากกว่านั้นคือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่างหาก โดยสินเชื่อส่วนบุคคลจ่ายดอกเบี้ยอยู่ 30% ต่อปี และ 24% ต่อปี และบัตรเครดิต 16% ต่อปี และเวลาผิดนัดชำระ (คนที่จ่ายไม่ไหว) กลับไปเพิ่มภาระดอกเบี้ย
    .
    หรือว่าส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้ทำไมถึงสูงมากขนาดนั้น ควรจะแคบลงมาได้หรือไม่ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ธนาคารสามารถมีกำไรได้ดีขึ้นแม้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะลดลง หากการทำเช่นนั้นทำให้ความเสี่ยงของหนี้เสียน้อยลง การตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญก็น้อยลง และเคยถูกตั้งสำรองไว้แล้วก็สามารถรับกลับมาเป็นรายได้ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ควรจะมาพูดคุยกัน
    .
    <ความเสี่ยงยังต้องตั้งรับ>
    ไม่ว่าการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด แต่ชะลอลดในปีหน้า หรือ กนง. จะยังคงดอกเบี้ยไว้ สะท้อนมุมมองที่ไปในทิศทางเดียวกันนั่นก็คือเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามีความไม่แน่นอน และมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องตั้งรับ
    .
    ในทางวิชาการ เศรษฐศาสตร์ หรือหลักการใดๆ ก็ตาม อาจมองว่าเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นและดีขึ้น แต่ในแง่ความรู้สึก และเงินจริงในกระเป๋าอาจไม่ได้รู้สึกว่าดีขึ้นสักเท่าไหร่ นอกจากรอให้นโยบาย และมาตรการต่างๆ ได้ทำหน้าที่แล้ว ประชาชนก็คงต้องเซพเงิน เซพตัวเองกันด้วยในยุคที่เศรษฐกิจยังลุ่มๆ ดอนๆ แบบนี้...
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/41J0l0q
    .
    Website: https://btimes.biz
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #ดอกเบี้ย #แบงก์ชาติ #กนง #ธนาคารกลาง #แบงก์ชาติสหรัฐ #เศรษฐกิจไทย #เงินเฟ้อ #ลงทุน #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/TiVGVKGTtWijHqum/
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dec 23, 2024 ขึ้นไม่ทั่ว! บอร์ดไตรภาคีเคาะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 ได้ 4 จังหวัดกับ 1 อำเภอ ขึ้นต่ำสุด 337 บาทได้ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ กทม-ปริมณฑลขึ้นแตะวันละ 372 บาท ส่วนใหญ่ 67 จังหวัดขึ้น 2% สรุปขึ้นทั่วไทยแค่ 355 บาท

    คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 11/2567 ในวันที่ 23 ธันวาคม 2567 เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2568 โดยให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มในอัตราวันละ 7 - 55 บาท (เฉลี่ยร้อยละ 2.9) แบ่งเป็น 17 อัตรา ซึ่งพิจารณาจากค่าครองชีพและโครงสร้างทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยมีอัตราสูงสุด คือ วันละ 400 บาท และอัตราต่ำสุด คือ วันละ 337 บาท ดังนี้

    1.กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

    2.กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 380 บาท ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

    3.กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอัตราวันละ 372 บาท ในเขตท้องที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 6 จังหวัด (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5)

    4.กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 67 จังหวัดที่เหลือให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 โดยทั้งหมดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

    การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อให้แรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงาน สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสมควรแก่มาตรฐานการครองชีพ สภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน รวมทั้งเหมาะสมตามความสามารถของธุรกิจในท้องถิ่นนั้น ซึ่งการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้จะทำให้ลูกจ้างได้รับประโยชน์ จำนวน 3,760,697 คน

    สำหรับ ปี 2568 คณะกรรมการค่าจ้างฯ ได้กระจายอำนาจการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปยังภูมิภาค โดยคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด รวม 77 คณะ เพื่อนำข้อเสนอแนะอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดมาพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560 มาตรา 87 แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ด้านความจำเป็นในการครองชีพของลูกจ้าง กลุ่มที่ 2 ด้านความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง กลุ่มที่ 3 ด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม โดยพิจารณาจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญ เพื่อให้ลูกจ้างมีค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต และพิจารณาอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อให้นายจ้าง/ลูกจ้าง สามารถประกอบธุรกิจและดำรงชีวิตอยู่ได้ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานจะได้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

    #ค่าจ้างขั้นต่ำ #400 #แรงงาน #ค่าจ้าง #กรุงเทพ #ปริมณฑล #ภูเก็ต #เชียงใหม่ #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/ZssYoD3CJY8vSiXV/
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump says he might demand Panama hand over canal อ้างคำกล่าวของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2567 ว่า ประเทศปานามาเรียกเก็บค่าผ่านทางในการใช้คลองปานามาสูงเกินไป และหากไม่ปรับปรุงการบริหารจัดการในแบบที่ยอมรับได้ ตนก็จะเรียกร้องให้ปานามาส่งมอบสิทธิ์การบริหารจัดการให้สหรัฐฯ
    .
    ยังมีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ทรัมป์กำลังกังวลว่าจีนอาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการคลองปานามา จากโพสต์บนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social ที่ทรัมป์ระบุว่า จะไม่ยอมให้คลองปานามาตกไปอยู่ใน “มือของคนผิด (wrong hands)” ซึ่งโพสต์ดังกล่าวถือเป็นตัวอย่างที่หายากยิ่งของผู้นำสหรัฐฯ ที่กล่าวว่าสามารถผลักดันให้ประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยส่งมอบดินแดนให้แก่สหรัฐฯได้
    .
    นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในทางการทูตของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ซึ่งตลอดมาไม่เคยลังเลที่จะขู่พันธมิตรและใช้ถ้อยคำที่ก้าวร้าวเมื่อต้องติดต่อกับฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ขุดคลองและบริหารดินแดนโดยรอบคลองดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่มานานหลายทศวรรษ แต่หลังจาก 2 ประเทศร่วมกันบริหารมานาน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งมอบสิทธิ์การบริหารจัดการคลองดังกล่าวทั้งหมดให้กับปานามาในปี 2542 ขณะที่สถานทูตปานามาในสหรัฐฯ ยังไม่ได้ตอบสนองใดๆ ต่อท่าทีดังกล่าว
    .
    “ค่าธรรมเนียมที่ปานามาเรียกเก็บนั้นไร้สาระมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่สหรัฐฯ มอบให้ปานามา ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือระหว่างเราและปานามาเท่านั้น หากไม่ปฏิบัติตามหลักการทั้งทางศีลธรรมและกฎหมายของท่าทีการให้อันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เราจะเรียกร้องให้คืนคลองปานามาให้กับเราทั้งหมดและไม่ต้องสงสัย” ทรัมป์ ระบุในโพสต์ที่เผยแพร่บนแพลตฟอร์ม Truth Social
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    https://www.naewna.com/inter/848996
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    https://www.facebook.com/share/p/PWnogy9GAh8RHqwQ/
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประธานาธิบดีปานามา เปิดศึกตอบโต้ทรัมป์ ที่ขู่จะยึดคลองปานามา ซัดการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านคลอง เป็นไปตามสภาพตลาด ไม่ใช่ตามอำเภอใจ
    .
    เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.67 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโฆเซ ปอล มูลีโน ผู้นำปานามา แถลงตอบโต้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ออกมาขู่ว่า จะยึดคลองปานามาให้กลับมาอยู่ในความดูแลของสหรัฐฯ อีกครั้ง เนื่องจากไม่พอใจต่อการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้คลองปานามา ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญแห่งหนึ่งของโลก
    .
    โดยประธานาธิบดีมูลีโน กล่าวว่า ทุกตารางเมตรของคลองปานามาและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นของปานามา และจะเป็นของปานามาต่อไป เพราะอธิปไตยและเอกราชของปานามาเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองกันได้ ส่วนเรื่องการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้คลองปานามาของเรือสินค้าต่างๆ ก็เป็นไปตามสภาวะทางการตลาด ไม่ได้เก็บตามอำเภอใจของปานามาแต่ประการใด
    .
    พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีปานามา กล่าวอีกว่า คลองปานามา ไม่ได้ถูกควบคุมจากบรรดาชาติมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีน ยุโรป และสหรัฐฯ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
    .
    สำหรับ คลองปานามา ซึ่งมีขนาดความยาว 82 กิโลเมตร ทางการสหรัฐฯ เข้ามารับดำเนินการขุดคลองต่อจากฝรั่งเศส เมื่อปี 1904 (พ.ศ. 2447) และเปิดใช้งานในอีก 10 ปีต่อมาหลังจากนั้นภายใต้การดูแลของสหรัฐฯ ก่อนที่สหรัฐฯ จะทำสนธิสัญญาส่งคืนให้ปานามาในปี 1977 (พ.ศ. 2520)
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    https://siamrath.co.th/n/589477
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    https://www.facebook.com/share/p/JcErbJDQkzuuRVbY/
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งข้อความหา โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ขอให้ขาเริ่มคิดทบทวนเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงและยอมละทิ้งดินแดนต่างๆ ที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เอลปาอิส เมื่อวันอาทิตย์ (22 ธ.ค.)
    .
    ทรัมป์ เน้นย้ำคำสัญญาที่ว่าจะยุติความขัดแย้งยูเครนภายในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดต่างๆ ว่าแผนของเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร คำประกาศของเขาก่อความกังวลในเคียฟ ที่ว่าบางทีพวกเขาอาจต้องเผชิญไม่ใช่แค่การลดระดับความช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตรวจสอบเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ที่ยูเครนได้รับจากทำเนียบขาวภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
    .
    "คุณมองไปที่เมืองต่างๆ เหล่านั้น บางเมืองไม่มีอาคารที่อยู่ในสภาพดีเหลืออยู่เลยแม้แต่อาคารเดียว ดังนั้น ตอนที่คุณบอกว่า ฟื้นฟูประเทศ ฟื้นฟูอะไร? นี่มันต้องใช้เวลาบูรณะฟื้นฟูกว่า 110 ปี เลยนะ" หนังสือพิมพ์สัญชาติฝรั่งเศส อ้างข้อความที่ทรัมป์ ส่งถึง เซเลนสกี จากกอล์ฟคลับของเขาในฟลอริดา เมื่อช่วงกลางสัปดาห์
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือน ทรัมป์ เรียกร้องทั้งยูเครนและรัสเซียให้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงในทันที โดยเขาโพสต์ข้อความเรียกร้องบนทรัสต์โซเชียล แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง หลังจากพบปะกับ เซเลนสกี และประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศสในกรุงปารีส
    .
    หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานในช่วงต้นเดือนธันวาคม ทรัมป์ระบุว่ายุโรปตะวันตกควรประจำการทหารในยูเครน เพื่อสังเกตการณ์ข้อตกลงหยุดยิงใดๆ นอกจากนี้ เขายังบอกด้วยว่าอียูควรมีบทบาทหลักในการป้องกันและสนับสนุนเคียฟ ในขณะที่วอชิงตันเองจะสนับสนุนความพยายามดังกล่าวเช่นกัน แต่จะไม่ส่งกำลังพลใดๆ เข้าไป
    .
    ระหว่างการแถลงข่าวสิ้นปีในวันพฤหัสบดี (19 ธ.ค.) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เน้นย้ำว่ามอสโกยังคงเปิดกว้างที่จะเจรจากับเคียฟโดยปราศจากการวางเงื่อนไขล่วงหน้า ยกเว้นที่เงื่อนไขที่เห็นพ้องกันก่อนหน้านี้ ณ โต๊ะเจรจาในอิสตันบูลปี 2022 ซึ่งจะพิจารณาสถานะความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของยูเครน เช่นเดียวกับกำหนดข้อจำกัดบางอย่างในการประจำการอาวุธต่างชาติ นอกจากนี้ ปูติน ยังเน้นว่าการเจรจาใดๆ ดังกล่าวจำเป็นต้องเคารพความเป็นจริงในสนามรบด้วย
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    https://mgronline.com/around/detail/9670000122787
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    https://www.facebook.com/share/p/4P4fYuePabt4q6os/
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายกฯ โรเบิร์ต ฟิโก กล่าวหา โวโลดิมีร์ เซเลนสกี พยายามเสนอสินบนให้เขาเป็นเงินกว่า 500 ล้านยูโร (ราว 18,000 ล้านบาท) เพื่อให้สโลวะเกียสนับสนุนยูเครนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
    .
    ฟิโก ออกมาเปิดเผยในเรื่องนี้ระหว่างการแถลงข่าวในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ไม่นานหลังจากประชุมลับกับ เซเลนสกี รอบนอกการประชุมซัมมิตผู้นำอียู
    .
    ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีรายนี้บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า สโลวะเกียอาจพิจารณาใช้มาตรการยื่นหมูยื่นแมว หลังจากยูเครนปฏิเสธขยายกรอบเวลาข้อตกลงส่งต่อก๊าซธรรมชาติกับรัสเซีย ซึ่งมีกำหนดหมดอายุลงในช่วงสิ้นปี
    .
    ด้วยที่ยูเครนหยิบยกความขัดแย้งกับรัสเซียที่กำลังดำเนินอยู่เป็นข้ออ้าง มันจึงก่อความกังวลแก่สโลวะเกีย ชาติที่ต้องพึ่งพิงอุปทานก๊าซธรรมชาติของรัสเซียที่ส่งผ่านทางยูเครน ในขณะที่ ฟิโก เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีทางออกอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตขาดแคลนก๊าซธรรมชาติ
    .
    เขาเล่าว่าระหว่างการพูดคุยเจรจากับเซเลนสกีนั้น ทางผู้นำยูเครนส่งเสียงแข็งกร้าวไม่อนุญาตให้ส่งผ่านพลังงาน พร้อมกับยื่นข้อเสนออันไร้สาระสำหรับทางออกในประเด็นก๊าซ
    .
    นายกรัฐมนตรีสโลวะเกีย อ้างว่านอกเหนือจากสิ่งอื่นๆ แล้ว เซเลนสกี "ยังถามผมว่า ผมจะโหวตการเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนหรือไม่ ถ้าเขามอบเงิน 500 ล้านดอลลาร์แก่ผม ด้วยทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกอายัดในตะวันตก" หลังความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟปะทุขึ้น
    .
    ฟิโก เผยต่อ เขาตอบผู้นำยูเครนกลับไปตรงๆ ว่า เขาจะไม่มีวันตอบตกลงข้อเสนอลักษณะดังกล่าว "คุณรู้ดีเกี่ยวกับความเห็นของผมในเรื่องสถานภาพสมาชิกของยูเครนในนาโต และมันแปลกๆ ที่เขาถามผมด้วยคำถามดังกล่าว เพราะเขารู้เป็นอย่างดีว่า คำเชิญยูเครนเข้าร่วมนาโต ไม่มีทางเป็นจริงโดยสิ้นเชิง"
    .
    อาร์ทีออม โดมิทรูค ส.ส.ฝ่ายค้านของยูเครน ซึ่งมีข่าวว่าได้หลบหนีออกนอกระเทศเมื่อช่วงกลางปี สืบเนื่องจากความหวั่นกลัวถูกตามประหัตประหาร แสดงความเห็นว่า เป็นอีกครั้งที่ เซเลนสกี สร้างความเสื่อมเสียแก่ยูเครนต่อหน้าคนทั้งโลก ด้วยพยายามติดสินบนฟิโก
    .
    "ผมเชื่อว่าการพูดคุยอาจไม่ใช่แค่เงินจากทรัพย์สินของรัสเซีย แต่มันอาจเป็นเงินสดที่เซเลนสีเก็บกวาดเข้ากระเป๋า" โดมิทรูค เขียนบนเทเลแกรมในวันศกร์ (20 ธ.ค.)
    .
    มอสโก ซึ่งมองนาโตในฐานะศัตรู และส่งเสียงคัดค้านอย่างแข็งกร้าวในการแผ่ขยายเขตแดนมาทางตะวันออก หยิบยกความปรารถนาอย่างแรงกล้าของเคียฟ ในการเข้าร่วมกลุ่มที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักสำหรับการเปิดปฏิบัติการทางทหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2022
    .
    อย่างไรก็ตาม เคียฟ ยืนกรานถึงความปรารถนาเข้าเป็นสมาชิกนาโตตลอดความขัดแย้งที่ผ่านมา อ้างว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะป้องปรามรัสเซีย ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคม เซเลนสกี บอกว่าเขาจะร้องขอประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ให้ออกคำเชิญเคียฟเข้าร่วมกลุ่มนาโตอย่างเป็นทางการ ก่อน โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2025 ในขณะที่ ทรัมป์ แสดงความคลางแคลงใจมาตลอดเกี่ยวกับความช่วยเหลือของอเมริกาที่มอบให้แก่ยูเครน
    .
    หนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศส รายงานว่าไม่ใช่แค่สโลวะเกียเท่านั้น แต่รัฐสมาชิกอื่นๆ ในนั้นรวมถึงสหรัฐฯ เยอรมนี ฮังการี เบลเยียม สโลวีเนีย และสเปน ปัจจุบันก็คัดค้านการเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนเช่นกัน
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    https://mgronline.com/around/detail/9670000122554
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    https://www.facebook.com/share/p/rqcwEwKTBCckqEjS/
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ เรียกร้องวานนี้ (20 ธ.ค.) ให้สหภาพยุโรป (อียู) นำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก ไม่เช่นนั้นวอชิงตันก็จะใช้มาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรป เช่น รถยนต์ และเครื่องจักรกลต่างๆ
    .
    ทั้งนี้ ข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ เองพบว่า ปัจจุบันอียูซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่มากอยู่แล้ว และไม่สามารถที่จะสั่งเพิ่มได้เนื่องจากสหรัฐฯ ก็ส่งออกเต็มกำลังผลิตอยู่เช่นกัน ทว่า ทรัมป์ ได้ประกาศแล้วว่าจะเพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ ให้มากขึ้นกว่าเก่า
    .
    "ผมบอกกับสหภาพยุโรปไปแล้วว่า พวกเขาต้องลดตัวเลขการค้าที่เกินดุลกับสหรัฐฯ ด้วยการซื้อน้ำมันและก๊าซจากเราในปริมาณมากๆ" ทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social
    .
    "ไม่งั้นเจอขึ้นภาษีนำเข้าแน่นอน!!!"
    .
    ด้านคณะกรรมาธิการยุโรประบุว่าพร้อมที่จะหารือกับ ทรัมป์ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ให้แข็งแกร่งแนบแน่นยิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงในด้านพลังงาน
    .
    "อียูมุ่งมั่นที่จะลดการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียลงเรื่ออยๆ และแสวงหาแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ๆ" โฆษกอียู ระบุ
    .
    สหภาพยุโรปนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวและน้ำมันจากสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนราว 47% และ 17% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติ Eurostat
    .
    ทรัมป์ ซึ่งจะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค. ประกาศจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั่วโลกในอัตราขั้นต่ำ 10% และในส่วนของสินค้าจีนจะเก็บสูงถึง 60% ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนเตือนแล้วว่าจะกระทบต่อกระแสการค้า ทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น และอาจกระตุ้นให้ชาติอื่นๆ ใช้บทลงโทษทางภาษีเล่นงานสินค้าสหรัฐฯ บ้างเช่นกัน
    .
    สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้า (goods trade deficit) กับอียูประมาณ 208,700 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ตามข้อมูลจากสำนักงานสำมะโนประชากรแห่งสหรัฐฯ (US Census Bureau) และถึงแม้ว่าอเมริกาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าในแง่ของบริการ (services) ทว่า ทรัมป์ นั้นให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเรื่องการค้าสินค้า และมักจะบ่นเสมอว่าสหรัฐฯ นำเข้ารถจากยุโรปมากมาย ในขณะที่ยานยนต์ของอเมริกาที่ถูกส่งข้ามแอตแลนติกนั้นมีน้อยมาก
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    https://mgronline.com/around/detail/9670000122436
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    https://www.facebook.com/share/p/mdgido8qCXNVUbCu/
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นสพ.The Independent ของอังกฤษ รายงานข่าว Japanese city will now publicly shame people who break bin separation rules ระบุว่า ที่เมืองฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เทศบาลงัดยาแรงด้วยการออกกฎหมายซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2568 เป็นต้นไป โดยกำหนดให้ผู้ที่ไม่แยกขยะก่อนทิ้ง อาจถูกประกาศชื่อบนหน้าเว็บไซต์ของเทศบาล เพื่อเป็นการประจานต่อสาธารณะ ซึ่งกฎหมายใหม่นี้จะทำให้ฟุกุชิมะเป็นเมืองแรกในแดนอาทิตย์อุทัย ที่ใช้มาตรการประจานถึงระดับปัจเจกบุคคล ในขณะที่เมืองอื่นๆ ที่มีกฎคล้ายกัน เช่น เกียวโต หรือเมืองซาเซโบะ จ.นางาซากิ จะประจานเฉพาะผู้ฝ่าฝืนที่เป็นองค์กรหรือบริษัทเท่านั้น
    .
    ณ ปัจจุบัน ผู้อยู่อาศัยในเมืองฟุกุชิมะ เจ้าหน้าที่เก็บขยะจะติดสติกเกอร์สีเหลืองลงบนถุงขยะที่ไม่ได้แยกขยะอย่างถูกต้อง ประชาชนที่ถุงมีสติกเกอร์คำเตือนจะต้องนำถุงขยะกลับเข้าไปในบ้านและคัดแยกขยะอีกครั้งก่อนถึงวันเก็บขยะครั้งต่อไป แต่ตามกฎหมายใหม่ เจ้าหน้าที่จะติดสติกเกอร์สีแดงเพื่อทำเครื่องหมายขยะที่คัดแยกไม่ถูกต้อง หากไม่ได้รับการแก้ไขเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่จะได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบถุงขยะเพื่อระบุผู้กระทำผิดที่ใช้จดหมายและสิ่งของอื่นๆ ผู้กระทำผิดจะได้รับการตักเตือนให้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยวาจา ตามด้วยหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร และหากยังไม่ยอมแก้ไขอีกก็จะถูกนำชื่อมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ของเทศบาล
    .
    เพื่อแก้ไขข้อกังวลเกี่ยวกับการที่รัฐบาลรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของประชาชน เจ้าหน้าที่ของเมืองยืนยันว่า การตรวจสอบจะเกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่มีบุคคลภายนอกเข้าร่วม และย้ำด้วยว่าการเปิดเผยตัวบุคคลสร้างขยะอันตรายที่ไม่ปฏิบัติตามกฎและไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำและคำแนะนำของเมืองไม่ถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่ง ฮิโรชิ โคฮาตะ (Hiroshi Kohata) นายกเทศมนตรีเมืองฟุกุชิมะ กล่าวว่า ด้วยความคิดริเริ่มนี้ เทศบาลหวังว่าจะสามารถแก้ไขสถานการณ์การกำจัดขยะที่ไม่เหมาะสมในปัจจุบันได้ ซึ่งเทศบาลจะทำงานเพื่อส่งเสริมการแยกขยะอย่างละเอียดถี่ถ้วนและลดปริมาณขยะ
    .
    รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องระบบการกำจัดขยะที่พิถีพิถัน ซึ่งกำหนดให้แต่ละวันของสัปดาห์สำหรับขยะประเภทต่างๆ ต้องนำไปที่จุดรวบรวมที่กำหนด โดยขยะทั้งหมดจะถูกแยกประเภท เช่น ขยะที่เผาได้ ขยะที่เผาไม่ได้ ขยะที่รีไซเคิลได้ และขยะอินทรีย์ สิ่งของต่างๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและ/หรือเฟอร์นิเจอร์มีกฎระเบียบที่แยกจากกัน ซึ่งกำหนดให้ประชาชนต้องนัดหมายล่วงหน้าเพื่อที่จะได้ทำการรวบรวมแยกกัน
    .
    ระบบกำจัดขยะที่เข้มงวดของญี่ปุ่นสามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงปี 2443 เมื่อมีกฎหมายฉบับแรกๆ เพื่อปรับปรุงสุขอนามัยสาธารณะ และในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี 2484-2488) การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วทำให้เกิดมลพิษจากอุตสาหกรรมนอกเหนือจากขยะในครัวเรือนทั่วไป ทำให้รัฐบาลถูกบังคับให้บังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อเน้นที่การลดปริมาณขยะและการรีไซเคิล
    .
    อย่างไรก็ตาม ที่ญี่ปุ่นนั้นมีถังขยะในที่สาธารณะไม่เพียงพอ ทำให้ประชาชนต้องลำบากในการกำจัดขยะ โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุโจมตีรถไฟใต้ดินโตเกียวด้วยก๊าซซารินในปี 2538 ถังขยะส่วนใหญ่ถูกกำจัดออกจากพื้นที่สาธารณะด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ปัจจุบัน ประชาชนคุ้นเคยกับการพกขยะติดตัวไปจนกว่าจะสามารถทิ้งขยะได้ในสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของประเทศในการรับผิดชอบต่อขยะของตนเอง
    .
    แม้ว่ากฎระเบียบดังกล่าวจะเข้มงวด แต่มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการรีไซเคิลและลดปริมาณขยะในหลุมฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุด ดังบทสัมภาษณ์ของ เซอิจิโร ฟูจิอิ (Seiichiro Fuji) รองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยไดโตะบุงกะ ที่เผยแพร่ใน นสพ. South China Morning Post ของฮ่องกง เมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ระบุว่า แต่ละเทศบาลมีกฎระเบียบในการแยกขยะ และมีเทศบาลประมาณ 1,700 แห่งทั่วญี่ปุ่น ดังนั้นจึงมีกฎระเบียบในการแยกขยะจำนวนใกล้เคียงกัน
    .
    กฎหมายฉบับใหม่ของฟุกุชิมะซึ่งผ่านเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2567 มีเป้าหมายที่จะลดปริมาณขยะที่ประชาชนในเมืองผลิต ซึ่งในปี 2565 จะอยู่ที่ 1.08 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 880 กรัม นอกจากนี้ เมืองฟุกุชิมะยังพบขยะที่ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบที่มีอยู่ประมาณ 9,000 กรณี โดยกองส่งเสริมการลดขยะฟุกุชิมะ กล่าวว่า การกำจัดขยะอย่างไม่เหมาะสมก่อนหน้านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ขยะกระจัดกระจายไปทั่วเท่านั้น แต่ยังทำให้มีฝูงกาดำเพิ่มมากขึ้นด้วย ส่งผลให้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นเสื่อมโทรมลง อีกทั้งขยะที่แยกประเภทไม่ถูกต้องจะเพิ่มจำนวนหลุมฝังกลบที่มีอยู่ ซึ่งจะเป็นภาระให้กับคนรุ่นต่อไป การแยกขยะจึงสำคัญมาก
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    https://www.naewna.com/inter/848810
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    https://www.facebook.com/share/p/SEhT8ADBFvTH7J5N/
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นอกจากบอสยังมีตัวแืนบางคนถูกอายัติบัญชี ดูลัง นาทีที่ 12.25 ครับ ...บัญชีม้าดำ... ก็ไม่แปลก ถ้าบัญชีบอสมีปัญหา บัญชีที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินของบอส จะมีปัญหาตามไปด้วยหรือเปล่า ถ้ามีปัญหาตามไปด้วย จะโดนอายัติบัญชีตามไปด้วยไหม



    Screenshot_2024-12-25-19-21-25-70_f9ee0578fe1cc94de7482bd41accb329.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2024 at 19:30
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เรื่องนี้ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะยุคลุง การกู้ยืมภาครัฐถึงแม้จะเริ่มสูง มาจากยุคยิ่งลักษณ์ แต่ยังเหลือ ช่องว่างให้กู้เพิ่มเติมได้อีกมาก และยุคลุงก็กู้เงินมาใช้จำนวนมาก และน่าจะขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% มาเป็น 70% และเอาเงินมาแจก และจัดสวัสดิการให้ประชาชน และยังขยายโครงสร้างของราชการให่เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก (จำนวนข้าราชการ) พอมายุครัฐบาลนี้ จำนวนเงินกู้ยืมสาธารณะก็ลดลงไปมาก และ% การกู้ยืมภาคเอกชนก็สูง และที่เข้าใจก็คือ % หนี้เสียก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น จะเอารัฐบาลนี้ และรัฐบาลลุงมาเทียบกันไม่ได้ แต่รัฐบาลนี้ควรจะแสดงความสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ได้ เพราะเป็นผู้อาสาเข้ามาแก้ปัญหาของประเทศในเวลานี้



    Screenshot_2024-12-25-19-31-53-63_f9ee0578fe1cc94de7482bd41accb329.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2024 at 19:37
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dec 25, 2024 ห่วงลูกหลาน ! สภาผู้บริโภค ร้อง กกพ.ยุติซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เฟส 2 ชี้สร้างภาระค่าไฟฟ้ากว่า 65,000 ล้านบาท ทำคนไทยจ่ายค่าไฟแพง ทั้งรุ่นนี้ และรุ่นต่อไป ยาว 25 ปี
    .
    สภาผู้บริโภค ร่วมกับสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เข้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พร้อมออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาล และ กกพ. ทบทวนโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หยุดสร้างภาระค่าไฟฟ้ากว่า 65,000 ล้านบาท ให้ผู้บริโภคทั้งรุ่นนี้ และรุ่นต่อไป โดยเนื้อหาระบุว่า
    .
    ตามที่คณะกรรมการ กกพ. ได้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (รอบเพิ่มเติม) จำนวน 2 กลุ่ม แบ่งเป็น ก) พลังงานแสงอาทิตย์แบบตั้งพื้นบนดิน 1,580 เมกะวัตต์ และ ข) กังหันลมจำนวน 565.4 เมกะวัตต์ รวม 2,145.5 เมกะวัตต์ โดยไม่มีการประมูล แต่ใช้วิธีการคัดเลือก ซึ่งใช้ราคารับซื้อที่กำหนดโดยมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 คือ 2.17 บาท/หน่วย สำหรับไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ และ ราคา 3.10 บาท/หน่วยสำหรับไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยที่ราคารับซื้อดังกล่าว จะคงที่ตลอดอายุสัญญา 25 ปี นั้น
    .
    การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบเพิ่มเติมที่ไม่ได้ใช้วิธีการประมูล แต่กลับใช้วิธีการคัดเลือก อาจ "ไม่มีประสิทธิภาพ" มากเพียงพอ เนื่องจากไม่มีการเปิดให้มีการแข่งขันโดยวิธีการประมูลราคาเพื่อหาราคาที่เหมาะที่สุด และในอนาคต จะกลายเป็นภาระของผู้บริโภคที่จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงนานถึง 25 ปี
    .
    ขณะที่ ราคาที่ กกพ.ใช้กำหนดการรับซื้อในโครงการนี้ อ้างอิงตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ปี 2565 ทำให้เมื่อถึงปี 2569 หรือปี 2571 ที่จะเริ่มดำเนินโครงการจริง ราคารับซื้อจะสูงกว่าราคาตลาดที่ควรจะเป็นประมาณ 20 - 30%
    .
    "ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคเคยยื่นอุทธรณ์ขอให้ยกเลิกประกาศ กกพ. ในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.67 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าหรือการตอบกลับจาก กกพ. ดังนั้น สภาผู้บริโภค และเครือข่ายด้านพลังงาน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล และ กกพ. ต้องหยุดเดินหน้าโครงการฯ ที่จะทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าไปอีก 25 ปี" สภาผู้บริโภค ระบุ
    .
    รายงานจากองค์กร IRENA (International Renewable Energy Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ มีการศึกษาประเด็น Renewable Power Generation Costs in 2023 ยังชี้ให้เห็นว่าในปี 2566 ราคาค่าไฟฟ้าเฉลี่ยจากโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ทั่วโลก อยู่ที่ 1.53 บาท/หน่วย และอาจต่ำกว่านี้เมื่อถึงปี 2569
    .
    ขณะที่ข้อมูลจากรัฐบาลอินเดีย โดย SECI (Solar Energy Corporation of India) ยังระบุว่า โครงการโซลาร์เซลล์พร้อมระบบแบตเตอรี่ในประเทศนั้น สามารถเสนอขายไฟฟ้าในราคาเพียง 1.44 บาท/หน่วย ซึ่งต่ำกว่าราคารับซื้อของโครงการ กกพ. ที่ไม่ได้รวมระบบแบตเตอรี่ ดังนั้น อาจเป็นการยืนยันว่าผลการศึกษาของ IRENA มีแนวโน้มที่ถูกต้อง และเป็นไปได้จริง
    .
    เมื่อนำข้อมูลจากผลการศึกษาดังกล่าวมาคำนวณอย่างเป็นระบบ โดยยกตัวอย่างเมื่อมีการขายไฟฟ้าจริงในปี 2568 จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าจากโครงการของ กกพ. แพงกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าตลอดอายุสัญญา 25 ปี อย่างน้อยรวม 65,000 ล้านบาท
    .
    ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ยังเรียกร้องให้กระทรวงพลังงาน เร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP2024) ที่ดำเนินการมานานกว่า 3 ปีแล้วแต่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยในการจัดทำแผน PDP2024 หรือ PDP2025 ต้องเน้นการพึ่งตนเองของชาติ ภายใต้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และต้องผลักดันให้ผู้บริโภคสามารถเป็นผู้ผลิต และผู้ขายไฟฟ้า (Prosumer) เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชน ตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://shorturl.asia/4bvdy
    .
    Website: https://btimes.biz
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3

    #ค่าไฟฟ้า #กกพ #สภาผู้บริโภค #ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน #ค่าไฟ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/8kA5rV446ahvjPan/
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dec 25 , 2024 ได้สองทาง! สรรพสามิต เดินหน้าเก็บภาษีความเค็ม เล็งนำร่องขนมขบเคี้ยวที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในปีหน้า อัตราขั้นบันได เหมือนกับภาษีความหวานที่บังคับใช้แล้ว

    นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า ในปี 2568 กรมสรรพสามิตจะผลักดันการเก็บภาษีโซเดียมหรือภาษีความเค็มให้เห็นเป็นรูปธรรม ในรูปแบบอัตราภาษีขั้นบันไดเช่นเดียวกับภาษีความหวานที่มีมีผลบังคับใช้แล้ว

    โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาจะเริ่มเก็บภาษีความเค็มจากขนมขบเคี้ยว ที่ไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยจากพิจารณาจากจำนวนเกลือที่อยู่ในผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนส่วนผสมในการปรุงรส อย่างไรก็ดีจะศึกษาให้ละเอียดและรอบคอบไม่ให้กระทบต่อผู้ประกอบการและมีระยะเวลาให้ผู้ประกอบการได้ปรับตัว ซึ่งภาษีจะเป็นกลไกเข้ามาช่วยดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคเพราะปัจจุบันคนไทยกินโซเดียมสูงกว่าอัตราที่ควรจะเป็นถึงสองเท่า

    ขณะที่นายเผ่าภูมิ โรจนะสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เดินหน้าผลักดันสุราชุมชน โดยชงคณะรัฐมนตรีแก้กฎระเบียบการผลิตตามหลักเกณฑ์กรมสรรพสามิต เพื่อปลดล็อกให้โรงเบียร์ Brew Pub และคราบเบียร์สามารถบรรจุ Keg ออกขายนอกสถานที่ได้ พร้อมเปิดโอกาสตั้งโรงงานสุราขนาดกลางได้ทันที และให้ตั้งอยู่ห่างจาก แหล่งน้ำสาธารณะน้อยกว่า 100 เมตรได้

    #ภาษีความเค็ม #ขนมขบเคี้ยว #รายได้ภาษี #สรรพสามิต #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/ohGB1eoLuwH4GRoC/
     

แชร์หน้านี้

Loading...